ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 747 อารัมภบทสัตว์เทพ (1)
บทที่ 747 อารัมภบทสัตว์เทพ (1)
ในพระราชวังในทะเลเลือดนั้น
เงาร่างวิญญาณที่น่ากลัวของผู้บำเพ็ญเหวินจิงได้ลอยออกไปข้างหน้าและวนเวียนอยู่รอบๆ ปีศาจสาวน้อย จากนั้นนางก็เปิดริมฝีปากสีแดงของนาง และค่อยๆ พ่นลมหายใจไปที่ข้างหูของนาง
แม้เด็กสาวจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ใบหน้าของนางก็ยังแดงระเรื่ออยู่เล็กน้อย และเส้นผมสีขาวเงินของนางก็ปลิวไสวเบาๆ
เหวินจิงแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าช่างเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีจริงๆ น่าเสียดายที่ต้องส่งเจ้าไปที่ภูเขาวิญญาณ ที่นั่นมีนักพรตเต๋าชราน้อยคนนักที่จะรู้วิธีกำจัดลมเสน่หาของเจ้าได้”
“เหวินจิง กระบี่ของบรรพบุรุษเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งเผ่าพันธุ์ของเรา”
ที่มุมหนึ่งนั้น เสียงแหบแห้งยังคงกล่าวต่อไปว่า “เราได้ยอมจำนนต่อภูเขาวิญญาณแล้ว กระบี่หยวนถูก็ได้ถูกส่งมอบให้อยู่ในหัตถ์ของฝ่าบาทแล้ว และภูเขาวิญญาณก็ไม่ได้มีการสูญเสียใดๆ”
“ราชินีผู้นี้จะส่งต่อวาจาของเจ้าไปโดยไม่ให้พลาดแม้แต่ถ้อยคำเดียว” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงหัวเราะเบาๆ และปัดปลายนิ้วของนางลูบไล้ไปบนใบหน้าของสตรีสาวผมสีเงินผู้นั้นพลางกล่าวต่อไปว่า “ทว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่นั้น ราชินีเช่นข้าก็ไม่อาจจัดการควบคุมได้”
ตึ้ง ตึ้ง…
ในอีกมุมหนึ่งนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเงาร่างแกร่งกำยำพุ่งออกมาจากความมืด น้ำเสียงหยาบกระด้างที่เกรี้ยวกราดนั้นเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกระงับเอาไว้อย่างหนักหน่วง
“ราชินีเหวินจิง เจ้าหมายความเช่นไร?”
“เป็นเรื่องคิดผิวเผินเล็กน้อย” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงสะบัดปลายนิ้วเบาๆ และคลี่ยิ้ม นางเหลือบหางตาดุจหงส์มองไปที่เงาร่างนั้น แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่มั่นใจหรือ?”
เงาร่างกำยำนั้นเงียบงันไป
“สวะ” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงแค่นเสียงเบาๆ จากนั้น นางก็หันกลับมาทันทีในขณะที่ชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางสีแดงโลหิตของนางพลิ้วไหวจนทำให้ทั่วทั้งห้องโถงสว่างไสว
ตามมุมต่างๆ มีเหล่าอสุราที่กำลังนั่ง และยืน หรือกำลังนอน พวกเขามีทั้งจากชราไปถึงเยาว์วัย และจากอ่อนแอไปถึงแข็งแกร่ง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนดูมีโทสะ
“อสุราทะเลเลือดไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว แต่เขายังคงถือกระบี่และเพ้อถึงความฝันอันงดงามที่เคยมีในเวลานั้นตลอดทั้งวัน
เจ้าลืมแล้วหรือว่า บรรพบุรุษของเจ้าสิ้นชีพได้อย่างไร?
แล้วหากเจ้ามีกระบี่เล่า? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเล่า หากเจ้าพบกระบี่หยวนถู และกระบี่อเวจี?
ทะเลเลือดเช่นนี้ ปล่อยให้แห้งหายไปจะดีกว่า ไยยังต้องดิ้นรนเล่า?
ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเสียดแทงแก้วหู ผู้บำเพ็ญเหวินจิงและสตรีน้อยผมสีเงินก็หายตัวไปย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ปัง
ทันใดนั้นกำแพงก็ถูกทุบด้วยกำปั้นเหล็ก และพระราชวังที่พังทลายก็สะท้อนดังก้องกังวานไปด้วยเสียงคำรามที่ถูกเก็บกลั้นเอาไว้ แล้วในที่สุดมันก็ค่อยๆ สงบลง
ท่ามกลางแสงสีโลหิตที่บินไปยังชายแดนแห่งแดนยมโลก ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็มองไปที่เด็กสาวในมือของนางพลางครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วคลี่ยิ้มบางที่มุมปากของนาง
ช่างเถิด
ยามนี้ ข้าไม่มีทางจะติดต่อกับใต้เท้าเทพแห่งท้องทะเลได้ ข้าควรสะสางงานที่ภูเขาวิญญาณมอบหมายให้เสร็จก่อนจะดีกว่า อย่าสร้างปัญหาเพิ่มโดยไม่จำเป็นเลย
เดิมทีข้าต้องการจะฝึกอบรมสาวใช้ให้ใต้เท้าเทพแห่งท้องทะเล เพราะในท้ายที่สุดแล้ว สายโลหิตของบรรพชนหมิงเหอแห่งแดนยมโลกนั้น ก็ค่อนข้างหาได้ยากในเวลานี้
อืม?
