ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 73.1 แผ่สัมผัสเซียนรับรู้และแอบเฝ้าดู... (1)
การต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแผนสร้างชื่อเสียงที่ตามมาในอนาคตของข้า
ขณะนี้ บนเมฆนั้น อ๋าวอี่มองไปยังสำนักตู้เซียนที่เขาเคยใฝ่ฝัน แต่ความรู้สึกของเขาในขณะนี้ ไม่เหมือนกับยามที่เขาอายุสิบขวบอีกต่อไปแล้ว
ในเวลานี้ เขามาที่นี่เพื่อตามหาหลี่ฉางโซ่ว
อ๋าวอี่ไม่รู้ชื่อและสถานะที่แท้จริงของหลี่ฉางโซ่วในสำนักตู้เซียนด้วยซ้ำ
แต่วันนี้ อ๋าวอี่รู้ว่า เขาต้องกลับไปที่สำนักตู้เซียน!
แม้ในงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจ อ๋าวอี่จะแสดงโดดเด่นคนเดียว แต่เขาก็ให้คะแนนผลงาน ‘ความสำเร็จ’ ของเขานี้กับหลี่ฉางโซ่ว
อ๋าวอี่ตระหนักว่า หากเขาต้องการสร้างชื่อเสียงไปทั่วหล้าโดยไม่มีตำหนิใดๆ ให้ตัวเอง ก็ไม่ควรมีตำหนิสีดำอยู่บนตัวเขา เขาต้องย้อนผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นเมื่อยามอายุสิบขวบ!
เขาสามารถใช้โอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์และแสดงภาพตัวเองว่า ‘รู้อัปยศแล้วจึงกล้า’ และทะยานสู่ท้องฟ้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเขาจะต่อสู้กับผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ของสำนักตู้เซียน ก่อนจะท้าทายผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ของสำนักเซียนทั้งหมดในดินแดนเทวะบูรพา และต่อจากนั้น เขาก็จะทะยานขึ้นฟ้า…
เขาต้องการเป็นแบบอย่างสำหรับเผ่ามังกร และเขาต้องได้รับการยอมรับจากพวกเขาก่อน
เขาต้องการเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานเผ่าพันธุ์มังกรและสร้างอิทธิพลของเขา!
จากนั้นเขาก็จะคิดหาวิธีที่จะทำให้เผ่ามังกรค่อยๆ ละทิ้งความเย่อหยิ่งของพวกเขา และนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะกอบกู้เผ่าพันธุ์มังกรได้…
อ๋าวอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ขณะครุ่นคิดว่าเขาควรจะกล่าวอย่างไรต่อไป
บัดนี้ ผู้อาวุโสทั้งห้าของเขาได้มาถึงด้านนอกค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของสำนักตู้เซียนแล้ว ยังไม่ทันได้ผ่านประตูสำนัก พวกเขาก็แผ่พุ่งลมปราณของพวกเขาออกมาทันที
ผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา…
แค่กๆ เพื่อมาหารือเรื่องเต๋า!
……
เมื่อเห็นว่ามีผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองมาเยี่ยมเยียนที่นี่ ทุกคนในสำนักตู้เซียนก็ตื่นตระหนกทันทีด้วยเสียงระฆังภายในสำนักที่ดังขึ้นมา
ในตอนแรก เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น เหล่าปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาทั้งหมดที่ไม่ได้เข้าปิดด่านต่างก็รีบพุ่งไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์
แต่หลังจากนั้น รองเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสหลายคนก็รู้สึกว่า ทำเรื่องใหญ่โตเกินไป เพราะกลายเป็นว่า มีผู้บำเพ็ญเพียงไม่กี่คนมาเยี่ยมเยียนสหายของพวกเขาเท่านั้น…
เกาะเต่าทองเป็นสถานที่เผยแผ่คำสอนที่มีชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยในโลกบรรพกาล เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว สำนักตู้เซียนก็ยังมีชื่อเสียงน้อยกว่าและมีขนาดเล็กกว่า
อย่างไรก็ตาม สำนักตู้เซียนก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเช่นกัน คงจะน่าอายที่พวกเขาจะประโคมเรื่องมากเกินไปเมื่อต้อนรับเซียนที่ไม่รู้จักสองสามคน
