ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 85.2 ยุทธการพิฆาตยุงคือ... (2)
พวกเขาไม่ได้ออกไปทดสอบผลการต่อสู้ แต่น่าจะออกไปเพื่อค้นหากองกำลังหลักของศัตรู
อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกลิขิตให้กลับมามือเปล่าในครั้งนี้ อย่างมากที่สุด พวกเขาจะพบเบาะแสบางอย่างที่อีกฝ่ายทิ้งไว้เมื่อรีบจากไป
ครั้งต่อไปที่คู่ต่อสู้ปรากฏตัว เขาจะต้องโจมตีสำนักตู้เซียนอย่างเต็มที่ และยิ่งกว่านั้นก็ไม่น่าจะทิ้งเวลาให้นานเกิน…
อาจจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงสามปีหลังจากนี้!
บัดนี้ ฝนกำลังจะมาและลมก็พัดแรง พายุกำลังก่อตัวขึ้นบนภูเขาในขณะที่มีร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ลำพังบนยอดเขาเล็กๆ
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วนอนอยู่บนเก้าอี้โยกขณะกำลังถือม้วนตำราหยกที่เขาคัดลอกในโถงชั้นในของหอพระสูตรเต๋า เขาอ่านข้อความนั้น และมองดูภาพในนั้นอย่างเงียบๆ
ความรู้สึกที่สามารถมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้นี้ ค่อนข้างน่าพอใจจริงๆ…
แน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดควรจะเป็นว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น…
ม้วนตำราหยกนี้ เรียกว่าบันทึกร้อยวิญญาณ มันมีข้อมูลเกี่ยวกับของอร่อยมากมาย…แค่กๆ สัตว์วิญญาณหายากมากมาย
ความจริงแล้ว ยุงมีศัตรูตามธรรมชาติมากมาย
จะหาสัตว์วิญญาณที่กำจัดยุงเลือดที่เขาเห็นมาในวันนี้ได้ จะต้องเป็นสัตว์วิญญาณที่มีพลังวิญญาณดีและยังสามารถแพร่พันธุ์ได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย แต่มันค่อนข้างหายาก ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับเขามาก
ถึงงานหนักแต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
และในที่สุด ครึ่งชั่วยามต่อมา ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วก็พลันเปล่งประกายเมื่อได้ค้นพบสัตว์วิญญาณชนิดหนึ่งที่เขาเลี้ยงอยู่ในกรงสัตว์วิญญาณของยอดเขาหยกน้อย…
ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาในขณะที่เขาหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาจากกระเป๋าของเขา
ย้อนกลับไปเมื่อยามที่เขาไปที่ดินแดนเทวะอุดรเพื่อเก็บสมุนไพร ในเวลานั้น เขาได้สังหารกลุ่มของหยวนชิง และได้หนอนกู่พิษรักมาคู่หนึ่ง
หนอนกู่พิษรักเป็นหนอนกู่ชนิดหนึ่งซึ่งถือเป็นวิชาเวท ไม่ใช่วิชาเต๋า
ในตอนแรก เดิมทีหลี่ฉางโซ่วต้องการมอบสัตว์วิญญาณล้ำค่าหายากที่สุดให้กับพวกมันเพื่อให้พวกมันผสมพันธุ์และสร้างคุณค่า…
แต่เขาก็ยังไม่พบเป้าหมายที่เหมาะสม
เมื่อไม่นานมานี้ ในระหว่างที่เขาหลอมโอสถ หลี่ฉางโซ่วก็ได้ศึกษาสูตรยาแปลกๆ มากมายและบังเอิญได้พบวิธีที่จะยังชีพหนอนกู่พิษรักเอาไว้ได้อย่างยั่งยืน
เขาจะป้อนสมุนไพรพิษกู่หลิงให้หนอนกู่พิษและเปลี่ยนมันเป็นหินที่เรียกกันว่า หินแห่งความรัก
จากนั้นเขาก็จะเติมน้ำพุวิญญาณ ผสมน้ำสมุนไพรมากมายและใส่หินแห่งความรักลงไป หลังจากแช่น้ำไว้เป็นเวลา สี่สิบเก้าวันแล้ว เขาก็จะได้รับน้ำที่ใช้ในการผลิตยาที่เป็นความลับได้
ยานี้เป็นสิ่งที่หายาก มันมีผลเช่นเดียวกับต้นเซียงของเทพเฒ่าจันทรา และยังสามารถใช้ในการหลอมโอสถได้ด้วย…
บัดนี้ ขวดโอสถในมือของหลี่ฉางโซ่วถูกสกัดกลั่นมาจากน้ำที่ใช้ในการผลิตยานั้น
แน่นอนว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสัตว์วิญญาณหายากโดยเฉพาะ!
