ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 333 แขกที่ไม่คาดฝัน
“หากคำสาปนี้แก้ไขได้ง่ายเพียงนี้ เยี่ยยวนคงไม่รอจนถึงตอนนี้” อิ้งหลุนพูดต่อ “ศิษย์หลานตัวน้อย…เจ้าวางใจ เจ้าเป็นห่วงใครก็ไม่ต้องเป็นห่วงตาเฒ่าเยี่ยยวน ถึงแม้โลกนี้จะมีใครเป็นอะไรไป เขาก็ไม่เป็นอะไร เพียงแค่นอนนานไปบ้างเท่านั้น เจ้าไม่ต้องสนใจเขา คำสาปนี้ข้าเองยังไม่รู้ หากเยี่ยยวนไม่ได้สูญเสียความทรงจำ เขาอาจมีวิธีแก้ ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ ยกเว้นเจ้าหาคนที่ลงคำสาปได้ เพียงแต่คนที่สามารถลงคำสาปต่อเยี่ยยวนได้นั้นคงไม่สามารถตามหาตัวได้ง่าย บางทีเขาอาจตื่นขึ้นมาก่อนที่เจ้าจะหาเจออีก ดังนั้นศิษย์หลานตัวน้อย ข้าว่าเจ้าล้มเลิก…”
“คนผู้นั้นอยู่ดินแดนปีศาจ?” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น
อิ้งหลุนชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ทันใดนั้นเขากระแอมไออย่างรุนแรง “แค่กๆๆ …เจ้า…” รู้ได้อย่างไร
“ดูเหมือนจะใช่” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเขา มั่นใจความคิดภายในใจ
“ไม่ใช่ ศิษย์หลานตัวน้อยเจ้า…” อิ้งหลุนตกตะลึงอย่างมาก มองหน้านางด้วยความเหลือเชื่อ ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่นางเดาได้อย่างไรกัน
“เดาได้ไม่ยาก ครั้งก่อนท่านเป็นคนบอกว่าเมื่อรอเรื่องของดินแดนปีศาจจบสิ้น อาจารย์ปู่ก็จะตื่นขึ้นมา แสดงว่าการเข้าสู่ห้วงนิทราของอาจารย์ปู่มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ เช่นนั้นคำสาปบนตัวเขาก็ย่อมเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย ก่อนจะพูดต่อ “แต่คำสาปที่แม้แต่อาจารย์ปู่ยังแก้ไม่ได้ คนที่ลงคำสาปต้องไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่อยู่แนวหน้า หรือว่าจะเป็นราชาปีศาจ?”
“…”
“ไม่ใช่” นางคัดค้านความคิดของตนเอง “ตามที่จี้เฟิงบอกเผ่าปีศาจไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นดินแดนปีศาจไม่มีราชาปีศาจ มีเพียงเจ้าเมือง ปีศาจเลือดก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ความสามารถของปีศาจเลือดห่างจากอาจารย์ปู่มากเกินไป ความสามารถของเผ่าปีศาจเทียบเท่ากับเผ่าเทพ ดังนั้นคนที่ลงคำสาปอาจจะเป็น…เทพปีศาจ?”
อิ้งหลุน “…” ช่างเป็นการวิเคราะห์ที่น่ากลัว! เขายังสามารถพูดอะไรได้อีก! เขาไม่อาจพูดอะไรทั้งนั้น
สักพัก…
“ศิษย์หลานตัวน้อย รอเยี่ยยวนตื่นมา เจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ได้หรือไม่” เขาอาจถูกตีตายก็ได้!