หากวันนี้ ผู้เยี่ยมเยือนเป็นเซียนที่มีชื่อเสียงจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย เช่นศิษย์หลักชั้นนอกจ้าวกงหมิง ซึ่งฝึกฝนในเคหาสน์ถ้ำสวรรค์บนภูเขาอี่เหมย เช่นนั้นแล้ว คนของสำนักตู้เซียนก็จะส่งเซียนทั้งหมดออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง
แต่กลายเป็นว่ามีเพียงเซียนเทียนสองสามคนมาถึงแทน…
แล้วในไม่ช้า ปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาส่วนใหญ่ก็กลับไป เหลือไว้เพียงผู้อาวุโสเซียนเทียนนับสิบคน
ผู้อาวุโสเหล่านี้ร่วมกับปรมาจารย์รองเจ้าสำนักจ้งอวี่ได้นำเซียนเสิ่นผู้เลิศล้ำปัญญาสองสามคนมาสร้างความเพลิดเพลินให้ผู้บำเพ็ญจากเกาะเต่าทองเหล่านี้
ในสายตาของผู้อาวุโสเหล่านี้ จิ่วอูคือ ‘รุ่นเยาว์’ ที่ฉลาดเฉียบแหลมมาก
และเป็นไปตามคำสั่งของผู้อาวุโส จิ่วอูก็รับเรื่องยุ่งเมื่อกลุ่มคนแปดคนจากเกาะเต่าทองมา เขาก็เชิญคนทั้งหมดไปที่โถงตู้เซียนซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ของยอดเขาพิชิตสวรรค์ แล้วให้ศิษย์สองสามคนนำเครื่องต้อนรับมาให้
ซึ่งหากมีแขกในวังมังกร บรรดาผู้ที่คอยดูแลชงชาและรินน้ำให้จะล้วนเป็นสาวใช้เผ่าทะเลที่งดงาม
ทว่าสำนักตู้เซียนทำตรงกันข้าม บรรดาผู้ที่คอยดูแลชงชาและรินน้ำให้ล้วนเป็นศิษย์ชายที่ดูดีมีมารยาทและมีรากฐานเต๋ามั่นคงแข็งแกร่งทั้งหมด
นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างขุมพลังหนึ่งและสำนักเซียน
หลังจากแขกนั่งเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็มองหน้ากันก่อนจะเริ่มพูด แล้วพวกเขาก็เริ่มหัวเราะออกมาดังๆ…
จิ่วอูมีความรู้และรู้ว่ามันเป็นกระบวนการตายตัว ยิ่งหัวเราะนานเท่าใด ความเป็นศัตรูก็ยิ่งดูน้อยลงเท่านั้น
ย่อมไม่มีเรื่องเพลิดเพลินใดมากเกินไปในโลกบรรพกาล
หลังจากหัวเราะแล้ว ปรมาจารย์รองเจ้าสำนักตู้เซียน จ้งอวี่ก็กล่าวขึ้นมาก่อนว่า “สหายเต๋า เป็นเกียรติของสำนักตู้เซียนนักที่ได้มีโอกาสต้อนรับพวกท่านจริงๆ…”
แล้วพวกเขาทั้งสองฝ่ายก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน เหล่าผู้บำเพ็ญจากเกาะเต่าทองต่างก็สนทนาหารือเรื่องเต๋ากับคนของสำนักตู้เซียน
ผู้อาวุโสทุกคนในสำนักตู้เซียนล้วนแย้มยิ้ม และทันใดนั้นก็มีบางคนแอบเชิญผู้อาวุโสสองสามคนที่มีขอบเขตพลังสูงสุดในสำนักให้เข้ามาช่วยสนับสนุนพวกเขาในสถานที่นั้นทันที
การเทศนาและสนทนาเรื่องเต๋าเป็นสิ่งที่นิยมกันในโลกบรรพกาล อันที่จริง พวกเขาแต่ละคนมีความเข้าใจในเต๋าของตนเอง แล้วแต่ละคนนั้นก็ดึงมันออกมาเพื่อเปรียบเทียบกันเอง พบปะพูดคุยกัน และแลกเปลี่ยนคำแนะนำกัน…
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การสนทนาในเรื่องเต๋าจะเริ่มต้นขึ้นที่นี่ กลุ่มคนจากจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยก็ยื่นคำขอที่ดูไร้สาระในสายตาของจิ่วอู…
เซียนเทียนวัยกลางคนกล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ศิษย์น้องของข้า อ๋าวอี่ซึ่งมีวัยเพียงสิบปีในระหว่างงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจครั้งก่อนนั้น เป็นผู้ที่ราชามังกรแห่งวังมังกรส่งมาเพื่อประลองกับศิษย์ของท่าน และในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ให้ศิษย์ของท่าน”
