ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 1 เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญ-1 [ภาคที่ 1 ติ้งซีเกิดความผันแปร]
[ภาคที่ 1 ติ้งซีเกิดความผันแปร] บทที่ 1 เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญ-1
เมืองจี๋อิง ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งรัฐติง เขตปกครองในอาณัติติ้งซีอ๋อง
ดินแดนพายัพเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิช้าเสมอ ที่ราบภาคกลางกิ่งไม้เก่าผลิใบนานแล้ว ทว่าที่นี่กลับยังไม่แตกใบอ่อน
ล่วงผ่านวันที่สามเดือนสาม แม่น้ำลำธารถึงค่อยๆ ละลายลง
หมอกอบอวลแผ่คลุมทั้งเมืองเอาไว้
มองจากพื้นที่สูง ทิวทัศน์นี้ไม่ต่างกับสรวงสวรรค์ในภาพวาด ไอหมอกปกคลุมความแห้งแล้ง ความแร้นแค้น กลิ่นคาวเลือด รวมถึงเรื่องชั่วร้ายอันโหดเหี้ยมและโสมมสุดทานทนทั้งมวล
ที่ชายแดนมีทั้งอันตรายและโชคสับเปลี่ยนในอัตราสามต่อเจ็ดส่วน
เกิดภัยสงครามต่อเนื่องหลายปี ตราบใดที่พวกราชสำนักทุ่งหญ้า[1]ยังอยากเข้ามาในด่านสำคัญ ที่นี่ก็สงบสุขไม่ได้สักวันเดียว ในสภาพสังคมเช่นนี้กระทั่งกักตุนแผ่นผ้าขี้ริ้วไว้ยังหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางเข้าออกเขตเหล่านี้
บนผืนดินที่แม้แต่หญ้ายังไม่ขึ้น มูลหนูเม็ดเดียวก็ล้ำค่าหายากไม่ต่างจากข้าวต้มถ้วยหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจคือ ในสถานที่เช่นนี้กลับมีโรงเตี๊ยมพูนโชคอยู่ร้านหนึ่ง เพราะจุดนี้เอง เมืองจี๋อิงถึงขั้นเทียบเคียงได้กับเขตปกครองอื่นๆ ในใต้หล้า
และตรงทางเข้าของมันมีหินพักม้าสีดำเลื่อมพรายตั้งอยู่ต้นหนึ่ง แต่ขอเพียงเป็นคนที่เคยมาที่นี่ต่างไม่มีวันลืมเลือน
เพราะสีของมันช่างพิเศษ
ดำม่วงอมแดง ดำเหลือบทอง
ช่วงก่อนโรงเตี๊ยมพูนโชคจะเปิดกิจการ เดิมที่แห่งนี้ก็เป็นร้านสุราเล็กๆ ร้านหนึ่ง แต่ไม่มีป้ายชื่อ เพียงแขวนแผ่นผ้าสีส้มอมเหลืองผืนหนึ่งที่เขียนคำว่าสุราไว้บนเสาหินตรงทางเข้า
และเป็นปีนั้นเองที่หลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าเริ่มรุกรานพรมแดน คนแก่อ่อนแอ รวมถึงสตรีและเด็กในเมืองที่หนีไม่พ้นล้วนถูกฟันตายทั้งเป็นอยู่ใต้เสาหินต้นนี้
หลังติ้งซีอ๋องออกทัพตีโต้ไม่นาน ก็มีเจ้าของร้านคนใหม่เซ้งที่แห่งนี้ไว้
พอแขวนป้ายขึ้นแล้วผู้คนถึงได้รู้กันว่านี่คือโรงเตี๊ยมพูนโชคที่เลื่องชื่อไปทั่วหล้า
เจ้าของร้านเชิญซินแสมาคำนวณตำแหน่งทิศทาง ทั้งยังปรับปรุงข้างนอกและข้างในใหม่หมด บอกว่าอยากกำจัดพลังงานชั่วร้ายและรวบรวมความมั่งคั่ง