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ชายแก่ “…”
…
ถึงแม้จะรู้สาเหตุที่อาจารย์ปู่สลบแล้ว แต่อวิ๋นเจี่ยวก็คิดหาวิธีแก้ไขไม่ได้แม้แต่น้อย แม้แต่วิธีแก้คำสาปก็ยังไม่รู้ อิ้งหลุนต้องปิดบังอะไรไว้แน่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาหลบซ่อนตัวกลับไปยังหลังเขา และไม่ว่าจะถามอย่างไร เขาก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลแม้แต่น้อย ใช้เมล็ดพันธุ์มาแลกเปลี่ยนก็ไร้ประโยชน์ ทั้งที่เป็นคนพูดเจื้อยแจ้ว แต่เขากลับลงคำสาปหยุดพูดให้ตนเอง เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจไม่พูด
นางรู้เรื่องนี้เพียงบางส่วน คงไม่อาจบุกเข้าไปหาคนในดินแดนปีศาจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าประตูดินแดนปีศาจเพิ่งผนึกลงไปจากการร่วมแรงของทั้งสามโลก เสถียรหรือไม่ยังต้องคอยดูกันต่อไป แต่จากความสามารถของนางเพียงคนเดียว ถึงแม้จะหาคนที่ลงคำสาปให้อาจารย์ปู่เจอ จะเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่ยังไม่อาจรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้อีกฝ่ายแก้คำสาปให้อาจารย์ปู่
ดังนั้นตอนนี้นอกเสียจากอาจารย์ปู่ตื่นขึ้นเอง นางไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ โชคดีที่เสวียนเหมินบรรลุเป็นหมู่คณะ ตอนนี้นางไม่ต้องเข้าสอนทุกวัน จึงมีเวลาว่างครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขปัญหานี้
อย่างเช่น…จะให้อิ้งหลุนเปิดปากอย่างไร
แต่ยังไม่รอนางครุ่นคิดได้ วันที่สองมีคนที่อยู่นอกเหนือการคาดหมายเดินทางมายังอาราม
“จี้เฟิง?” มองดูคนที่ไม่ค่อยเป็นตัวเองในห้องโถง อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ก่อนจะถามขึ้น “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ได้กลับดินแดนเทพหรือ”
จี้เฟิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาห่อเหี่ยวลงไปทันที ภายในดวงตาฉายแววโศกเศร้า เขากำมือข้างตัวแน่นก่อนจะพูดขึ้น “ข้า…กลับไปไม่ได้แล้ว”
“ฮะ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะตั้งแต่โจมตีเผ่าปีศาจจนล่าถอยไปและวางค่ายกลเสร็จสิ้นแล้ว นางก็เดินทางกลับดินแดนมนุษย์เพื่อรักษาผู้บาดเจ็บก่อน ไม่รู้ว่าภายหลังเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นจี้เฟิงไม่ได้กลับมาพร้อมลูกศิษย์ของสำนักเทียนซือ นางยังคิดว่าภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว จึงเดินทางกลับดินแดนไป เพราะไม่มีใครรั้งเขาไว้ได้ แต่สิ่งที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร กลับไปไม่ได้?
