ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 746 การทำงาน (3)
บทที่ 746 การทำงาน (3)
เมื่อรอให้เสือดำหนีออกจากระยะอาณาเขตของเกาะเต่าทองแล้ว อ๋าวอี่ก็ออกจากสระสมบัติและบินตรงไปทางวังมังกรทะเลบูรพา
จากนั้นเขาก็ “บังเอิญ” ได้พบกับปรมาจารย์เผ่ามังกรผู้หนึ่งเหนือหัวของเสือดำ
ปรมาจารย์เผ่ามังกรร้องตะโกนว่า “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ในที่สุดข้าก็ได้ต้อนรับฝ่าบาทแล้ว!
ศาลสวรรค์เพิ่งส่งคำสั่งไปยังวังมังกร พวกเขาต้องการให้ฝ่าบาทส่งกองกำลังไปติดตามไล่ล่าหาร่องรอยที่อยู่ของนักพรตเต๋าลู่หยา ผู้ที่เหลืออยู่ของศาลปีศาจทันที!”
เสือดำที่ซ่อนตัวอยู่ในน้ำทะเล พลันตัวสั่นสะท้านและคิดในใจว่า ‘นักพรตเต๋าลู่หยา! ท่านผู้มีคุณ!?!’
“จริงหรือ?”
อ๋าวอี่กล่าวอย่างสงบว่า “เมื่อยามที่ข้ากลับไปเยี่ยมท่านอาจารย์ที่เกาะเต่าทองก่อนหน้านี้ ข้ายังกำลังคิดว่าจะกลับไปพบซือซืออีกครั้งสักสองวัน ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นอีก
มันไม่ง่ายสำหรับศาลสวรรค์เลย…
ลู่หยาผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?”
“เขาคือ ไท่หยางจินอู่ ดวงอาทิตย์แห่งอีกาทองคำ องค์ชายแห่งเผ่าปีศาจ และตอนนี้เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นจ้าวแห่งการฟื้นฟูเผ่าปีศาจ” ปรมาจารย์เผ่ามังกรตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังชัดเจน
“ก่อนหน้านี้เผ่าปีศาจต้องการใช้วิญญาณของเผ่าเวทเพื่อนำมาหลอมกระบี่ทำลายล้างมนุษย์ และมันก็ถูกเตรียมเอาไว้ให้เขา”
“เหอะ! ลู่หยาผู้นี้ไม่รู้อะไรดีกว่าเสียแล้ว!
ข้าจะกลับไปที่ศาลสวรรค์เพื่อนำกองกำลังมา เจ้าช่วยข้าส่งข้อความกลับไปที่วังผลึกแก้ว…”
จากนั้น บทสนทนาระหว่างมังกรทั้งสองก็ค่อยๆ หายไปในขณะที่เสือดำในน้ำทะเลตื่นตกใจ
มันโผล่หน้าปรากฏตัวขึ้นมาบนผิวน้ำทะเล และต้องการไล่ตามพวกเขาไปให้ทัน ทว่ามันก็ไม่กล้าคลื่อนไหว
ท่านผู้มีคุณ ลู่หยา กำลังมีปัญหา!
“เฮ้อ ข้าหวังว่าท่านผู้มีคุณจะสามารถรอดพ้นจากอันตรายนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ขอให้โชคดี…”
เพี้ยะ!
เสือดำยกมือขึ้นตบตัวเองอย่างแรง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและมองดูเงาสะท้อนของตัวเขาเองในน้ำทะเล
อันใดกัน… นี่ข้าจะทำอย่างไรดี!?!
