ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 360 เป็นเทพเหรอ
“…” ซื่อไป๋ชะงัดไป ไม่รู้จะคัดค้านอย่างไรดี
“หากเจ้ายังคิดไม่ออกว่าจะพูดอย่างไร เช่นนั้นพวกเราหยุดพูดถึงความอยากที่ชั่วร้ายก่อน กลับมายังเรื่องตรรกะ!” อวิ๋นเจี่ยวยิ่งพูดตรรกะยิ่งชัดเจน เธอวิเคราะห์ต่อ “พูดถึงสรรพสิ่งและวิญญาณบนโลกนี้ อิ้งหลุนบอกว่าจำนวนวิญญาณบนโลกนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นวิญญาณแต่ละตนจึงมีคุณค่ามาก ถึงแม้จะเป็นเสี้ยววิญญาณของเผ่าปีศาจก็ต้องเก็บเอาไว้ ส่งเข้าแม่น้ำหยิน เช่นนี้ถึงจะมั่นใจว่าสรรพสิ่งบนโลกไม่ขาดสาย หากตามที่เจ้าพูด…”
เธอหันหน้าไปมองซื่อไป๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิม “อย่าพูดถึงความปรารถนาชั่วร้ายในโลกนี้มีมากเพียงใดเลย วันนี้เจ้ากำจัดวิญญาณร้ายหนึ่งคน วันพรุ่งนี้กำจัดอีกปีศาจหนึ่งตน หากเป็นแบบนี้ในระยะยาว…”
มันคือวิธีการลบแบบระยะยาว หากวิญญาณเพียงหนึ่งสองตัวอาจไม่ชัดเจน แต่หากมากกว่านั้นล่ะ
“ซื่อไป๋ พวกเจ้าคือเทพผู้สร้างโลกมาหลายครั้ง มีเวลานิรันดร แต่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะทนต่อการสูญสิ้นเช่นนี้ได้หรือ”
“ความปรารถนาชั่วร้ายอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจทุกคน ทุกคนล้วนมี แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขาจะควบคุมมันได้หรือไม่ มันคือธรรมชาติของมนุษย์สิ่งเดียวที่ควบคุมได้ก็คือศีลธรรม! เมื่อคนมีข้อจำกัดทางศีลธรรม พวกเขาจะตามใจความปรารถนาชั่วร้ายของตนเอง” ดังนั้น วิธีเดียวที่จะปรับปรุงโลกได้คือการศึกษา
“วิธีง่ายของเจ้าที่กำจัดวิญญาณโดยตรง วันหนึ่งวิญญาณทั้งหมดในโลกนี้จะหายไป หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้ากำลังช่วยดินแดนทั้งหกหรือกำลังทำลายดินแดนทั้งหกกัน?”
“…” เขาพูดไม่ออก เพราะเขาไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
“ปีศาจไม่ใช่สิ่งที่ดีก็จริง แต่เรื่องต่างๆ ควรมีพื้นที่ว่างไว้บ้าง มิฉะนั้นมนุษย์กับปีศาจก็ไม่มีความแตกต่างกัน โลกปีศาจคือพื้นที่ว่างที่อาจารย์ปู่ทิ้งไว้ให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพูด
“เจ้าเอาแต่พูดว่าอาจารย์ปู่ไม่ควรสร้างดินแดนปีศาจและเซินยวน เพราะพวกเขาทำลายกฎเกณฑ์ของโลก! แต่ในความคิดของข้า เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ของโลก ทำอะไรตามใจของตนเอง”
ซื่อไป๋สีหน้าเปลี่ยนไป คนทั้งคนราวกับลูกโป่งที่พองลม เขาถลึงตาใส่เธออย่างขุ่นเคือง “เจ้า…เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหล! เยี่ยยวนไม่มีทางใจดีเช่นนั้น เขาใจแคบ ไร้เยื่อใย ดวงตาไร้อารมณ์! เป็นคนที่คนบนโลกเกลียด เจ้าเป็นคนของเขา ย่อมต้องพูดแทนเขา…เจ้ากำลังบิดเบี้ยวความจริง ตรรกะลวง ล้วนเป็นตรรกะลวง! ข้าไม่หลงกลหรอก! ฮึ!”
ราวกับจะปกปิดอะไรบางอย่าง เขากลบเกลื่อนด้วยการพ่นลมหายใจใส่เธออย่างแรง “ข้าไม่สน! อย่างไรก็ตาม ข้าต้องกำจัดเยี่ยยวนให้ได้! เจ้าพูดแก้ตัวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้เจ้าอยู่ในมือข้า! เจ้าต้องช่วยข้าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!”