“เหตุใดจึงกลับไปไม่ได้”
ดวงตาของเขามืดมนลง ก่อนจะหัวเราะเสียงเบา “ดินแดนเทพแตกต่างจากสามโลก ไม่อาจเดินทางออกจากดินแดนโดยพลการได้ เหมือนดั่งดินแดนปีศาจที่มีผนึก คนของเผ่าเทพก็ไม่อาจเข้าสู่สามโลกได้อย่างง่ายดาย”
“ดินแดนเทพก็มีผนึก!” ไม่เพียงแต่อวิ๋นเจี่ยว แม้แต่ชายแก่ก็ตกตะลึง มีใครสามารถผนึกเทพได้กัน
“ไม่ถือว่าเป็นผนึก” จี้เฟิงขมวดคิ้ว ราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สักพักเขาพูดขึ้นด้วยความลังเล “อาจถือว่าเป็น…กฎเกณฑ์ประเภทหนึ่ง ดินแดนเทพมีมิติปิดบัง คนของเผ่าเทพไม่อาจเข้าสู่สามโลกได้ตามอำเภอใจ”
“ไม่ใช่” ชายแก่ครุ่นคิดก่อนจะคัดค้าน “ที่แดนปีศาจก่อนหน้านี้เป็นฝีมือของเผ่าเทพไม่ใช่หรือ หากเผ่าเทพไม่อาจเข้าสู่สามโลกตามอำเภอใจ สงครามระหว่างเทพและปีศาจเมื่อหลายหมื่นปีก่อนคืออะไรกัน” ผนึกที่อยู่ในยมโลกเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเผ่าเทพเคยไปยมโลกมาก่อน
“ครั้งนั้นเป็นข้อยกเว้น” จี้เฟิงอธิบาย “ร่ำลือว่าครั้งนั้นมีคนเปิดทางผ่านระหว่างหกโลก ทำให้เผ่าเทพปรากฏตัวขับไล่เผ่าปีศาจ ครั้งนี้ที่ข้ามาสามโลกได้ ก็เพราะฟ้าดินพลิกผัน เหล่าเทพร่วมแรงกันส่งข้าข้ามมา” นี่เป็นสาเหตุที่มีเพียงเขาข้ามมาช่วยเหลือแค่คนเดียว ทั้งที่ผนึกพังทลายลงไป
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ชายแก่กระจ่างขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวนึกถึงเรื่องอื่นขึ้น นางถามต่อ “เจ้าบอกว่าหลังจากสงครามเทพและปีศาจเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เผ่าเทพก็ไม่อาจออกมาจากดินแดนเทพได้อีก?”
“ใช่แล้ว” จี้เฟิงพยักหน้า “ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ออกมา ความสามารถของข้าไม่อาจทะลุดินแดนระหว่างสามโลกและดินแดนเทพได้ ดังนั้น…ข้ากลับไปไม่ได้แล้ว”
ตอนนั้นที่เขาลงมา เขามีความคิดว่าตนเองต้องตายอย่างแน่นอน เพราะดินแดนปีศาจไม่ได้รับมือได้ง่ายขนาดนั้น ถึงแม้รวบรวมกำลังสามโลกได้ทันเวลาแต่ก็ไม่อาจต้านทานเผ่าปีศาจทั้งหมดเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดที่จะกลับไป แต่เขาคาดไม่ถึงว่าสามโลกจะเก่งกาจถึงขนาดจัดการปีศาจเลือดได้ ถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นดับสูญ
ชายแก่เกิดความเห็นใจเขาขึ้นมา ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเกลียดอีกฝ่ายที่ลงมือต่อพวกเขาอย่างไม่แยกแยะ แต่หลังจากผ่านสงครามกับเผ่าปีศาจนั้น ความโกรธของเขาก็ลดลงไปไม่น้อย อีกทั้งจุดประสงค์ของจี้เฟิงก็ทำเพื่อสามโลก
จี้เฟิงกลับไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น “ไม่เป็นไร ท่านเทพเมื่อตอนนั้นเสียสละตนเองเพื่อผนึกเผ่าปีศาจ พวกท่านก็ต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ เมื่อเทียบกับพวกเขา ข้าโชคดีมากแล้ว” อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
สายตาของอวิ๋นเจี่ยวเปลี่ยนไป นางถามขึ้น “เจ้าบอกว่าเทพที่ผนึกดินแดนปีศาจในตอนนั้นล้วนดับสูญแล้ว”
“ใช่” จี้เฟิงพยักหน้า “ค่ายกลแสงแห่งเทพแตกต่างจากค่ายกลอื่น ตอนนั้นท่านเทพสิบสององค์ร่วมมือกัน สูญสิ้นจิตแห่งเทพถึงจะวางค่ายกลนี้สำเร็จ จากนั้นจิตแห่งเทพก็สลายไปอย่างรวดเร็ว” ดับสูญจึงเป็นเรื่องปกติ