เขากล่าวต่ออีกว่า “คราวนี้ ศิษย์น้องของข้าได้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ทะยานขึ้นสู่เซียนแล้ว และเขาก็อยากแลกเปลี่ยนทักษะกับศิษย์ของท่านอีกสักครั้ง ไม่รู้ว่าท่านจะสะดวกหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนต่างก็มองหน้ากัน แล้วผู้อาวุโสคนหนึ่งก็แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่การเรียนรู้ทักษะกันและกันระหว่างรุ่นเยาว์ เช่นนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าอ๋าวอี่เป็นรัชทายาทของราชามังกร และขอบเขตพลังของเขาย่อมเหนือชั้นเกินกว่าที่ศิษย์รุ่นเยาว์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราจะเปรียบเทียบได้อย่างแน่นอน”
“บัดนี้เป็นรัชทายาทของราชามังกร อ๋าวอี่ได้กลายเป็นเซียนแล้ว จึงไม่จำเป็นแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนทักษะกับศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักของเราอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋าวอี่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้ผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนทันทีและกล่าวว่า
“ข้าขอกล่าวด้วยความสัตย์จริงว่า ข้ารู้สึกเสียใจตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น เกรงว่ามันจะกลายเป็นปัญหาขัดขวางการฝึกบำเพ็ญของข้าในอนาคต จึงเป็นเหตุให้ข้าตัดสินใจบังอาจขอท้าประลองกับศิษย์สำนักตู้เซียนอีกสักครั้งขอรับ”
“เมื่อเราเผชิญหน้ากัน ข้าจะขอรบกวนให้ท่านผู้อาวุโสช่วยผนึกขอบเขตพลังของข้าขอรับ”
“อืม…”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสของสำนักตู้เซียนสองสามคนก็รู้สึกลำบากใจ…ทว่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ปรมาจารย์รองเจ้าสำนักจ้งอวี่แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้ามานี่ ไปเชิญเสวียนหย่ามา”
ในเวลานี้ เซียนผู้ดูแลก็รับคำสั่งทันทีและรีบหันหลังกลับเพื่อเดินออกไปจากโถงตู้เซียนอย่างรวดเร็วแล้วมุ่งหน้าไปยังอีกด้านหนึ่งของยอดเขาพิชิตสวรรค์
อ๋าวอี่นึกถึงบางสิ่งได้แล้วกล่าวว่า “คนที่แลกเปลี่ยนทักษะกับข้าในวันนั้นคงไม่ใช่ศิษย์นามเสวียนหย่าผู้นี้ ข้าได้ยินคนเรียกเขาว่า…ฉางโซ่ว”
“ฉางโซ่ว?”
“เขาเป็นศิษย์ของยอดเขาใดหรือ”
ชั่วขณะนั้น ผู้อาวุโสเซียนเทียนสองสามคนของสำนักตู้เซียนซึ่งเข้าปิดด่านมาตลอดทั้งปีต่างก็บีบนิ้วทำนายแล้วเผยทีท่างุนงงออกมา
ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่รู้เรื่องนี้ต่างก็ยิ้มโดยไม่เอ่ยวาจาใดสักคำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ความคิดของจิ่วอูก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่ารัชทายาทจากวังมังกรได้เข้าร่วมสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยและมาที่นี่เพื่อแก้แค้นศิษย์หลานฉางโซ่ว!
เวลานี้ ฉางโซ่วน่าจะอยู่ขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นแปดเท่านั้น เขาอ่อนแอกว่าอ๋าวอี่มากและพลังศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรก็ทรงพลังนัก
บัดนี้ไม่มีผู้ใดให้การสนับสนุนยอดเขาหยกน้อย หากข้าไม่อธิบายและพูดแทนให้เสี่ยวฉางโซ่ว เกรงว่าเสี่ยวฉางโซ่วอาจถูกมังกรน้อยตัวนี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมทำร้ายได้!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จิ่วอูก็ลุกขึ้นและกล่าวเสียงดังทันที
“ฉางโซ่วเป็นศิษย์ของยอดเขาหยกน้อย ศิษย์คนโตของศิษย์น้องฉีหยวน ข้าเป็นคนแนะนำให้เขาไปเข้าร่วมงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจที่ทะเลบูรพาในครั้งล่าสุด แต่ข้าได้ยินจากศิษย์น้องหญิงเก้าว่าองค์ชายอ๋าวอี่ชนะฉางโซ่ว ศิษย์หลานเคลื่อนไหวพลาดและออกไปจากพื้นที่ในขอบเขตที่กำหนดเอาไว้ในขณะนั้น!”