ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 589 วิญญาณงดงาม (2)
บทที่ 589 วิญญาณงดงาม (2)
หลี่ฉางโซ่วยิ้มให้จ้าวเต๋อจู้ และกล่าวว่า “องค์หญิง ทรงมีสิริโฉมงดงามและเฉลียวฉลาดยิ่ง แม้ในยามนี้ยังทรงพระเยาว์ แต่พระองค์ก็ย่อมจะสามารถช่วยฝ่าบาทแก้ปัญหาในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน ทว่าฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงไม่ประทานรางวัลให้แก่หลงจี๋และสถาปนาฐานันดรศักดิ์ให้นาง?”
จ้าวเต๋อจู้ส่ายศีรษะและหัวเราะเบาๆ เขาตอบกลับผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ไว้รอจนกว่าศาลสวรรค์จะผงาดขึ้นก่อน แล้วเราค่อยมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน
ตอนนี้ศาลสวรรค์ยังไม่มั่นคง และระดับฐานพลังของนางก็ยังต่ำ ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ทว่าในอีกด้านหนึ่งนั้น ขุนนางของข้า เจ้าไม่ประสงค์จะรับนางเป็นศิษย์จริงๆ หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กล่าวตามตรง เทพน้อยฝึกบำเพ็ญมาเพียงไม่กี่ร้อยปี ฝ่าบาทหลงจี๋…”
“อายุเป็นเพียงตัวเลขสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญ” จ้าวเต๋อจู้ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าบอกว่า จี๋เอ๋อร์เฉลียวฉลาดยิ่ง นอกจากนี้ จี๋เอ๋อร์ยังชื่นชมเจ้า ฉางเกิง ตามที่พระมารดาของนางกล่าวมา นางพูดถึงเทพวารีได้ทุกวัน แม้กระทั่งในยามหลับ นางก็ยังไม่หยุดพูดถึงเจ้าในยามฝัน
แม้ข้าจะเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ แต่ข้าก็ไม่อาจบังคับเจ้าได้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าที่จะต้องตัดสินใจเอง…
ความจริงแล้ว ข้ารู้สึกว่า หากนางไม่อาจกลายเป็นศิษย์ของเจ้าได้ การประทานสมรสให้เจ้ากับนาง ก็นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเช่นกัน เรื่องแต่งงานกับสตรีที่มีอายุมากกว่าเจ้าสามพันปีก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ประทานให้!
ทันใดนั้น ร่างชราของหลี่ฉางโซ่วก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปสบถก่นด่าและบริภาษออกไปได้ที่ใดกัน
หากนี่คือชีวิตในชาติก่อนของเขา หากองค์เง็กเซียนมีพฤติกรรมเป็นผู้ปกครองศักดินาที่ตัดสินใจในเรื่องอารมณ์ของบุตรสาวโดยพลการเช่นนี้ องค์เง็กเซียนก็คงถูกนักมวยซ้อมและชกต่อยทุบตีไปแล้ว!
เขามองไปที่จ้าวเต๋อจู้แล้วหันศีรษะไปมองหลงจี๋ที่อยู่ด้านข้างพลางเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลงจี๋ เจ้ายังยินดีจะเรียกข้าว่าอาจารย์อยู่หรือไม่?”
ทันใดนั้น หลงจี๋ซึ่งแอบซึ่งแอบจินตนาการถึงภาพฉากอุปรากรใหญ่เรื่อง “เทพวารีและจ้าวเต๋อจู้” ก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ แล้วนางก็โน้มตัวไปข้างหน้าและยืนเขย่งเท้าพลางกล่าวว่า
“ยินดีสิ! หลงจี๋ยินดียิ่ง!”
