ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 77.2 การทักทายจากคนชรา (2)
อย่างไรก็ตาม คู่บำเพ็ญเต๋าในสำนักหรือผู้บำเพ็ญที่มีคนชื่นชอบอยู่ในใจแล้ว พวกเขาก็จะรักษารูปลักษณ์ของเอาไว้อย่างระมัดระวัง…
บุรุษส่วนใหญ่จะรักษาตัวเองให้ดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบ ดูหล่อเหลาและเป็นผู้ใหญ่มั่นคง
ส่วนสตรีจะต่างกันไป คนที่สนใจและกังวลในสิ่งเหล่านี้ จะ ‘ตรึง’ รูปลักษณ์ของพวกนางเอาไว้เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าพวกนางดูงดงามที่สุด
ตัวอย่างเช่น หลิงเอ๋อร์ที่รู้ใจของตัวนางเอง โหย่วฉินเสวียนหย่า หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ และอาจารย์อาจิ่วจิ่วของนาง รวมถึงศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิงคนอื่นๆ ที่นางสนิทด้วย ต่างก็ตรึงรูปลักษณ์ของพวกนางเอาไว้ ในอนาคต รูปร่างหน้าตาของพวกนางจะคงเดิม…
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ยากที่พวกนางจะชราไปตามธรรมชาติ …
แม้ว่าหลิงเอ๋อร์จะรู้ว่ายากมากที่จะเดินเข้าไปในหัวใจและพิชิตใจหลี่ฉางโซ่ว ทำให้เขาตกหลุมรักนางได้ แต่นางก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะ…ยากมากขนาดนี้!
“แล้วข้าควรจะทำเช่นใดดี”
หลิงเอ๋อร์ ถอนหายใจเบาๆ ขณะนึกถึงภาพวาดที่นางเห็นมาก่อนหน้านี้และคิดว่านางควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วและหยิบผงสีแดงจำนวนเล็กน้อยที่นางเหลือไว้ขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้นเท้าคางพลางเผยสีหน้าครุ่นคิด
ในเวลานี้ นางทำได้เพียงแค่เริ่มแต่งหน้า…
ในเมื่อศิษย์พี่แสวงหาสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจเช่นนี้ นาง ศิษย์น้องหญิงของเขา ก็จะทุ่มสุดตัว!
เช่นนี้จึงรียกได้ว่า ข้าคู่ควรที่จะเป็นศิษย์น้องหญิงของเขา!
…
คราวนี้ ถือได้ว่า หลี่ฉางโซ่วประสบผลสำเร็จจากการเดินทางไปเมืองหลินไห่ในครั้งนี้ เขาตัดสินใจระงับแผนสร้างความร่ำรวยเอาไว้ชั่วคราว และมุ่งเน้นไปที่การค้นหาวัสดุที่จำเป็นในการจัดวางค่ายกล โดยลดการสะสมสมุนไพรและสมุนไพรวิญญาณ
เขาไม่อาจครองสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันได้ เมื่อมองจากสถานการณ์ในยามนี้ ระบบป้องกันของยอดเขาหยกน้อย ย่อมมีความสำคัญสูงสุด
ในครั้งนี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ประสบความสำเร็จอย่างราบรื่นในการแอบกลับมาจากเมืองหลินไห่ โดยทำเส้นทางกลับเป็นแปดเส้นทแยงมุม
และเมื่อพบอาจารย์ของเขา…เขาก็ได้ยินเสียงกรนเป็นจังหวะที่ข้างตอไม้
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์มองไปที่หินสัมผัสและตระหนักว่าไม่มีใครกำลังตรวจสอบสถานที่นี้ จากนั้นเขาก็ค้นหาสำรวจบริเวณโดยรอบนี้อย่างละเอียด
หลังจากแน่ใจว่าสถานที่นั้นปลอดภัยแล้ว ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็กลับไปที่ตอไม้ จากนั้นร่างกายของเขาก็โอนเอนไปมาในขณะที่สวดคาถาเวท “เล็ก เล็ก เล็ก” แล้วกลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขาซึ่งเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวหนา…
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ถือกระเป๋าสะพายหลังโป่งพองที่ด้านหลังและยกกล่องสี่เหลี่ยมขึ้นเหนือหัวก่อนจะวิ่งไปที่ตอไม้แล้วส่งเสียง “เฮ้!” จากนั้นก็โยนกล่องสี่เหลี่ยมออกไปกระแทกกับตอไม้เบาๆ
“เอ๋?”