“เจ้าเริ่มรู้สึกผิดหรือ” เขาเถียงตนเองไม่ได้ จึงเริ่มงอแงขึ้นมาแล้วเหรอ เทพแห่งการสร้างโลกอะไรกัน
“เจ้าหุบปาก!” ซื่อไป๋ถลึงตาใส่เธอ ก่อนจะเสกวิชาเวทกลางอากาศด้วยมือข้างเดียว ทุ่งดอกไม้บริเวณรอบด้านราวกับถูกบางอย่างกวดผ่าน วงแสงจำนวนมากลอยมาจากทุกทิศ รวมอยู่ในมือของเขา กลายเป็นของเหลวสีทอง เขาหยิบเหยือกกระเบื้องสีครามออกมารับเอาไว้
“ให้ เจ้าดื่มสิ่งสีเสีย!” เขายัดเหยือกใส่มือของเธอ พูดออกคำสั่ง
อวิ๋นเจี่ยวถอยหลังไป ไม่ได้รับ “อะไรกัน” แค่เห็นก็ผิดปกติ
เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมพูดด้วยความเย่อหยิ่ง “นี่คือหยาดน้ำสวรรค์ ผู้ดื่มสามารถละทิ้งร่างหยาบกลายเป็นคนของดินแดนเทพ มีเพียงข้า…ราชาเทพถึงจะผลิตออกมาได้ มอบให้มนุษย์อย่างเจ้าถือว่าให้เกรียติเข้ามากแล้ว”
“ไม่เอา!” อวิ๋นเจี่ยวทันควัน
“อะไรนะ!” ซื่อไป๋ผงะ ราวกับไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธ สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายราวกับมองคนสติไม่ดี
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่ไม่ใช่การบรรลุเป็นเซียน แต่เป็นโอกาสบรรลุเป็นเทพ เจ้าฝึกฝนเสมอมาไม่ใช่หรือ”
ไม่ได้ฝึกฝนเพื่อบรรลุเป็นเซียน?
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพูดต่อ “ไม่เอา!”
“เจ้าไม่เอาจริง!” เขาทำสีหน้าเหลือเชื่อ
“ไม่เอา อย่างไรข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเป็นครั้งแรก”
“อะไรนะ ไม่ใช่ครั้งแรก?” หมายความว่าอย่างไร
“อืม ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบกับแสงสวรรค์แห่งการชักนำ ข้าก็ปฏิเสธเช่นเดียวกัน” แค่บรรลุเป็นเทพ ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น “ดังนั้นการบรรลุเป็นเทพไม่มีแรงดึงดูดอะไรต่อข้า ซื่อไป๋ เจ้าเป็นเทพแห่งการสร้างโลก ครั้งหน้าหากคิดจะซื้อใจคน จำไว้ว่าให้มอบสิ่งของที่มีประโยชน์ไม่ใช่สิ่งของที่หมดอายุเช่นนี้ เข้าใจ?”
หมดอายุอะไรกัน!
สีหน้าของซื่อไป๋เผยให้เห็นหลายอารมณ์ ก่อนจะดึงที่ปิดปากขวดออก พร้อมพูดด้วยเสียงกัดฟัง “เจ้าไม่มีทางเลือก วันนี้เจ้าต้องดื่มมันเข้าไป”
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเขาขึ้นลง
“ในขวดนี้ไม่ได้มีเพียงหยาดน้ำสวรรค์ แต่ยังปนไปด้วยสิ่งอื่นใช่หรือไม่”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาเหนื่อยเกินกว่าจะเสแสร้ง จึงพูดออกมาโดยตรง “ใช่ ในนี้ยังมีหยาดน้ำค้างลวงจิต ตราบที่เจ้าดื่มเข้าไป เจ้าจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่นนี้เยี่ยยวนต้องโกรธจนเป็นบ้าอย่างแน่นอน!” ขณะที่เขาพูดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แม้ว่าเจ้าจะไม่ยินยอม แต่เจ้าจะทำอะไรข้าได้” ขณะที่พูด เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้ามือเธอเอาไว้
อวิ๋นเจี่ยวตกใจ เฮ้ย เขาเอาจริง?
เธอรีบก้าวถอยหลังไป นาทีถัดมาด้านหลังปรากฏกำแพงขึ้นมาด้นหนึ่ง ขัดขวางทางไปของเธอ
ซื่อไป๋ถือโอกาสทาบมือลงบนกำแพง กักขังเธอเอาไว้ก่อนจะยิ้มได้ใจมากขึ้น “เพียงแค่เจ้าดื่มมัน กลายเป็นเทพ และคนของข้า เยี่ยยวนถึงจะโกรธเพียงใดก็ไร้วิธี…”
“เจ้ารอก่อน! เป็นเทพต้องมีเหตุผล!” อวิ๋นเจี่ยวตระหนก “ข้าไม่อยากกิน เจ้าอย่าเข้ามา!”
อีกฝ่ายราวกับไม่ได้ยิน พูดจบก็จับคางของเธอเอาไว้เตรียมจะกรอกของเหลวเข้าปาก
เฮ้ย! ไม่เคยเจอเทพที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!
อวิ๋นเจี่ยวกัดฟัน หันหน้าหลบมือของเขา ก่อนจะยกขาถีบไปยังหว่างขาทั้งสองข้างของอีกฝ่าย
“ไปให้พ้น!”
แต่แล้ว…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ขาที่อวิ๋นเจี่ยวยกขึ้นนั้นหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
อีกทั้งคนบางคนยังก้มมองขาที่เธอยกขึ้นมา พร้อมถามด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้ายกขาสูงเช่นนี้ทำไมกัน”
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
“เจ้า…ไม่เจ็บหรือ”
“เหตุใดจึงเจ็บ ฮึ! มนุษย์อย่างเจ้าคิดจะทำร้ายข้า?”
“…” เขาไม่เข้าใจความเจ็บของผู้ชาย?
“เช่นนั้นมนุษย์โจมตีเจ้าตรงไหนถึงจะเจ็บ” เธอถามออกมา
“ไม่รู้ อาจจะเป็นดวงตา?”
“อ่อ ขอบใจ!” อวิ๋นเจี่ยวไม่พูดพล่ามทำเพลง เงยหน้าทิ่มเข้าไปที่ดวงตาของเขา
“อ๊าก...” ซื่อไป๋ดีดตัวออกไป ก่อนจะถลึงตาใส่เธอด้วยความโกรธ “เจ้า…เจ้าลอบทำร้ายข้า!”
“…” เจ้าเพิ่งรู้เหรอ!