“ข้าไม่อาจชี้แนะการฝึกบำเพ็ญให้เจ้าได้เช่นกัน ข้าเพียงแค่สอนเต๋ากลยุทธ์และแผนการให้เจ้าเท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วกล่าว
จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อพลางยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “นี่คือชุดกลยุทธ์พิชัยสงครามที่อ๋าวอี่ได้จัดการเรียบเรียงเอาไว้ มันถือเป็นของขวัญให้เจ้าเมื่อเจ้าแรกเข้าสู่สำนัก”
หลงจี๋ลิงโลดใจยิ่งนัก นางกอดยันต์หยกเอาไว้ด้วยทนปล่อยมันไปไม่ได้ และในท้ายที่สุด นางก็โค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วสามครั้ง
หลังจากที่นางยืนขึ้น นางก็ตะโกนเรียกเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์…”
“อืม เรามาดูกลยุทธ์พิชัยสงครามนี้ก่อน หากเจ้าไม่เข้าใจก็ถามมาได้ทันที”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่นแล้วหันไปมองจ้าวเต๋อจู้ที่อยู่ข้างๆ
ในขณะนั้น จ้าวเต๋อจู้ส่ายศีรษะเบาๆ ดวงตาของเขาฉายแววผิดหวังออกมาเล็กน้อย…
ผิดหวังหรือ?
ฝ่าบาททรงร้อนพระทัยเพียงใดที่จะให้หลงจี๋แต่งงานออกไปหรือ?
มันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ตีให้สงหลิงลี่หมดสติลงหรือไม่?
นี่นางยังเยาว์อยู่นะ! กว่าจะถึงวัยแรกดรุณของนางอย่างน้อยก็อีกสองสามพันปี!
แน่นอนว่า การก่นด่าจากส่วนลึกในใจก็เป็นการก่นด่า หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงต้องพูดคุยและหัวเราะกับจ้าวเต๋อจู้ต่อไป
ในฐานะเป็นขุนนางธรรมดา เขายังต้องเป็นมืออาชีพ เขาต้องหลอกลวง แค่กๆ ใช้คำพูดบางอย่างเพื่อทำให้องค์เง็กเซียนรู้สึกสบายใจ เขาก็จะไม่ขาดแคลนบุญไปในภายภาคหน้า
ทันทีที่พวกเขาออกไปจากประตูสวรรค์บูรพา พวกเขาก็พุ่งไปหาอ่าวอี่ ซึ่งรีบไปที่ศาลสวรรค์พร้อมกับกองทหารมังกรจำนวนมากเพื่อถวายเครื่องบรรณาการ ประสิทธิภาพของวังมังกรทะเลบูรพาก็น่าทึ่งเช่นกัน
เมื่ออ๋าวอี่ได้เห็นหลี่ฉางโซ่ว ดวงตาที่เดิมทีสลัวมัวหม่นของเขา ก็พลันสว่างไสวขึ้น และเขาก็เรียกขานออกมาว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก” ด้วยเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วก้าวออกไปข้างหน้าและส่งโอสถทิพย์ให้อ๋าวอี่เพื่อบำรุงวิญญาณ เขาไม่ได้กล่าวถึงหายนะของเผ่ามังกรและเพียงเอ่ยถามว่า “เจ้าฟื้นตัวและรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
อ๋าวอี่ฝืนยิ้มและพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็ก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวและโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วโดยไม่ได้เอ่ยวาจาขอบคุณใดๆ อีก
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ปล่อยเครื่องบรรณาการให้คนอื่นก่อน แล้วเจ้าออกไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายกับข้าข้างนอกเถิด”
“พี่ชาย” อ๋าวอี่ปฏิเสธในทันที และกล่าวเบาๆ แทนว่า “เวลานี้คนในเผ่าส่วนใหญ่ยังไม่มั่นคงนัก ข้าอยากใช้เวลากับพวกเขามากกว่านี้ ตอนนี้ในทั่วทั้งสี่คาบสมุทร ยังคงมีสงครามเกิดขึ้นอยู่เป็นครั้งคราว…”
“มันเสียเวลาเจ้าเพียงครึ่งวันเท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วเกลี้ยกล่อมเบาๆ ว่า “หากเจ้ายังให้กำลังใจตัวเองไม่ได้ แล้วเจ้าจะปลอบโยนคนอื่นได้อย่างไร?”