หลังจากนั้น ตอไม้ที่หลับสนิทก็กลายเป็นกลุ่มควัน แล้วนักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็เหยียดหลังของเขาและยืนขึ้นมองกล่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ข้างๆ เท้าของเขา
“ท่านอาจารย์ ข้ากลับมาพร้อมกับกล่อง”
“เสร็จแล้วหรือ” ฉีหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางวางกล่องไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินไปที่ประตูสำนัก
และทันใดนั้น จิตใจของหลี่ฉางโซ่วกลับคืนสู่ร่างหลักของเขาทันทีในขณะที่เขายังคงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้กับอาจารย์ของเขา
นั่นคือมีผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองมาเยี่ยมชมสำนักเพื่อหารือเกี่ยวกับเต๋า เช่นเดียวกับการต่อสู้กับอ๋าวอี่ ซึ่งเขาได้รับชัยชนะ
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฉีหยวนก็รู้สึกเสียใจว่าเขาพลาดงานสนุกสนานเช่นนี้ไป…
“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วงว่าจะออกไปข้างนอกหลังจากนี้อีกขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ท่านอาจารย์ควรมุ่งเน้นบำเพ็ญเพียรและพยายามหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกอย่างเต็มที่ ครั้งสุดท้ายที่เราพูดถึงเต๋า ผู้คนจากสำนักบำเพ็ญเจี๋ยได้ต่อสู้ทั้งหมดสามครั้ง พวกเขาทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ ข้าจึงเกรงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น” เขากล่าวต่อ
ในขณะนั้น ฉีหยวนก็เหลือบมองไปที่ประตูสำนักในระยะไกลแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือ สำนักบำเพ็ญเจี๋ยไม่น่าจะทำร้ายพวกเราด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบว่า “ไม่ใช่ศิษย์กลัวว่าจะถูกทำร้าย แต่กลัวว่าอาจมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อสร้างปัญหา ตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างสำนักบำเพ็ญเจี๋ยและสำนักบำเพ็ญฉานเลวร้ายลง จึงอาจมีคนคิด…”
“คิดอย่างไรกัน”
“ยืมมีดฆ่าคนขอรับ”
ฉีหยวนอดจะสั่นและพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “ฉางโซ่ว เราควรแจ้งสำนักในเรื่องนี้หรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านการส่งขอความเสียงว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย เพื่อความปลอดภัย เราควรรอดูไปก่อนดีกว่า นอกจากนี้ หากข้ายังคิดเรื่องนี้ได้ ปรมาจารย์คนอื่นๆ ในสำนักก็ย่อมคิดได้เช่นกัน”
“นั่นก็จริง”
ฉีหยวนใคร่ครวญและตระหนักว่ามันเป็นเรื่องจริง
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในหอโอสถก็ตระหนักว่า ศิษย์น้องหญิงของเขากำลังจะเข้าสู่ค่ายกล ดังนั้นเขาจึงบอกอาจารย์ของเขาว่า “ท่านอาจารย์ เมื่อกลับไปถึงแล้ว พวกเราค่อยพูดถึงเรื่องนี้กันอีกครั้งเถิดขอรับ ข้ามีเรื่องจะรายงานท่านอีกเรื่องหนึ่งขอรับ”
หลังจากกล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ปิดค่ายกลรอบๆ หอโอสถ และปล่อยให้หลิงเอ๋อร์เข้ามา
แต่เขายังคงส่งพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขา ไปที่อาจารย์จนเข้าไปในประตูสำนักแล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ขอบเขตพลังของอาจารย์นั้นยังตื้นเขินเกินไป เขาจึงกลัวที่จะให้อาจารย์ของเขาออกไปอีก
หลี่ฉางโซ่วยังคงนั่งอยู่ที่นั่นและคาดการณ์อย่างรอบคอบว่า คนอื่นๆ จะใช้ประโยชน์จากการที่อ๋าวอี่และพวกของเขามาเพื่อหารือเรื่องเต๋าหรือไม่
เขาเพิ่งสังเกตเห็นผลกระทบที่ตามมาของเหตุการณ์นี้หลังจากที่ได้ยินผู้คนมากมายพูดถึงเรื่องนี้ในเมืองหลินไห่
แน่นอนว่าคนที่พูดถึงเรื่องนี้ต่างก็พูดถึงว่าปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิงนั้นทรงพลังเพียงใด คงไม่มีใครพูดถึงศิษย์หนุ่มที่ชอบใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อลอบโจมตี
และนั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วพอใจมาก
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกเสมอว่าท่ามกลางปัจจัยมากมายนั้น สำนักบำเพ็ญประจิมมีส่วนอย่างมากต่อการนำไปสู่มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ
เป็นเพราะสำนักบำเพ็ญประจิมจะได้รับประโยชน์จากมันมากมายอย่างยิ่ง
พวกเขาเอาเปรียบผู้อื่น แย่งชิงสมบัติ และสัตว์เลี้ยง…
และจากนั้น ความขัดแย้งระหว่างสามสำนักบำเพ็ญเต๋าที่เกิดขึ้นหลังจากสามบรรพชนแยกจากกัน และความขัดแย้งนั้นก็ขยายใหญ่และระเบิดออกมากขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าบรรพชนสำนักบำเพ็ญประจิมจะวางแผนทำร้ายพวกเขาด้วย
ปัญหานี้…
“ศิษย์พี่…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหวานร้องดังขึ้นจากด้านนอกประตู
แล้วศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาก็มาอยู่ที่นั่นอีกครั้ง นานๆ ครั้งนางจะทำสิ่งที่ไร้ความหมายเช่นนี้
หลี่ฉางโซ่วมองไปในทิศทางของเสียง และทันใดนั้นก็เห็นหลิงเอ๋อร์ทันที นางสวมชุดกระโปรงยาว แขนยาวในขณะที่ยกมือซ้ายขึ้นปกปิดใบหน้าของนางแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปในหอโอสถอย่างช้าๆ
“ศิษย์น้องหญิงน้อย ข้ากำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” หลี่ฉางโซ่วยิ้ม “เจ้าถูกผึ้งพิษร้อยตัวต่อยใบหน้าของเจ้าหรือไม่”
“ศิษย์พี่ ท่านน่ารำคาญยิ่ง!”