……
ในแดนยมโลก นอกด่านที่แข็งแกร่งทางด้านตะวันออกของเมืองเฟิงตู
มีเสียงยุง บินผ่านมาเบาๆ พร้อมกับสายลมเย็นพัดโชย
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ และจ้องมองดูชั้นต่างๆ ของกฎห้ามที่นี่จากระยะไกล
นางเพียงแค่ผ่านมาที่นี่เท่านั้น และวันนี้ นางก็กำลังจะไปที่ทะเลเลือดใน “การเดินทางเพื่อธุรกิจ”
นางได้ยินมาว่า เมื่อไม่กี่วันก่อน บุรุษผู้นั้น เทพวารีและปรมาจารย์อีกเจ็ดคนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า ได้ร่วมกันช่วยให้ต้าเต๋อโฮ่วถู่รอดพ้นจากวิกฤต ดังนั้นผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงอยากมาดูที่นี่…
นางคิดว่า หรือบางที ให้นางได้กลิ่นสักหน่อย กลิ่นของบุรุษผู้นั้น
น่าเสียดายที่นางไม่กล้าก้าวเข้าไปในเมืองเฟิงตู ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงมองดูจากระยะไกลเท่านั้น
และเพียงในขณะที่กำลังจะหันหลังจากไป ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ นางถูกภาพเหตุการณ์ที่ด้านท้ายของด่านที่แข็งแกร่ง ยากจะทะลวงผ่านเข้าไปได้ ดึงดูดความสนใจ…
เขา…กำลังทำอะไร?
แดนยมโลกไม่ได้เป็นเพียงแค่เก็บเกี่ยววิญญาณเท่านั้นหรอกหรือ? ไยถึงต้องเตรียมโลงศพ?
บนท้องฟ้าหนึ่งเส้น มีชาวเผ่าเวทสายโลหิตบริสุทธิ์ที่มีพลังการต่อสู้ที่ดีกลุ่มหนึ่ง พวกเขาตีฆ้องและลั่นกลองราวกับกำลังซ้อมการแสดงบางอย่างอยู่
โลงศพหินหยาบๆ โลงหนึ่ง ร่อนลงไปบนพื้นในขณะที่ชายชาวเผ่าเวทที่แข็งแกร่งกำยำหกคนยกมันขึ้น แล้วแบกมันเอาไว้บนไหล่ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ชาวเผ่าเวททั้งหกคนเหล่านั้น เดินตามหลังชาวเผ่าเวทสงครามซึ่งสวมหมวกสองคนที่อยู่ข้างหน้า และเดินไปข้างหน้าอย่างโซเซไปมาอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเดินไปได้ไม่ถึงสิบจั้ง หัววัวก็ร้องตะโกนบอกให้พวกเขาหยุด
“ครึกครื้น! รื่นเริง!
ด้วยใบหน้าขึงขังจริงจังยิ่งของพวกเจ้า มันดูราวกับว่าครอบครัว ญาติมิตรของพวกเจ้าได้ตายไปแล้วจริงๆ มันยากมากที่จอมทัพเช่นข้าผู้นี้ จะพาพวกเจ้ามาทำงานให้ใต้เท้าเทพวารี! ม่อ!”
“ทุกคน จงก้าวไปตามจังหวะกลอง” หน้าม้ากอดอกของเขาและชี้แนะพวกเขาไปอย่างอ่อนโยน “พวกเรากำลังส่งโลงศพไปให้เผ่าปีศาจเพื่อทำให้พวกมันบันดาลโทสะ เพียงเท่านั้น พวกเราก็จะบรรลุผลในการต่อสู้กับพวกมันได้แล้ว…”
ดังนั้น ชาวเผ่าเวทกลุ่มนี้ จึงเริ่มการซ้อมกันอีกรอบหลังจากนั้น
“คึกคักกันหน่อย! ฝึกซ้อมต่อไป!
พวกเจ้าจะต้องมั่นใจเต็มที่ว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไรอย่างเด็ดขาด ในอีกสองสามวันนี้ พวกเจ้าจะได้ไปที่แนวหน้าของกองทัพทั้งสอง เพื่อเป็นกำลังใจให้ใต้เท้าเทพวารี!”
ทันใดนั้น หัววัวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ม้า บอกข้ามาที เจ้าคิดว่า พวกเราควรเอาแผ่นป้ายอนุสรณ์ของนักพรตเต๋าลู่หยาวางไว้บนโลงศพหินนี้หรือไม่?”
หน้าม้าครุ่นคิดเล็กน้อย และปฏิเสธความคิดนั้นไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หากพวกเขาถวายเครื่องสักการะให้กับแผ่นป้ายอนุสรณ์ พวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้องค์ชายแห่งเผ่าปีศาจเอาเปรียบพวกเขาได้มิใช่หรือ?