ทว่าเหลือเพียงเสาหินต้นนั้น ซินแสให้ย้ายออกแต่เจ้าของร้านกลับไม่ยอม
“ตั้งไว้ตรงนั้นเถอะ ให้เป็นหินพักม้าของแขกที่ผ่านไปมา”
ข้างโรงเตี๊ยมพูนโชคมีแผงลอยรับเขียนจดหมายอยู่แผงหนึ่ง
ใบเขียนจดหมายที่กางอยู่บนโต๊ะถูกทับไว้ด้วยที่ทับกระดาษสีน้ำตาลแดง พู่กันขนาดต่างกันสามด้ามวางอยู่บนชั้นวางพู่กันที่มีรูปร่างเหมือนตัวอักษรภูเขา (山) หัวพู่กันเสี้ยมตรงดุจกระบี่แหลมคมสามเล่ม ด้านหลังโต๊ะมีบัณฑิตเฒ่าสกุลจางนั่งอยู่ผู้หนึ่ง
เขาต่างจากบัณฑิตคร่ำครึคนอื่นๆ
คนผู้นี้พ่นคำหยาบอยู่เป็นนิจ
เขาสวมชุดผ้าฝ้ายขาดๆ สาบเสื้อด้านหน้าขาดหลุดรุ่ยหมดแล้ว ทั้งยังเปรอะคราบน้ำมันและหยดหมึก มือใหญ่คู่หนาก็ไม่ได้เข้ากับกระดาษพู่กันอันประณีตบนโต๊ะแม้แต่น้อย
ทุกช่วงเย็นเขาจะเข้าไปในโรงเตี๊ยมพูนโชคที่อยู่ด้านข้าง แล้วสั่งสุราหนึ่งกาพร้อมกับแกล้มสองสามจานโดยไม่สนใจเก็บแผง จากนั้นก็ร้องเพลงเลียนอย่างนักร้องบนเวที
แม้ไม่ได้มีท่วงท่าอย่างบัณฑิต แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี โดยเฉพาะอักษรหวัดที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยนั้น กระทั่งผู้ว่าการหัวเมืองไปจนถึงผู้ดูแลรัฐติงยังเคยส่งคนถือเทียบมาขอให้เขาเขียนอักษรให้
เมื่อใดก็ตามที่คนเห็นตัวอักษรของเขา ทุกคนล้วนถามเขาว่าเหตุใดถึงมาอยู่ในที่คับแคบอย่างกับรูหนูเช่นนี้แทนที่จะไปไขว่คว้าหาชื่อเสียง
บัณฑิตก็เงียบไม่พูดอะไรสักคำ
ผ่านไปนานเข้า ผู้คนในเมืองต่างเรียกเขาว่า ‘ท่านบัณฑิต’
“เสี่ยวเอ้อร์!”
วันนี้เพิ่งเลยเที่ยงวันบัณฑิตจางก็สาวเท้าเข้าโรงเตี๊ยมแล้ว
ฝ่ามือใหญ่เท่าพัดตบลงบนโต๊ะทันควัน สะเทือนจนชามและตะเกียบสั่นเล็กน้อย
“แหม! วันนี้ท่านบัณฑิตมาเร็วเสียจริง!”
เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยุ่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาแล้ว
ผ้าขนหนูสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งพาดไว้บนไหล่ เขาพลันก้มลงปัดเศษฝุ่นที่แทบจะมองไม่เห็นบนเก้าอี้ด้วยแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเอ้อร์คนนี้ติดตามมากับเจ้าของร้านคนใหม่
พายุทรายในแดนพายัพไม่ได้ส่งผลต่อใบหน้าขาวสะอ้านนี้แม้แต่น้อย ร่างเล็กวิ่งไปมาในโถงราวลมหมุนขนาดย่อมทุกวัน ดวงตาทั้งคู่กลิ้งกลอกอย่างว่องไว ใบหูชี้ตั้ง แม้ไม่เห็นมันจะดึงดูดทรัพย์ แต่ก็ฟังรายการอาหารไม่เคยพลาดสักครั้ง
“แดดแรงขนาดนี้! จะอยู่เฝ้าแผงทำซากอะไรอีก ไม่สู้มาร่ำสุราสักกาให้สำราญใจ”
“ขอรับ! จัดโต๊ะให้ท่านบัณฑิตจาง! เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มสามอย่างเหมือนเดิม!”
