ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 730 คณะทำงานมืออาชีพ (3)
บทที่ 730 คณะทำงานมืออาชีพ (3)
ขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่ข้างหน้านางอย่างสงบ และหยิบม้วนตำราออกมาจากกระเป๋าหน้าอกของเขาก่อนจะถือตำราเอาไว้ในมือและอ่านมัน
บางครั้ง เขาก็จะยิ้ม และบางครา เขาก็วางตำราลงเพื่อหัวเราะเสียงดังลั่น
บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าที่อยู่ในระยะไกล ต่างก็มีท่าทีดูรู้แจ้งขึ้นมาในทันที
บัดนี้ บางทีพวกเขาอาจจับแก่นแท้ของมันได้แล้ว
มันเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิ และกระตุ้นเร้าความอยากรู้อยากเห็นของพวกนาง!
ทว่าน่าเสียดายที่ความเศร้าน้อยเพียงแค่นอนอยู่ที่นั่นและเอาแต่ร้องไห้เงียบๆ โดยไม่สนใจสถานการณ์ของหลี่ฉางโซ่วเลย
หลี่ฉางโซ่วยังคงอ่านตำราของเขาต่อไป เขาไม่รู้สึกว่าจะมีอันตรายใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์พลิกกลับได้…
หลังจากนั้นไม่นาน ความเศร้าน้อยก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าและอับจนหนทางเล็กน้อย
“เจ้าต้องเยาะเย้ยข้าที่เป็นคนเศร้าใจที่นี่ด้วยหรือ? เจ้ามีความสุข ส่วนข้ามีความเศร้า แล้วเจ้าไปหัวเราะที่อื่นไม่ได้หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วปิดตำราลง และเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “สหายเต๋า มีอันใดต้องเศร้าเสียใจหรือ?”
“ชีวิตเกิดมาเพียงเพื่อเป็นสิ่งจอมปลอม เจ้าไม่ควรเกิดมา แล้วมันไม่ควรเศร้าเสียใจหรอกหรือ?”
“เช่นนั้น แล้วอะไรคือความจริง?”
หลี่ฉางโซ่วถามอย่างอบอุ่นว่า “ก่อนหน้านี้ ท่านเคยกล่าวว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการรับรู้โลกภายนอกของสิ่งมีชีวิต
ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมแล้วหายวับไปดุจเมฆหมอกที่เคลื่อนคล้อยลอยผ่านตาไป และทุกอย่างก็ล้วนไร้ความหมาย
ทว่าความเศร้าน้อย ผู้ใดเป็นคนกำหนดความหมายเหล่านี้?
เป็นท่านหรือ?
หรือเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นให้แนวคิดเช่นนี้แก่ท่าน?
ตอนนี้ท่านและข้ากำลังพูดคุยกันอยู่ที่นี่ แล้วท่านไม่ได้ดำรงอยู่จริงๆ หรอกหรือ?”
ความเศร้าน้อยพึมพำว่า “แต่การดำรงอยู่ของข้าจำเป็นต้องถูกลบล้างออกไป มันต้องได้รับการจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง และมันก็ยังคงเป็นของปลอม”
“เช่นนั้นแล้ว ท่านไม่อยากสัมผัสกับอารมณ์อื่นก่อนที่จะถูกจัดการแก้ไขให้ถูกต้องหรือ?”
“มีความหมายอันใดกัน?” ความเศร้าน้อยถามกลับด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เพียงข้าหายไปเช่นนี้ไม่ได้หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วยังคงกล่าวต่ออย่างอบอุ่นว่า “มันอาจไร้ความหมายสำหรับท่าน แต่มันมีความหมายอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตที่ให้กำเนิดท่านและต้องการความช่วยเหลือจากท่าน
แม้กระทั่งเป็นความเศร้าน้อยที่มีความเศร้ากัดกร่อนหัวใจของนาง แต่ไม่ใช่ว่า ก็ยังเป็นนางหรอกหรือ?
