ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 332 เลื่อนการตื่น
ทุกคนรู้สึกเพียงตัวเบาขึ้น ไม่ต้องใช้พลังลมปราณก็ลอยขึ้นด้านบน ตามความสูงในการลอยขึ้น ภายในร่างกายมีบางอย่างกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างกายมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ราวกับมีบางอย่างกำลังถูกแทนที่ แม้แต่เหล่าร่างกายของลูกศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บในสงครามดินแดนปีศาจก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว…ไม่ มันคือร่างกายใหม่ เวลานี้ทุกคนถึงได้กระจ่างว่ามันคือการเปลี่ยนเป็นกระดูกเซียน
ขั้นตอนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ทุกคนรู้สึกร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ในเวลาเดียวกันพวกเขาทะลุข้ามผ่านมิติบางอย่าง นาทีถัดมาทุกคนก็มานืนอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยพลังเซียน ทั้งที่บนตัวยังสวมชุดเดิม ไม่มีอะไรแตกต่างออกไป แต่ทุกคนล้วนมีความรู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่ ถึงแม้กำลังของทุกคนจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่พลังภายในร่างกายเปลี่ยนไปเป็นพลังเซียน
“ที่นี่คือดินแดนสวรรค์?” เหล่าลูกศิษย์มองไปรอบข้างอย่างสงสัย ก่อนจะพบว่าสถานที่ที่พวกเขายืนอยู่นั้นค่อนข้างห่างไกล มองไม่เห็นหอหรือวังใดๆ มีเพียงพื้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น
เจ้าสำนักสวีหันไปมองราชามารที่ขึ้นมาก่อนพวกเขา แต่ไม่พบอาจารย์อาหยวน เมื่อครุ่นคิดแล้ว เขาถึงพบว่าสถานที่ที่บรรลุเป็นเทพกับสถานที่ที่เหล่าเซียนกลับขึ้นมาไม่ใช่สถานที่เดียวกัน
แต่ว่าเช่นนี้ก็ดี ถึงแม้เหล่าหยวนเจียงก็เป็นคนในเสวียนเหมิน อีกทั้งเซียนในบูรพาสวรรค์ก็เป็นมิตร แต่เซียนคนอื่นไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาตั้งแต่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ดี
อาจารย์อวิ๋นพูดถูก ดินแดนสวรรค์ถึงแม้จะไม่ดี แต่พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้นได้ เหมือนดั่งเสวียนเหมินในเดิมที ถึงแม้จะมีสำนักเทียนซืออยู่ แต่ระหว่างสำนักล้วนมีการแย่งชิงแข่งขันกัน อีกทั้งบางสำนักเกิดการฆ่าคนแบ่งสมบัติเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่ละสำนักยึดถือทรัพยากรน้อยนิดของตนเอง สร้างมาตรฐานการศึกษาให้กับวิชาเวทมากมาย ปิดกั้นประตูของตนเองเหมือนดั่งสวรรค์ในตอนนี้
แต่อาจารย์อวิ๋นเปลี่ยนแปลงเสวียนเหมินด้วยตัวคนเดียวได้ ทั้งที่เรื่องนี้ยังผ่านมาไม่ถึงสิบปี แต่คนเฒ่าคนแก่อย่างพวกเขายังรู้สึกเหมือนห่างเป็นชาติ ดินแดนสวรรค์ในเวลานี้ก็เพียงแค่เริ่มต้นใหม่เท่านั้น ตอนที่เป็นมนุษย์ใช้เวลาเพียงสิบปียังสามารถทำได้ ตอนนี้เป็นเซียน พวกเขามีเวลาหลายพันหลายหมื่นปี จะมีอะไรน่ากังวลกัน
เจ้าสำนักสวีตัดสินใจ อีกทั้งยังเกิดความคิดอยากออกข้อสอบขึ้นมา เขาหันไปพูด ”อาจารย์อวิ๋น ท่านว่าพวกเราเริ่มเปลี่ยนจาก…เอ๊ะ?! อาจารย์ คนล่ะ?!” เขากำลังวางแผนในการสร้างความสามัคคีครอบครัวดินแดนสวรรค์ แต่เมื่อหันไปกลับพบแค่ความว่างเปล่า
อวิ๋นเจี่ยวที่ยังอยู่ด้านล่าง: “…”
อ้าว!
…
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นมองไปยังแสงสวรรค์ที่เลือนลางลงไป อีกทั้งไม่มีทีท่าจะรับเธอขึ้นไปแม้แต่น้อย ก่อนจะมองไปยังสำนักเทียนซือที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นมีความรู้สึกอยากยกนิ้วกลางให้ฟ้า
เธอรู้สึกว่าครานี้หนทางแห่งสวรรค์จงใจละเลยเธอ แม้แต่ถามยังไม่ถาม โยนเธอทิ้งไว้ในดินแดนมนุษย์โดยตรง ถึงแม้เธอจะไม่มีแผนการบรรลุ แต่ความรู้สึกถูกทิ้งไว้คนเดียวแบบนี้ ทำให้เธอไม่พอใจอย่างมาก
“เจ้า…เจ้าหนู…” ชายแก่ก็ทำหน้าระอา อีกทั้งอยากจะร้องไห้ออกมา “เจ้าก็แล้วไป เหตุใดข้าก็บรรลุไม่ได้?!” เป็นเพราะเขาไม่พยายามโจมตีเผ่าปีศาจหรือว่าข้อสอบทำน้อยไป
เจ้าหนูทำให้หนทางแห่งสวรรค์ขุ่นเคืองเขาเข้าใจได้ แต่เขาเป็นคนที่มีกำลังมากสุดในเสวียนเหมินรองจากอวิ๋นเจี่ยวเหตุใดเขาจึงบรรลุไม่ได้
อวิ๋นเจี่ยวมองเขา ก่อนจะข่มอารมณ์ของตนเองลง จากนั้นจึงพูดขึ้น “อาจเป็นเพราะท่านเป็นคนของชาวสวนอิ้ง?”