เสี่ยวเอ้อร์ตะโกนไปทางโรงครัวด้านหลังโต๊ะคิดเงิน น้ำเสียงมีจังหวะน่าฟัง ไม่รู้สึกระคายหูแม้แต่น้อย
“ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านบัณฑิตจ่ายด้วยเงินสดหรือจะ…”
“รวมครั้งนี้ติดหนี้เจ้าอยู่เท่าไร”
“ท่านดื่มชาให้หายล้าก่อน เดี๋ยวข้าคำนวณให้ท่านสักครู่”
เสียงก๊อกแก๊กๆ ของลูกคิดทำให้น้ำชาในถ้วยชาไหวเป็นคลื่นเล็กน้อย
“ท่านบัณฑิต รวมครั้งนี้ทั้งหมดสิบหกตำลึงเจ็ดเฉียน วันนี้วันที่ห้าเดือนสาม คิดท่านสิบห้าตำลึงถ้วนแล้วกัน ที่เหลือคิดเสียว่าผู้น้อยคารวะท่าน”
เสี่ยวเอ้อร์พูดไปพลางพลิกหน้าสมุดบัญชีดังพึ่บพั่บ บัณฑิตจางหรี่ตาอยากดูให้ละเอียด แต่เขากลับพับปิดไปเสียแล้ว
“อะแฮ่ม มีกระดาษพู่กันหรือไม่”
“ข้าไปหยิบบนแผงลอยมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ!” เมื่อได้ยินคำนี้เสี่ยวเอ้อร์ก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
‘อักษรของตาเฒ่านี่ไม่ใช่แค่สิบกว่าตำลึงขี้ปะติ๋วนี่หรอก ประเดี๋ยวลางานกับเถ้าแก่ไปขายในที่ว่าการรัฐติง ตัดหนี้ของเขาออกไปยังเหลือกินเหลือใช้อีกไม่น้อย พอให้ข้าได้ใช้ชีวิตสง่าผ่าเผยสักสองสามวัน และข้าก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกคืนด้วย’
ขณะเสี่ยวเอ้อร์กำลังคิดแผนว่าจะขายอักษรนี้ให้ได้ราคาดีอย่างไรนั้น บัณฑิตจางกลับลีลาไม่ได้ขยับพู่กัน
หมึกหยดหนึ่งหยาดจากปลายพู่กันโดยไม่ระวัง
ย้อมดอกท้อบนกระดาษจดหมายจนเป็นเหมยสีหมึก
ขยายไปทั่วสารทิศ กลืนกินสีขาวบริสุทธิ์
เสี่ยวเอ้อร์เงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ เห็นเพียงบัณฑิตจางจ้องกระดาษบนโต๊ะ หนวดผมชี้ตั้ง นัยน์ตาทั้งคู่แดงก่ำ เบิกจนแทบถลนด้วยความโกรธจัด
ราวกับกระดาษนี้มีความแค้นฆ่าภรรยาลักพาบุตรเขาอย่างไรอย่างนั้น
ปลายพู่กันยังคงสั่นไหว
หมึกหยดที่สองใกล้หยดลงเต็มที
เขียนอักษรก็เหมือนฝึกกระบี่ มือห้ามสั่นเป็นอันขาด
ในการดวลของยอดฝีมือ กระบี่เอียงเล็กน้อยก็ตายคาที่แล้ว เช่นเดียวกันหากนักเขียนพู่กันมือสั่นเพียงนิดก็เสียเปล่าทันที
เสี่ยวเอ้อร์ไม่เคยเห็นบัณฑิตจางมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน คิดจะเปิดปากพูดอะไรสักหน่อย ทว่ากลับได้แต่อ้าปาก เอ่ยคำใดไม่ออกสักคำ
ในชั่วพริบตานั้นบัณฑิตจางพลันยกข้อมือออกไปด้านนอกเล็กน้อย ฝ่ามือเกร็งแน่นดุจกรงเล็บเหยี่ยว เส้นโลหิตดำบนหลังมือนูนขึ้นทว่าหายไปในทันที ราวคืนสู่สภาพเดิม กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว
มือนั้น ยามนี้เชื่อมต่อกับพู่กันดั่งพวงไข่มุก
ก่อนหมึกหยดที่สองกำลังจะร่วงลงบนกระดาษ ปลายพู่กันก็จรดลงมาและเขียนเป็นเส้นตั้งเสียก่อน
‘คืนวานลมสารทพัดสู่ด่าน เห็นเพียงแสงจันทร์สาดทั่วเขาประจิม เร่งขุนพลปราบปรามปรปักษ์ บ่ให้รอดไปแม้นดุรงค์’
เสี่ยวเอ้อร์มองอักษรบนกระดาษ ไม่มีความเบิกบานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เพียงรู้สึกอักษรบนกระดาษนั้นบาดตาเขาจนเริ่มปวด
“ท่านบัณฑิต หากท่านยินดีเขียนอักษรหนึ่งชุดเช่นนี้ให้ผู้น้อยทุกวัน ผู้น้อยจะเตรียมไก่อวบอ้วนกับสุราเลิศรสนี้ไว้ให้ท่านตามเวลา ไม่เก็บเงินสักแดงเดียว”
เสี่ยวเอ้อร์ออกแรงกะพริบดวงตาที่ค่อนข้างปวดแสบ เขาพยายามยกยิ้มมุมปาก แสร้งเอ่ยเชิงหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี แต่เสียงกลับแหบแห้งนิดๆ
“ไสหัวไป เห็นข้าว่างมากนักรึ! เพ้อเจ้อให้มันน้อยหน่อย แล้วก็ไปเปลี่ยนสุราเสีย!”