ท่านที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่และไม่กล้าออกไปที่ใด เป็นเพราะท่านกลัวจะทำร้ายผู้อื่น และนางผู้ที่แบกรับความทนทุกข์ทั้งมวล และยังคงอยากช่วยเหลือผู้อื่น ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน
และนั่นก็เป็นความอ่อนโยนเช่นกัน”
ริมฝีปากของความเศร้าน้อยสั่นระริกในขณะที่นางร่ำไห้และกล่าวว่า “แล้วข้าจะช่วยอะไรนางได้บ้างเล่า? ข้าเป็นเพียงแค่เศษขยะที่รับรู้แต่ความเศร้าโศกและความสิ้นหวังเท่านั้น!”
“มาเถิด นี่เป็นอย่างไร? มาทำการละเล่นง่ายๆ กันเถิด บางที มันอาจช่วยท่านได้”
หลี่ฉางโซ่วยื่นมือขวาไปที่ความเศร้าน้อย
“เอาเป็นว่า ท่านพยายามทุ่มเททำลุกขึ้นนั่งเพื่อนางได้หรือไม่?”
“มันไร้ความหมาย…”
“เช่นนั้น ท่านก็นอนลงมองดูก็ได้”
ทันใดนั้นก็มีจุดแสงสีทองปรากฏขึ้นที่มือขวาของหลี่ฉางโซ่ว และทุกๆ จุดของแสงนั้นก็มีภาพของหลี่ฉางโซ่วกำลังหัวเราะร่าขณะกำลังอ่านตำรานั้น
“นี่คือ ความสุขรูปแบบหนึ่งของข้า ท่านก็น่าจะนำความเศร้าโศกของตัวท่านเองออกมาแบ่งปันเหมือนกับข้าด้วยเช่นกัน”
จากนั้นนิ้วของความเศร้าน้อยสั่นเทา จากนั้น ก็มีลูกมวลแสงสีฟ้าอ่อนค่อยๆ บินวนไปมาบนฝ่ามือของหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วหลับตาและเปิดใช้เวทเรียกความจำของเขา แล้วเขาก็นวดลูกมวลแสงทั้งสองนั้นให้กลายเป็นลูกทรงกลม จากนั้นลำแสงสองสีก็ไล่ตามกัน และกลายเป็นไท่จี๋ก่อนจะคืนกลับไปสู่ความโกลาหล
ในขณะนั้นความเศร้าน้อยเอียงศีรษะมองดู แม้นางจะสัมผัสได้ถึงอักขระเต๋าที่ลึกลับยิ่ง แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันหมายความอันใดเช่นกัน…
ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็หยิบไข่มุกออกมาและฉีดลูกมวลไท่จี๋เข้าไป แล้วใช้ผ้าสีดำผืนหนึ่งคลุมเอาไว้
“ความเศร้าน้อย บอกข้ามาที นี่คือ ความสุขหรือความเศร้า? ท่านน่าจะสามารถเข้าใจเต๋าหยินหยางที่ข้าเพิ่งเผยออกมาได้”
“ไม่… มันเป็นโกลาหลแห่งอารมณ์…”
“โกลาหลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ทิศทางของวิวัฒนาการนั้นก็หาได้แน่นอนไม่ ข้าบอกได้อย่างชัดเจนว่า อารมณ์ภายในนั้นได้ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว
โกลาหลให้กำเนิดหยินและหยาง ซึ่งสองอารมณ์พื้นฐานที่สุดก็คือ ความเศร้าและความสุข
ดังนั้นมีโอกาสห้าในสิบส่วนที่จะเป็นความเศร้า และมีโอกาสห้าในสิบส่วนที่จะเป็นความสุข จริงหรือไม่?”
“อืม ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น”
“หากท่านไม่ยกผ้าสีดำนี้ขึ้น เปิดเอาไว้ตลอดเวลา ก็จะถือได้ว่า ความเศร้าและความสุข ดำรงอยู่พร้อมกันใช่หรือไม่?”