“ขอบใจที่ทำงานให้อย่างหนักหน่วงนะ…หยกใหญ่ หยกเล็ก”
ขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนพลางยิ้ม และลอยกลับไปที่กรงสัตว์วิญญาณที่ด้านหลังของภูเขา
ในขณะที่หลิงเอ๋อร์กำลังฝึกหลีกลี้วารีเร้นกายอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืนในทะเลสาบ นางยืนเขย่งปลายเท้าและมองไปในทิศทางของหอโอสถ แล้วบังเอิญเห็นหลี่ฉางโซ่วมือไพล่หลังกำลังลอยอยู่ในอากาศ
“ศิษย์พี่หน้าเหม็น เหตุใดเขาไม่มาคุยกับข้า!!”
“ข้าฝึกฝนมาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้พักผ่อน เขาไม่ใส่ใจข้าเลย…”
ทิศทางที่ศิษย์พี่เข้าไป…
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็มุ่ยปากแล้วรีบตามเขาไป นางอยากจะดูว่าศิษย์พี่ของนางจะไปทำอะไรในกรงสัตว์วิญญาณ
ชิ! นางไม่อยากคุยกับเขาหรอก!
และไม่นานหลังจากนั้น หลิงเอ๋อร์ก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือกรงสัตว์วิญญาณและเห็นศิษย์พี่ของนางกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างสระน้ำ
แล้วหลี่ฉางโซ่วก็พลันโบกมือเบาๆ เพื่อเรียกให้หลิงเอ๋อร์ออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง…
หลิงเอ๋อร์เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ นางผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นก็ลอยไปอยู่ข้างศิษย์พี่ ก่อนจะพับกระโปรงและคุกเข่าลงบนพื้นหญ้าแล้วมองตามสายตาของศิษย์พี่ไป
“เอ่อ…”
“ชู่ว!”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ทำท่าทางให้นางเงียบในขณะที่หลิงเอ๋อร์อดที่จะเอามือก่ายหน้าผากของนางไม่ได้ ด้วยไม่กล้ามองต่อไปมากกว่านี้
ขณะนี้ บนใบบัวในสระน้ำเบื้องหน้าของพวกเขามี ‘กบหยกกินวิญญาณ’ ที่ดูเหมือนหยกซึ่งหายากมากสองตัว…
หลิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากและมองไป นางกระซิบกับหลี่ฉางโซ่วว่า “ศิษย์พี่ แม้ข้าจะรักท่านอย่างลึกซึ้ง แต่ท่านก็ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ของท่านเช่นกัน! มีบางสิ่งที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้ มันจะส่งผลต่อการที่ข้าจะประเมินท่านนะเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ขอบใจ เช่นนั้น ช่วยข้าเปลี่ยนการประเมินของเจ้าเป็นระดับกลาง”
หลิงเอ๋อร์กลอกตาและแค่นเสียงออกมาว่า “ไม่นะ ข้าไม่เอา…ข้าประเมินท่านดีๆ ก็ได้!”
ทันใดนั้น นางก็กะพริบตาพลางมองไปที่กบหยก แล้ว จู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้บอกว่าสัตว์วิญญาณชนิดนี้ยากที่จะสืบพันธุ์หรือเจ้าคะ ข้ายังคิดว่าท่านจะทนไม่ได้ที่จะใช้มันในการหลอมโอสถและดื่มกิน”
หลี่ฉางโซ่วเขย่าขวดกระเบื้องเปล่าในมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีแผนของข้าเอง”
“นี่คือ…”
จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา และทันใดนั้น ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอนแรกนางรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย จากนั้นนางก็กะพริบตาและจงใจกล่าวว่า
“เอ่อ”
“ศิษย์พี่ ท่านแอบหลอมยานี้อย่างลับๆ จริงๆ!”
“ตำรากล่าวไว้ได้ถูกต้อง ผู้บำเพ็ญที่ชอบปรุงยาย่อมจะมีความคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน! เฮ้อ…แต่เนื่องจากข้าเป็นศิษย์น้องหญิงของท่าน…ศิษย์พี่ ท่านยังมีสัตว์วิญญาณที่จะผสมพันธุ์กันอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ศิษย์น้องหญิงคนนี้จะพยายามช่วยท่านอย่างเต็มที่!”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “อย่าคิดบ้าบิ่นเด็ดขาด ข้าได้กำหนดกฎห้ามพิเศษในทุกขวดของโอสถแต่ละขวดเหล่านี้”
“เชอะ! ตระหนี่ยิ่ง…ท่านจะระวังศิษย์น้องหญิงของท่านได้อย่างไรกัน ท่านเป็นศิษย์พี่เยี่ยงใดกัน!!”