หลิงเอ๋อร์ดุเขาเบาๆ จากนั้นด้วยความเขินอายอย่างมาก แล้วก็ค่อยๆ ขยับแขนเสื้อออกจากใบหน้าและเผยให้เห็นว่า…
…ใบหน้าของนาง
นางแต่งหน้าหนา และแปะกระดาษหลายๆ แผ่น ทำให้เกิดริ้วรอยรอยย่นเพื่อให้ใบหน้าดู…เหี่ยวชรา
หลิงเอ๋อร์มองดูท่าทางตระหนกตกใจบนใบหน้าของเขาและยิ้มกริ่มในใจพลางโค้งคำนับให้เขาแล้วจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ศิษย์พี่”
หลี่ฉางโซ่วตะลึงงันแล้วปากอ้าตาค้างกะทันหันจนไม่อาจขยับตัวได้ในขณะที่นั่งนิ่งอยู่บนเบาะนั่งสมาธิ และดูเหมือนว่าทั้งร่างของเขาจะกลายเป็นหิน
…
บนเกาะร้างในทะเลทักษิณซึ่งอยู่ห่างจากแผ่นดินไปไม่ถึงร้อยลี้ มีนักพรตเต๋าสามคนกำลังคุกเข่าอยู่บนแนวปะการังอย่างสั่นเทาในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษ
วิ้ง—
เสียงยุงดังขึ้นชัดเจนท่ามกลางเกลียวคลื่น พวกเขาทั้งสามคนล้วนเป็นเซียนเสิ่น แต่พวกเขาก็ยังคงมีเหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผากของพวกเขา
ฉับพลันนั้น ก็มีค่ายกลปรากฏขึ้นมาจากที่ใดมิอาจรู้ได้และมีพลังลมปราณสีเทาพวยพุ่งออกไปทั่วท้องฟ้าทุกทิศทาง และสภาพแวดล้อมโดยรอบก็มืดลง
แล้วจู่ๆ ลำแสงสีแดงเลือดก็รวมตัวกันที่ด้านข้าง และก่อตัวขึ้นเป็นร่างเงาที่สวมชุดกระโปรงสีเลือด
สตรีผู้นี้มีรูปโฉมงามมากราวกับเป็นปีศาจ นางเจิดจรัสอย่างยิ่งและรูปร่างของนางก็น่าทึ่งเกินจริง นางสวมชุดคลุมสีแดง แล้วเดินเท้าเปล่าตรงไปยังคนทั้งสาม
นางเหยียดนิ้วที่เรียวยาวออกมาแล้วแตะนิ้วหนึ่งที่หน้าผากของคนเหล่านั้นพลางหลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึกในขณะที่มีเลือดไหลอาบใบหน้าเย้ายวนของนาง…
ทว่าเซียนเทียนไม่ได้กรีดร้องแม้แต่ครั้งเดียว แล้วทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นฝุ่นผงที่ปลิวลอยไปในสายลม
สตรีผู้นั้นสูดลมหายใจและชื่นชมนิ้วที่เรียวยาวของนาง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่รุนแรงว่า “มันรสชาติแย่จริงๆ”
“ข้าบอกให้เจ้าค้นหาสิ่งที่เรียกว่าร่างจริงของเทพแห่งท้องทะเลในทะเลทักษิณ แต่พวกเจ้าเพียงแค่คุกเข่าอยู่ที่นี่และขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตพวกเจ้าเท่านั้น? แล้วเหตุใดจึงคิดว่าหากข้าไม่หิว ข้าก็จะกินไม่ได้”
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าที่เหลืออีกสองคนรีบก้มศีรษะขณะที่ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