“เอ๊ะ?” ชายแก่ผงะ หมายความว่าอย่างไร
อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปบริเวณหัวใจของเขา ก่อนจะพูดขึ้น ”ป้ายยมราช!” เขามีป้ายยมราชติดตัว เดิมทีก็หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ไม่แตกต่างอะไรจากการบรรลุเป็นเซียน หนทางแห่งสวรรค์จึงไม่ได้เรียกเขา มิเช่นนั้นเมืองโยวหลิงจะทำอย่างไร
ชายแก่: ”…” ดังนั้นเขาไม่มีโอกาศบรรลุแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้เขาจะฝึกฝนทำไมกัน!
“เจ้าหนู…เจ้าว่าข้าลาออกกับชาวสวนอิ้งตอนนี้ทันหรือไม่”
“…”
…
เนื่องจากจำนวนคนที่บรรลุในครั้งนี้มีมากเกินไป สำนักเทียนซือแทบจะไปหมดแล้ว หลังจากที่อวิ๋นเจี่ยวมั่นใจว่าไม่มีผู้บาดเจ็บที่เธอต้องรักษาแล้ว จึงเดินทางกลับชิงหยางไปกับชายแก่ เมื่อพวกเธอก้าวเท้าเข้าประตู ก็พบกับชาวสวนอิ้งที่ถือตะกร้าผักเดินมา เมื่อเห็นพวกเธอก็วางตะกร้าลง
“พวกเจ้ากลับมาแล้ว ทำไม…เฮ้ย!” เขามองทั้งสองคนก่อนจะตกใจ ”ศิษย์ตัวน้อย…คุณงามความดีบนตัวเจ้าทำไมจึงหนาขึ้นอีกแล้ว อีกทั้งยังมีไป๋อวี้ เจ้าถูกศิษย์ตัวน้อยแพร่เชื้อเหรอ ทำไมคุณงามความดีบนตัวจึงมากขนาดนี้ แม้แต่พลังหยินหนางยังปกคลุมไว้ไม่อยู่ พวกเจ้าทั้งสองคนไปรับมือกับเผ่าปีศาจหรือว่าหนทางแห่งสวรรค์กันแน่”
ไปปล้นมา?
“เรื่องของดินแดนปีศาจจบสิ้นไปชั่วคราวแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย ก่อนจะมองไปรอบด้าน ก่อนจะมองไปยังด้านหลังของเขา “คนล่ะ?”
“ฮะ?” อิ้งหลุนผงะ ใคร
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้อธิบายอะไร เธอหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังยอดเจดีย์ ก่อนจะเข้าไปยังมิติที่คุ้นเคย เมื่อผลักประตูออกไปก็พบกับคนที่ยังคงนอนหลับอย่างเงียบสงบอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาแม้แต่น้อย
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” อวิ๋นเจี่ยวกังวลใจอย่างประหลาด จากนั้นเธอหันไปถามอิ้งหลุนที่เดินตามเข้ามา
“เจ้าบอกว่าเมื่อเผ่าปีศาจล่าถอยไป อาจารย์ปู่จะตื่นขึ้นมาหรือ เหตุใดเขาจึงยังนอนหลับอยู่”
“เอ๊ะ?” อิ้งหลุนก็ผงะไป เขากวาดตามองคนที่นอนอยู่ ภายในดวงตาฉายแววฉงน คิ้วของเขาขมวดขึ้น
“ยังไม่ตื่นจริงด้วย ตามหลักก็ถึงเวลาแล้ว ควรจะตื่นขึ้นมาถึงจะถูก หรือว่า…คำสาปนั้นจะมีปัญหา?”
“คำสาปอะไร” อวิ๋นเจี่ยวถามออกมาด้วยความตกตะลึง
“เอ…” อิ้งหลุนพบว่าตนเองพูดหลุดปาก สายตาของเขาล่องลอยมา เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอวิ๋นเจี่ยว เขาจึงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไร ก็คือมี…คนบ้าสมองมีปัญหาคนหนึ่ง ลงคำสาปพิเศษต่อเยี่ยยวนก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าสู่ห้วงนิทราเมื่อถึงเวลา อันที่จริงไม่ได้มีผลกระทบอะไร ดังนั้นข้าคาดเดาว่าเวลานี้เขาควรจะตื่นขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนี้ถึง…”
“เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขามาช่วยข้าหรือ” อวิ๋นเจี่ยวเดา ก่อนหน้านี้ปีศาจเลือดจะฆ่าเขา อาจารย์ปู่มาช่วยไว้ทัน หรือเป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เวลาการตื่นของเขาเปลี่ยนไป
“ไม่น่าใช่” อิ้งหลุนส่ายหัวอย่างมั่นใจ
“ช่วยเจ้าเป็นเพียงแค่สติส่วนหนึ่งของเขา ตัวของเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมา ไม่มีผลกระทบอะไรกับเขา”
อวิ๋นเจี่ยวยังคงไม่วางใจ เธอมองไปยังคนบนเตียงอีกครั้ง
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะแก้คำสาปบนตัวเขาได้”
อิ้งหลุนผงะ ก่อนจะหัวเราะเสียงเบาพร้อมส่ายหัว ”เจ้าแก้ไม่ได้ ไม่มีใครแก้ได้”
“…”