ในระยะไกลออกไป ผู้บำเพ็ญเหวินจิงอดจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากไม่ได้
นี่…
นางรู้สึกอับอายเล็กน้อยงอย่างอธิบายไม่ถูกเลยที่ต้องรับใช้ใต้เท้าเทพวารีร่วมกับพวกเขา…
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงส่ายศีรษะพลางหันหลังกลับและรีบออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็มีเสียงยุงดังขึ้นอีกครั้ง และนางก็ไปยังสถานที่ลับซึ่งซ่อนอยู่ลึกลงไปในทะเลเลือดและพบเศษซากกำแพงที่พังทลายด้วยวิธีที่คุ้นเคย
จากนั้นผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็กลายร่างเป็นร่างที่ทรงเสน่ห์น่าหลงใหลตามปกติของนาง นางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางสีโลหิตและเดินตรงไปที่ซากปรักหักพังของพระราชวังที่อยู่ข้างหน้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เล็กน้อย
นางก้าวเดินไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา และเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ นางเป็นสตรีโฉมงาม แต่กลิ่นอายลมปราณดุร้ายที่นางแผ่พุ่งออกมานั้น ก็ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายในห้องโถงล้วนสั่นสะท้านเล็กน้อย
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเดินตรงไปที่เสาหิน แล้วยืนพิงเสาหินนั้นอย่างเกียจคร้านพลางหัวเราะเบาๆ อย่างมีเสน่ห์ยั่วยวนใจออกมาสองครั้ง
“เหตุใดกัน? ข้าไม่นึกเลยว่าผู้ที่ส่งมาช่วยพวกเจ้านั้นจะเป็นราชินีเช่นข้าผู้นี้”
ในขณะนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมห้องโถง
“เหวินจิง เจ้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งทะเลเลือดเช่นกัน ในตอนนั้นเจ้าได้รับคำชี้แนะจากบรรพบุรุษของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำบุญคุณนี้ได้”
“หือ” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงหรี่ตา และหัวเราะเบาๆ
นางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ราชินีเช่นข้าผู้นี้จะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ในตอนนั้น บรรพบุรุษก็ได้สังหารลูกหลานของราชินีผู้นี้ไปกว่าเก้าในสิบส่วน”
ในยามนั้น ที่มุมห้องโถงใหญ่ ก็มีเสียงโซ่เหล็กต่างๆ ถูกดึงออกมา แล้วคลื่นพลังลมปราณก็กวาดพุ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญเหวินจิง
ทว่าผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่คำนึงถึงมัน นางจับจ้องนิ้วเรียวยาวของนาง
นางกล่าวอย่างสงบว่า “ตอนนี้สิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไป บรรพบุรุษได้ดับชีพลงแล้ว และบัดนี้ ราชินีเช่นข้าก็มีผู้สนับสนุนแล้ว
เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าที่ข้าไม่ได้สังหารเจ้านั้น เป็นเพราะข้ากลัวพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า? เจ้ามีพลังเวทยิ่งใหญ่มหาศาลหรือ?
ช่างเถิด ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า แล้วปีศาจสาวที่เจ้าเลือกอยู่ที่ใดกันเล่า?”
เสียงชราที่เหนื่อยล้าเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมห้อง
“ข้าหวังว่า ภูเขาวิญญาณจะรักษาสัญญาและคืนกระบี่หยวนถูให้กับเผ่าพันธุ์ของข้า และให้องค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์ข้าควบคุมดูแลมันไว้”
ทันทีที่กล่าวจบ จู่ๆ เงาร่างเพรียวบางสง่างามก็ปรากฏออกมาจากมุมห้อง
นางสวมชุดเสื้อคลุมสีเงินและแผ่กลิ่นอายมงคลอันสงบสุขออกมาจางๆ และนางก็ดูเหมือนจะไม่เข้ากับบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหวินจิงก็หัวเราะเบาๆ และเย้ยหยันว่า “เจ้าเต็มใจทุ่มเทมากมายจริงๆ และเจ้าก็ละทิ้งสายโลหิตสืบสานทั้งหมดของบรรพบุรุษของเจ้าไปแล้วจริงๆ”
เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมผู้นั้น ถอดเสื้อคลุมและหมวกคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามและเส้นผมยาวสีขาวเงินนั้น…
จากนั้นนางก็ก้มศีรษะลงและโค้งคำนับให้เหวินจิง และกล่าวเบาๆ ว่า
“เถี่ยซ่านขอน้อมพบท่านผู้อาวุโส”
………………………………………………………………..