ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 6 ศิษย์น้องหญิงเจริญวัยแล้ว
“ฉางโซ่ว เจ้ายังจำคาถาเวทที่อาจารย์สอนเจ้าเมื่อวานได้หรือไม่ ลองท่องมาให้ข้าฟังสักครั้งสิ”
“หลี่ฉางโซ่ว! เป็นผู้บำเพ็ญเพียรจะปรารถนามีชีวิตยืนยาวแต่รักตัวกลัวตายได้อย่างไร! หากเจ้าไม่ทุ่มเทอย่างหนักแล้วเจ้าจะมีโอกาสนั้นได้อย่างไร!”
หวา! เหตุใดอาจารย์ถึงเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้
ดูเหมือนว่าความทรงจำทั้งสองนี้ห่างกันหลายสิบปี เมื่อข้าเพิ่งเข้ามาในสำนัก อาจารย์ก็ใจดีอบอุ่นและน่ารัก ทว่าหลายสิบปีต่อมาท่านอาจารย์…
กลับดุร้ายอย่างที่สุด!
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะอย่างทึ่มทื่อ และจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าร่างเต๋าของเขาได้หลับไปแล้ว ในขณะที่ยังเหนื่อยล้าจากการฝึกบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง
นี่คือ…ความฝัน?
ความฝันหรือ เขาไม่ได้ฝันมานานมากแล้ว หลังจากระดับการฝึกบำเพ็ญสูงขึ้น การนอนก็ลดลงมาก และทุกครั้งที่นอนหลับเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าฝึกบำเพ็ญอย่างหนักเป็นเวลานาน จนสะสมความเหนื่อยล้าเอาไว้มากเกินไป แม้เขาอาจจะยังมีพลังอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็ตาม แต่ก็ยังต้องการการนอนหลับที่ดีเพื่อฟื้นฟูและบรรเทาความกดดันจากความเครียดที่สะสมในจิตวิญญาณของเขา
“เฒ่าเถียน เฒ่าเถียนอย่าทำเป็นแกล้งหลับ! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เฒ่าเถียน!”
เป็นอีกครั้งที่เขาได้ยินเสียงแหบของชายคนนั้นตะโกนใส่เขาสุดเสียง มันฟังดูเหมือนมาจากที่ไกลๆแต่ก็ยังดังชัดเจนยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่น ดูเหมือนว่าเขาจะย้อนกลับไปในอดีตและเผชิญหน้ากับความทรงจำวุ่นวายยุ่งเหยิงทั้งหมดที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างเร่งรีบ
เมื่อภาพความทรงจำผุดขึ้นมา เขาก็พินิจพิจารณาราวกับว่ากำลังชื่นชมหมู่มวลบุปผา ราวกับว่าเขากำลังดูเรื่องราวชีวิตของผู้อื่น
ในเรื่องนี้ ไม่มีผู้ฝึกบำเพ็ญบินอยู่บนท้องฟ้า และไม่มีเทพเซียนใดๆ ในที่ห่างไกล
บางที… อาจมีเทพเซียนอยู่ ทว่าไม่มีผู้ใดรู้จัก
ตัวเอกของเรื่องนี้มีนามว่า ‘เถียนจู่กวง’ ซึ่งเกิดบนดาวเคราะห์สีครามที่เรียกขานกันว่า โลก
เถียนจู่กวง ดังที่เห็นได้จากนามที่ถูกตั้งขึ้นมานี้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ตั้งนามนี้ขึ้นมาย่อมมีความคาดหวังสูงต่อเขาเป็นอย่างมาก โดยหวังว่าเขาจะสร้างเกียรติประวัติและความเจริญรุ่งโรจน์มาสู่บรรพบุรุษของเขา
เขาเองก็พยายามอย่างหนักเช่นกัน ก่อนอายุยี่สิบแปดปีเขามีชีวิตที่ดี แต่เมื่อเขาเข้าสู่วัยยี่สิบแปดปี เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้อย่างกะทันหัน…
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขานั่งเอนตัวลงบนเก้าอี้รถเข็นและหายใจแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตสุดท้ายที่ถูกดึงออกไปจากร่างกาย ราวกับว่าสติของเขากำลังจะตกลงไปในขุมนรกที่ลึกสุดหยั่ง
จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมาอย่างรุนแรงจากส่วนลึกในใจ ราวกับเขาสัมผัสได้ถึงไฟสุดท้ายของชีวิตที่ปะทุขึ้นมาในทันใด จากนั้นเขาจึงจับที่เท้าแขนของรถเข็นและใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกายเพื่อลุกขึ้นยืน แต่ก่อนเขาจะก้าวไปข้างหน้าได้สักก้าว เขากลับทรุดตัวลงไปที่พื้น…
และนั่นคือที่มาของประโยคที่สหายรักในชาติที่แล้วของเขากำลังตะโกนว่า
‘เฒ่าเถียน เฒ่าเถียน อย่าทำเป็นแกล้งหลับ! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เฒ่าเถียน!’
ความทรงจำสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน และมีการหยุดพักเล็กน้อย
การหยุดพักครั้งนี้กินเวลาประมาณสามปี และภาพที่ตามมานั้นก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
มันเป็นภาพของเด็กชายผมเปียตัวน้อยที่สวมกางเกงเปิดเป้ากำลังวิ่งไปบนพื้นหญ้า แล้วจากนั้นก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอายุได้เจ็ดหรือแปดขวบ ยามเมื่อเขาได้พบกับเซียนชราผู้ที่รับเขาไปเป็นศิษย์ และนั่นอาจเป็นชะตากรรม!
ชะตากรรมที่ชั่วร้าย!
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ เขาปิดผนึกความทรงจำเหล่านี้และเก็บมันไว้ในส่วนลึกที่สุดในใจของเขา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็คือความทรงจำล้ำค่าที่เขาหวงแหนที่สุด ถึงแม้ว่าความทรงจำเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกลบเลือนหายไปตามกาลเวลาอย่างช้าๆ ก็ตาม
เขาไม่อาจผ่อนคลายได้ สภาพแวดล้อมรอบกายเขาไม่สงบและมั่นคงอย่างที่เห็น
เมื่อหลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้ เขาหันหลังกลับในความมืด เขารู้สึกว่าความอ่อนล้าในร่างของเขาค่อยๆ หายไปในขณะที่แผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปจากร่างของเขาเพื่อตรวจจับดูทุกสิ่งรอบกายก่อนจะพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ และในเวลานั้นเขาก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาสักพัก
ความเฉื่อยชาเกียจคร้านที่เขาไม่ได้รู้สึกมาเป็นเวลานานก็ปรากฏขึ้น
แม้ว่าจะดีที่เขาได้มีชีวิตใหม่ เขายังรู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจยิ่งต่อ ‘มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่’ ผู้ที่เปิดวิถีลี้ลับนี้ให้เขา เขาไม่รู้ว่าท่านมีอยู่จริงหรือไม่ แต่…
ท่านสามารถมอบชีวิตสมัยใหม่แก่เขาได้หรือไม่
แม้ว่าเขาจะไม่อาจย้อนเวลากลับไปในยุคปัจจุบันได้ มันก็ดีที่จะมีส่วนร่วมในสมัยโบราณ เช่น หากเขาถูกส่งกลับไปยังราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรือง หรือราชวงศ์หมิงที่แข็งแกร่ง เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและมีความสุข มีภรรยาสามคนและอนุสี่คนตามช่วงเวลานั้น
และในเสี้ยวเวลานั้น เขาก็ค้นพบว่าเขาถูกส่งมายังโลกแห่งการฝึกบำเพ็ญเซียนที่สุดแสนโหดร้าย ไร้ความปรานี และไร้เหตุผลที่สุด นั่นคือ ยุคบรรพกาลโบราณ!
หลังจากที่อาจารย์ของเขารับเขาเข้ามาเป็นเวลาสิบห้าปีแล้ว ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจสภาพแวดล้อมของเขาผ่านคัมภีร์และตำราต่างๆ ในสำนักตู้เซียน รวมถึงเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากอาจารย์ของเขา
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มปิดกั้นตัวเองและแยกตัวออกจากผู้อื่น
ใช่แล้ว เขาเข้ามาสู่สิ่งที่คนรุ่นหลังเรียกว่า สมัยโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โลกบรรพกาลโบราณ มันคือยุคบรรพกาลในตำนาน ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างภัยพิบัติใหญ่สองครั้งแห่งยุคบรรพกาล