“ช่วยไม่ได้ ข้ามีศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งที่มีความคิดที่ซับซ้อนยิ่ง”
หลิงเอ๋อร์ฉับพลันกลอกตาพลางมองไปยังกรงสัตว์วิญญาณที่อยู่ด้านข้าง ในขณะที่ความคิดของนางโบยบินไปยังที่อื่น
นางไม่รู้ว่าในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วกำลังงานยุ่งอยู่จริงๆ
สัตว์วิญญาณชนิดนี้จะกลายเป็นส่วนสำคัญในระบบป้องกันของยอดเขาหยกน้อย …
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากภัยพิบัติครั้งนี้ กบหยกย่อมจะไม่สูญเปล่า เขายังสามารถเชิญท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูให้มามีส่วนร่วมในการปรุงกบในหม้อไฟและเพลิดเพลินเจริญใจกับอาหารด้วยกัน
รสชาติน่าจะดีไม่น้อย!
…
หลังจากเสียงระฆังดังขึ้นเป็นเวลาผ่านไปครึ่งวัน ปรมาจารย์หลายสิบคนที่ออกไปทั้งหมดก็กลับมายังยอดเขาพิชิตสวรรค์
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าสำนักก็ประกาศเป็นการส่วนตัวว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามศิษย์ทุกคนออกไปและค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาก็ถูกปิดผนึกลงอย่างสมบูรณ์
จากนั้น เจ้าสำนักและผู้อาวุโสบางคนร่วมกับผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็หารือกันอย่างรอบคอบเกี่ยวกับมาตรการรับมือต่อไป…
ในขณะนี้ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกำลังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่สูงสุด อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขายังคงฝึกฝนและหลอมโอสถอย่างเงียบๆ ที่ยอดเขาตันติ่งอย่างสม่ำเสมอ
เวลานี้ชื่อเสียงและอิทธิพลของเขาในสำนักไม่ได้ดีนัก แต่สถานะของเขากลับไม่ได้ต่ำต้อย
ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนได้ฆ่าศัตรูที่ทรงพลังเพียงลำพังและแก้ไขวิกฤติให้กับสำนักตู้เซียน ดังนั้นทางสำนักจึงต้องการแสดงความขอบคุณซึ่งย่อมเป็นเรื่องเหมาะสม
เพียงแต่ว่า สำหรับผู้อาวุโสที่มีส่วนช่วยมามากแล้วนั้น ไม่ควรจะมอบเป็นของ ‘รางวัล’ และยังเป็นการไม่สมควรที่จะเรียกว่าเป็นการแสดงความกตัญญู…
หลังจากคิดดูแล้ว เจ้าสำนักตู้เซียนจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนคงต้องใช้ยาพิษอันล้ำค่าไปมากมายในครั้งนี้ และสำนักก็ควรต้องชดเชยความสูญเสียเหล่านั้นให้กับท่าน”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองดูแหวนขุมทรัพย์ที่เจ้าสำนักมอบให้เขาและส่ายศีรษะตามสัญชาตญาณเพื่อปฏิเสธ
มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเขาที่จะทำเพื่อสำนัก เขาจึงไม่อาจรับรางวัลดังกล่าวได้
ทว่าไม่นานผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วมุมปากของเขาก็พลันหยักยิ้มเย็นชา
แต่เขาเก็บมันไว้ให้หลี่ฉางโซ่วได้…
“ก็ได้ ข้าจะรับมันไว้”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็หันกลับไปและเดินไปที่ประตูห้องโถงด้วยไม้เท้า ปล่อยให้พวกเขามองตามแผ่นหลังที่แก่ชราและสง่างามของเขา
เจ้าสำนักตู้เซียนซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับผู้อาวุโสว่านหลินหยุน พลันขมวดคิ้วกะทันหัน เขามองดูผู้อาวุโสที่นั่งข้างหลังเขาและถามอย่างแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่ ข้ากล่าวอะไรผิดไปจนทำให้ผู้อาวุโสว่านไม่พอใจหรือไม่”
เหล่าผู้อาวุโสใหญ่ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ เพราะพวกเขาไม่คุ้นเคยกับผู้อาวุโสว่านหลินหยุนมากนักเช่นกัน…