“กล่าวได้เลยว่า…”
ความเศร้าน้อยเอียงศีรษะของนางในขณะที่เหล่าผู้เป็นเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าที่อยู่ในระยะไกล ต่างก็เอียงศีรษะและค่อยๆ สับสนขึ้นทีละน้อย
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ดังนั้น ความเศร้าและความสุขก็ได้ซ้อนทับกันแล้ว หากท่านยกผ้าผืนนี้ขึ้น ทั้งสองอย่างก็สามารถดำรงอยู่ได้ในเวลาเดียวกัน
แล้วท่านมองไปข้างหน้าสิ บางที ท่านอาจจะได้เห็นต่อจากนี้ หรือในอีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้า ทว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรเล่า?
หากเป็นเวลานานมากพอจนท่านไม่อาจคาดเดาได้ แล้วอารมณ์ในนั้นยังจะอยู่ในสภาวะโกลาหลหรือไม่?
ในโกลาหลแห่งอารมณ์ ความเศร้าและความสุขดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน แต่มันยังไม่ได้ถูกกำหนดยืนยันแน่นอน
เพียงเมื่อท่านไปถึงที่นั่นแล้วเท่านั้น อารมณ์ของท่านก็จะล่มสลายลงไปในทิศทางหนึ่ง
ห้าในสิบส่วนคือ ความเศร้า และห้าในสิบส่วนก็คือ ความสุข ใช่หรือไม่?”
“ไม่ สิ่งที่เจ้าพูดล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งหมด” ความเศร้าน้อยส่ายศีรษะของนางและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานถึงเพียงนั้น ทุกสิ่งที่ข้ามี ล้วนถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนเอาไว้แล้ว”
“เช่นนั้นก็บอกข้าสิ” หลี่ฉางโซ่วเขย่าไข่มุกภายใต้ผ้าสีดำนั้น และกล่าวว่า “มันเป็นความเศร้าอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”
ความเศร้าน้อยตะลึงงัน
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและหรี่ตา “มองลงไปสิ”
ความเศร้าน้อยมองลงไปอย่างไม่รู้ตัว และเห็นว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง นางก็พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งและเอนกายโดยไม่รู้ตัวแล้ว และสายรัดเอี๊ยมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีดำก็ค่อยๆ เลื่อนหลุดออกจากไหล่ของนางเบาๆ…
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ลุกขึ้นยืน และวางไข่มุกที่ห่อด้วยผ้าสีดำเอาไว้ข้างหน้าความเศร้าน้อย
“ความเศร้าไม่ใช่ความหมายของการดำรงอยู่ของท่าน แต่เป็นความรู้สึกถึงความโศกเศร้าของสิ่งมีชีวิตต่างหาก”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็หันหลังกลับและขี่เมฆตรงไปหาเหล่าผู้เป็นเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า
ความเศร้าน้อยก็มองไปที่ไข่มุกที่ห่อด้วยผ้าสีดำ จากนั้นนางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและเอื้อมมือเล็กๆ ออกไป
ทว่าเมื่อนางกำลังจะสัมผัสผ้าสีดำนั้น นางก็หดมือกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากนั้น ความโศกเศร้าที่เต็มทะเลสาบแห่งน้ำตาก็เบาบางลงมาก
“เฮ้ ศิษย์พี่เสวียนตู” จ้าวกงหมิงขยับเข้าไปใกล้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูและพึมพำว่า “ตอนนี้ ฉางเกิงอยู่ในขอบเขตใดหรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มองไปที่มือของเขา และลูกมวลแสงสองลูกในมือของเขาก็หมุนไปอย่างช้าๆ
จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสวียนตู ท่านกำลังทำอันใดอยู่หรือ?”
“จงเรียนรู้จากข้า ข้าจะสู้กับนางมารร้ายน้อยหลังจากนี้”
จากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็บดขยี้ลูกมวลแสงและยิ้มอย่างสงบ บัดนี้ เขาเริ่มมั่นใจแล้ว แก่นแท้ของไท่จี๋นั้นเรียบง่าย
แน่นอนว่า เขาคุ้นเคยกับมัน!
………………………………………………………………..
—————————————–