เมื่อมองไปตามเส้นทางของยุคบรรพกาลในตำนาน ซึ่งผลกระทบจากสงครามจอมเวท-ปีศาจยังคงดำเนินต่อไป มนุษย์ต่างเฉลิมฉลองกัน แต่พลังที่เหลืออยู่ของปีศาจก็ยังคงดำรงอยู่อย่างมหาศาล และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยมีเทพมารดาแห่งมวลมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในหกเทพ คือ เทพีหนี่วาคอยปกป้องคุ้มภัยอยู่ที่จุดเชื่อมต่อของดินแดนเทวะทั้งห้า ทว่าเหล่าปีศาจก็ยังคงอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก พวกมันยังคงฝันถึงการฟื้นคืนชีพของพวกมันในขณะที่ต่อสู้กับเหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาหลายปี
เทพทั้งหกได้กลับคืนสู่ตำแหน่งของพวกเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีปัญหาต่อสู้กันเอง และเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องพินาศเพราะความอหังการของพวกเขา
ผู้อาวุโสสองคนแห่งสำนักบำเพ็ญแดนเทวะประจิมได้เข้ายึดครองและควบคุมดินแดนเทวะประจิม ซึ่งเป็นดินแดนที่มีเส้นชีพจรวิญญาณเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เผยแพร่คำสอนแห่งดินแดนเทวะประจิมไปทั่ว และพยายามบ่อนทำลายรากฐานของสำนักบำเพ็ญเต๋าอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
เวลานี้มีสามสำนักบำเพ็ญเต๋าคือ สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินหรือสำนักบำเพ็ญมนุษย์ สำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้เกิดขึ้น สิบสองเซียนจินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานเพิ่งเริ่มสร้างชื่อให้กับพวกเขาเอง และกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาในหมู่เหล่าผู้บำเพ็ญ
เซียนนับหมื่นแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยต่างได้รับแรงผลักดันเช่นกัน เหล่าผู้แข็งแกร่งจากวิถีต่างๆ มารวมตัวกันอยู่ภายใต้ทงเทียนเจี้ยวจู่หรือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ และมีเรื่องทะเลาะกับสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยทุกวัน แต่โชคดีที่พวกเขายังไม่ได้เริ่มการต่อสู้กันจริงๆ
นี่คือยุคที่ดีที่สุดของสำนักบำเพ็ญเต๋า สามสำนักล้วนเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังหนุนนำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เติบโตขึ้นมาพร้อมกับพวกเขา ในเวลานั้นดินแดนเทวะมัชฌิมาก็เต็มไปด้วยสำนักบำเพ็ญเต๋า และมีร่องรอยของบรรดาศิษย์ทั้งสามสำนักไปทั่วทุกที่ เช่นเดียวกันกับมรดกเต๋าแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าที่ล้วนได้รับการสืบทอดและเผยแพร่ไปทั่วทั้งในมหาตรีสหัสโลกธาตุ และพบผู้บำเพ็ญมนุษย์ขั้นสร้างปราณวิญญาณเทพระดับสูงสุดมากมายซึ่งได้กลายเป็นส่วนหลักแห่งยุคบรรพกาล
ทว่านี่ก็เป็นยุคที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมดาเช่นกัน การแข่งขันบนเส้นทางสู่สวรรค์นั้นดุเดือดยิ่ง และไม่นานนักก็มีการจัดตั้งศาลสวรรค์ขึ้นมา ทว่าศาลสวรรค์นี้กลับรังแต่จะกระทำการเอาใจบรรดาเซียนของทั้งสามสำนักเท่านั้นจนไร้ระเบียบแบบแผนใดๆ ในทั่วทั้งห้าดินแดนเทวะและทั่วทั้งมหาตรีสหัสโลกธาตุ ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ต้องการเติบโตต้องอาศัยการฝึกบำเพ็ญอย่างหนักและโชคของตนเองแต่เพียงเท่านั้น
โชคยังมีบทบาทสำคัญอย่างมาก!