บัณฑิตนำที่ทับกระดาษออกแล้วโบกมือ
กลับมามีท่าทีเหมือนตอนเข้าร้านในพริบตา
ไม่นานนักสีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
บัณฑิตจางกรึ่มๆ อยู่บ้างแล้ว
เวลานี้กำลังเคี้ยวถั่วพลางเค้นเสียงร้องเพลง
คนรอบข้างต่างเป็นกังวลแทนเขา กลัวเขาสำลักถั่วเข้าคอหอยแล้วตาเฒ่านี่จะขาดอากาศจนหมดสติไป
นี่คือสิ่งที่เหยียนจื่อผู้เดินเข้าโรงเตี๊ยมเป็นครั้งแรกมองเห็นก่อนเป็นอย่างแรก
เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าม้าอันรีบเร่งดังขึ้น
ประหม่าและลิงโลด ฮึกเหิมและเร่งร้อน
แต่ไม่นานก็ถูกเสียงโห่ร้องยินดีที่ตามมานั้นกลบหายไป
นอกจากบัณฑิตจาง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ดูเร็ว แม่นางหลี่อวิ้นลงมาแล้ว!”
ผู้คนที่ตอนแรกกำลังชมละครอยู่นั้นกระสับกระส่ายขึ้นมาฉับพลัน
กระทั่งบัณฑิตจางก็หยุดเสียงแหลมสูงประหนึ่งขันทีนั่น ชำเลืองมองไปยังหัวมุมบันไดแวบหนึ่ง
เป็นแม่นางวัยยี่สิบในชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีฟ้านางหนึ่ง
บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ
นางยืนอยู่กลางบันได
สายตาของนางกวาดมองทั่วทุกมุมในห้องโถง ไล่ผ่านใบหน้าทุกคน ใบหน้าละโมบและสอพลอแต่ละดวงสะท้อนเข้าสู่สมอง แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นใต้น้ำสีเทาระลอกหนึ่งจุกอยู่กลางอก
ปีกจมูกนางกางเล็กน้อย พลันสูดหายใจเข้าลึก
ให้คลื่นใต้น้ำที่จุกตรงอกนี้ระบายออกพร้อมอากาศสกปรกที่หายใจออกมา ส่วนที่เหลือก็กระจายอยู่ท่ามกลางอวัยวะภายใน
“วันนี้มากันพร้อมหน้าเชียว”
“พี่เสี่ยวเอ้อร์ ส่งสุราให้แขกทุกท่านในที่นี้โต๊ะละหนึ่งกา บันทึกไว้ในบัญชีของข้า”
หลี่อวิ้นพูดพลางเดินลงบันไดครึ่งที่เหลือจนสุด
ทุกคนในโถงใหญ่ต่างระมัดระวัง แสร้งวาดหวังอย่างสุภาพว่านางจะ ‘ให้เกียรติ’ ดื่มกับตนสักจอก พอวันรุ่งขึ้นอย่าว่าแต่เมืองจี๋อิง กระทั่งหัวเมืองรัฐติงก็คงมีคนครึ่งหนึ่งรู้ว่าแม่นางหลี่อวิ้นดื่มสุรากับตนจอกหนึ่ง
ทว่าหลี่อวิ้นไม่ได้คิดจะนั่งลง
นางประหนึ่งผีเสื้อที่เลือกดอมดมบุปผา เดินวนไปมาอยู่ระหว่างโต๊ะพลางรับคำสรรเสริญเยินยอของทุกคนโดยไม่เผยความรู้สึกชิดใกล้หรือห่างเหิน
………………………………………
[1] ราชสำนักทุ่งหญ้า หมายถึงค่ายทัพของเหล่าชนกลุ่มน้อย