จากนั้นหลงจี๋ก็กล่าวอยู่ที่ด้านข้างว่า “สหายเต๋า เจ้าอย่าพยายามฝืนตัวเองเลย เจ้าต้องการใครสักคนที่จะให้ความกระจ่างแก่เจ้า”
อ๋าวอี่ถอนหายใจเบาๆ และโค้งคำนับให้หลงจี๋พลางเรียกนางว่า “ฝ่าบาท” แล้วตอบตกลงที่จะออกไปเดินผ่อนคลายด้วยกัน และปล่อยให้ทหารจากเผ่ามังกรนำเครื่องบรรณาการของเผ่ามังกรเข้าสู่ประตูสวรรค์บูรพาด้วยตนเอง
หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อว่า “ก่อนที่เจ้าจะจากไป จงโค้งคำนับและขอบคุณหอสมบัติหลิงเซียวด้วย ไม่ต้องถามมากความ”
“ขอรับ” อ๋าวอี่ไม่ได้ถามอะไรอีก เขายกชายกระโปรงชุดต่อสู้ขึ้นและก้มกราบกรานสามครั้งไปยังทิศทางของหอสมบัติหลิงเซียว
จ้าวเต๋อจู้ที่อยู่ด้านข้างพลันพยักหน้าพร้อมเผยรอยยิ้ม เขาก้มศีรษะลงและมองดูร่างจำแลงของเขา ในเวลานี้ ดวงตาของเขาก็ยังดูมีแววหดหู่ใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
ช่างเถิด
การเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ที่สรรพชีวิตทั้งมวลล้วนให้ความเคารพนับถือนั้น ก็นับว่าไม่เลวเลย
สามชั่วยามต่อมา ที่ชายแดนด้านตะวันออกของเมืองเฟิงตูในแดนยมโลก
บนยอดผาเคียงแนวท้องฟ้าหนึ่งเส้น[1] ชายร่างกำยำสองคนที่ดื่มสุราและกินเนื้อจนอิ่มท้องแล้ว กำลังกอดหมวกอยู่ในมือของตน และนอนหงายพิงก้อนหินขนาดมหึมา
พวกเขาสูดลมในลำคออย่างรุนแรง และลิ้มรสที่ค้างอยู่ในลำคอนั้น พวกเขาตบริมฝีปากและเก็บกลิ่นหอมเอาไว้ในปาก พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพี่อจะได้สัมผัสสูดดมกลิ่นนั้น แล้วพวกเขาก็อิ่มเอมใจอย่างยิ่ง…
“ม้า เมื่อใดเราจะได้ไปหาเทพวารีกันอีกครั้ง? การติดตามเทพวารีเตร็ดเตร่ไปรอบๆ สบายกว่าการอยู่ที่นี่มาก ม่อ~”
“เจ้าไม่ได้กำลังสวมหมวก แล้วจะพร่ำร้องม่อๆ ไปด้วยเหตุใดกัน!?! ในครั้งนี้ เผ่ามังกรถูกสำนักบำเพ็ญประจิมจัดการอย่างเลวร้ายรุนแรงยิ่ง
สมควรแล้วที่สำนักบำเพ็ญประจิมนั้นเป็นสำนักใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของปรมาจารย์จอมปราชญ์ทั้งสองคน การโจมตีทมิฬ[2]ของพวกเขา เลวร้ายยิ่งกว่าบรรพชนปีศาจเหล่านั้นเสียอีก”
หัววัวเย้ยหยัน “ในท้ายที่สุดแล้ว พวกมันก็ถูกเทพวารีทำลายได้มิใช่หรือ? แล้วจะเกิดอันใดขึ้นเล่า หากดวงตาแห่งท้องทะเลถูกเปิดออก?
มิใช่ว่าในที่สุด มันก็ถูกปิดกั้นเอาไว้ได้แล้วหรือ?
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เทพวารีนั้นทรงพลังยิ่ง เขาสามารถปิดกั้นน้ำพุสกปรกนั้นได้”
………………………………………………………………..
[1] หรือเรียกว่าท้องฟ้าเส้นเดียว ซึ่งเปรียบถึงช่องผาแคบชัน หรือผาชันมากๆ ดั่งว่า หากเราไปอยู่ตรงผาชันนั้น เวลาแหงนหน้ามองก็จะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นเดียว
[2] การโจมตีหรือลงมือทำร้ายอย่างชั่วร้าย รุนแรง โหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปและใช้วิธีการน่ารังเกียจ ไร้มนุษยธรรม