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเลิกคิ้วและแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจสอบเมืองเฟิงตู
บัดนี้ ชาวเผ่าเวทสงครามที่แบกโลงศพและบรรเลงดนตรีได้เดินออกจากเส้นทางด่านที่แข็งแกร่งนอกเมืองแล้ว ดูเหมือนว่า พวกเขาจะกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังชายแดนแห่งแดนยมโลก
ในขณะนี้ จอมทัพยมทูตเกี่ยววิญญาณแห่งแดนยมโลก ซึ่งสวมหมวกเกราะ กำลังนั่งอยู่บนโลงศพหิน เขายังคงบิดร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาไปมาตามจังหวะฆ้องและกลองที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างต่อเนื่อง
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกระตุกมุมปากสองสามครั้ง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่า การภักดีต่อเทพแห่งท้องทะเลนั้น ยังดีกว่าที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเป็นสายลับแอบแฝงในสำนักบำเพ็ญประจิม…
ช่างมีความสุขจริงๆ
……
ในขณะนั้น ใกล้กับเมืองมนุษย์ขนาดใหญ่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือแห่งดินแดนเทวะทักษิณ
นักพรตเต๋าชราลู่หยาสะพายน้ำเต้าใหญ่เอาไว้บนหลัง และค่อยๆ ร่อนลงมาจากหมู่เมฆ เขาแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจจับสถานการณ์ในเมืองอย่างระมัดระวัง
บางทีเขาอาจเพ่งสมาธิจดจ่อมากเกินไป แต่เมื่อเขากำลังจะร่อนลงสู่พื้น จู่ๆ เท้าของเขาก็ไถลลื่น และทันใดนั้น องค์ชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ เจ้าของมีดบินสังหารเซียน และคนแรกที่ถูกศาลสวรรค์ไล่ล่าก็ล้มลงไปข้างหน้าอย่างไม่มีเหตุผล
ลู่หยาตระหนกตกใจ แต่ปฏิกิริยาของเขาก็รวดเร็วยิ่งเช่นกัน ร่างของเขาเคลื่อนไหวแวบวาบฉับไว จากนั้นเขาก็ใช้วิชาเวทเคลื่อนย้ายร่าง และไปปรากฏตัวห่างออกไปสิบจั้งแล้วยืนอยู่อย่างมั่นคง
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าลู่หยาขมวดคิ้ว
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ข้า…เคยสัมผัสประสบการณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ภัยพิบัติเยี่ยงนี้ มาก่อน…
เกิดอันใดขึ้น?
เหตุใดถึงมาที่นี่อีกครั้ง?
หรือว่า โชคร้ายนี้เกิดขึ้นจากการโคจรลมปราณ?
หรือเป็นเพราะเผ่าปีศาจขาดโชค?
“เหอะ!”
ข้า นักพรตเต๋าลู่หยาจะติดอยู่ในความโชคร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?!
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าลู่หยาหลับตาลง และตรวจจับสถานการณ์ในเมืองใหญ่ใกล้ๆ นั้นอย่างระมัดระวัง
หลังจากค้นพบผู้ยิ่งใหญ่ที่เขากำลังตามหาแล้ว เขาก็ใช้เวทจำแลงกายและกลายร่างเป็นสตรีวัยกลางคน
เพียงในขณะที่เขากำลังจะรีบพุ่งเข้าไปในเมืองใหญ่นั้น นักพรตเต๋าลู่หยาก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้
สัมผัสอ่อนนุ่มที่ฝ่าเท้าของเขา ความเหนียวหนึบเล็กน้อย และกลิ่นหอมบางเบาที่เขาสัมผัสได้จากปลายจมูก…
ลู่หยากัดฟันและก่นด่าสาปแช่งสัตว์ร้ายหยาบคายตัวหนึ่งในขณะที่เขาเดินออกจากป่า
ในระหว่างทางนั้น ลู่หยาก็ได้ปะทะเข้ากับหมาป่าบ้าคลั่งสองตัวที่กำลังต่อสู้กันเองอย่างอธิบายไม่ถูก
ขณะที่เขาเดิน เขาก็ได้เดินเข้าไปในกลุ่มโจรมนุษย์อย่างไม่มีเหตุผล
แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเขา แต่การเผชิญหน้าเหล่านั้นก็ทำให้เขาเสียอารมณ์ได้จริงๆ
ข้ารู้สึกว่าโชคร้ายของข้าในครั้งนี้จัดการได้ง่ายกว่าครั้งก่อนมาก
นักพรตเต๋าลู่หยานึกถึงสถานการณ์ที่เขาเกือบตายจากการฝึกยุทธ์ในวังไท่หยางได้อย่างไร แล้วเขาก็อดจะตัวสั่นเทาไม่ได้
เขานึกในใจว่า พระบิดาได้อวยพรเขา แล้วเขาก็เดินออกจากป่าไปในสภาพน่าอนาถ
ทว่าภัยพิบัติเล็กๆ และความโชคร้ายเล็กน้อยเช่นนี้ ก็ดูไร้ที่สิ้นสุด
สตรีวัยกลางคนที่เขาแปลงร่างมาเป็นนั้น จะถูกคนเดินสัญจรไปมาบนถนน ชนเข้าในขณะที่เขาเดินอยู่บนถนนโดยไม่มีเหตุผล
ครั้นเมื่อเขาพบเด็กสองคนกำลังเล่นอยู่ เด็กพวกนั้นก็ยังสามารถยิงศรไม้ไผ่เล็กๆ เข้าใส่ดวงตาของเขาได้ด้วยซ้ำ…
หรือบางที จู่ๆ ก็มีเมฆก้อนหนึ่งลอยผ่านไป และดันมีเขาเป็นศูนย์กลางในขณะที่มีห่าพิรุณสาดซัดลงมาอย่างหนักในรัศมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกินหนึ่งร้อยจั้ง
………………………………………………………………..