สิ่งเดียวที่หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าเขาโชคดีก็คือ แม้อาจารย์ของเขาจะไม่แข็งแกร่งนัก หรือจะกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือเขาไม่แข็งแกร่งเลย แต่เขาก็มีพื้นฐานมาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
แม้หลี่ฉางโซ่วจะสงสัยยิ่งนักว่าผู้ก่อตั้งสำนักตู้เซียนนั้น แท้ที่จริงแล้วอาจเป็นศิษย์ในนามของเทพผู้ขจัดทุกข์ที่สมบูรณ์แบบแท้จริง
สิ่งเดียวที่หลี่ฉางโซ่วสามารถนึกถึงเกี่ยวกับเทพผู้ขจัดทุกข์ที่สมบูรณ์แบบแท้จริงในคุนหลุนประจิม ก็คือเซียนผู้นี้ได้ฝึกฝนศิษย์ของเขาในช่วงระหว่างสงครามมหาเทพ และจากนั้นเขาก็ถูกเรียกขานเป็นลูกสมุนเฮงแห่งนายพลเฮงฮา[1] ส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่ไม่สำคัญอันใด
หลี่ฉางโซ่วยังมั่นใจกว่าแปดในสิบส่วนว่า เทพผู้ขจัดทุกข์ที่สมบูรณ์แบบเป็นเพียงศิษย์ในนามของไท่เสิ่นเซียน ซึ่งทั่วทั้งแดนเซียนสวรรค์นั้นไม่นับเป็นอันดับที่สูงเลย
ครั้นเมื่อกล่าวถึงตัวหลี่ฉางโซ่วเอง
หลี่ฉางโซ่วนั้นไร้ภูมิหลัง ปราศจากพลังวิเศษ และไม่มีโชค แล้วเขาจะสร้างชื่อให้ตัวเองในยุคนี้ได้อย่างไรเล่า
ช่างน่าขันยิ่ง แค่รอดชีวิตได้ก็นับว่าดีแล้ว
ดังนั้นนับจากปีนั้นเป็นต้นมา หลี่ฉางโซ่วจึงได้ตั้งเป้าหมายสำหรับตัวเองเอาไว้ว่า ต้องมีชีวิตอยู่รอดต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามหลีกเลี่ยงภัยพิบัติทุกประเภท แสวงหาความสงบสุขและความมั่นคง เขาต้องการมีชีวิตครั้งที่สองที่ดี ซึ่งไม่ได้มาอย่างง่ายดาย
และโชคชะตาของเขาย่อมไม่มีความโดดเด่นและกลายเป็นคนมีชื่อเสียงได้เลย
ต่อให้เขาฝึกฝนอย่างหนักแค่ไหน แต่เขาจะสามารถเอาชนะปรมาจารย์ของทั้งสามสำนักได้หรือ
แม้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสวงหาโอกาส แต่เขาจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่าบุตรแห่งความโชคร้ายได้หรือ
ภัยพิบัติใหญ่ต่อไปก็คือมหาสงครามเทพซึ่งเขาจะต้องอยู่ห่างจากมันให้มากที่สุด แทนที่จะพยายามสร้างชื่อเป็นเซียนในแดนสวรรค์ ก็อาจดีกว่าที่หลี่ฉางโซ่วจะฝึกบำเพ็ญตนเองให้เร็วที่สุด เขาจะอาศัยในยามที่ศาลสวรรค์เสื่อมโทรม แล้วจากนั้นเขาก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งศาลสวรรค์…
ขุนนางในยุคบรรพกาลหรือ ก็น่าจะพอเป็นไปได้
ผู้ใดจะสนใจว่าเขาจะได้ผลไม้อายุยืนหรือไม่ หากเขายังสามารถคงชีพอยู่ได้อย่างสงบสุขและมั่นคงตราบเท่าที่เขาตั้งใจไว้ นั่นก็นับว่าเขาคู่ควรแล้วที่ได้ชีวิตคืนกลับมาอีกครั้ง!
และนับจากวันนั้น เป้าหมายสูงสุดของหลี่ฉางโซ่วก็คือ
อยู่จนกว่าจะแก่ตาย!
และเพื่อเป้าหมายนี้ เขา…
“ศิษย์พี่เจ้าคะ?”
“ศิษย์พี่!”
“ศิษย์พี่ เหตุใดท่านถึงมานอนที่นี่ คนเริ่มไปรวมตัวกันที่ยอดเขาหลักแล้ว หากพวกเราไม่ไปตอนนี้ พวกเราก็จะสายเกินไป!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงหวานข้างหูของเขา หลี่ฉางโซ่วก็หยุดปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นไปไกล จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
คนตรงหน้าเขาดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง นางเป็นเด็กสาวที่มีใบหน้าละเอียดอ่อน ดวงตาสุกสว่างสดใส คิ้วงามดั่งกิ่งหลิว จมูกโด่งงาม ใบหูสวย และริมฝีปากบอบบางสีชมพู เครื่องหน้าที่โดดเด่นเช่นนี้เข้ากันได้ดีกับใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสของนาง เมื่อนางขมวดคิ้วที่งดงามก็ยิ่งทำให้นางดูน่ารักเป็นพิเศษในขณะเดียวกันดวงตาของนางล้วนฉายแววแห่งความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งเช่นกัน
“คนสวย เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
“ศิษย์พี่!”
เด็กสาวเอื้อมมือไปบีบจมูกของหลี่ฉางโซ่วแล้วถูเบาๆ จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านทำมึนอีกแล้ว!”
“อา หลิงเอ๋อร์ แค่พริบตาเดียวเจ้าก็เจริญวัยได้ถึงเพียงนี้แล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วอ้าปากหาว ทันใดนั้นร่างของเขาก็ลอยออกไปยืนตรงตระหง่านบนพื้นหญ้า ห่างจากหลันหลิงเอ๋อร์ออกไปราวสามฉื่อ
“ข้าอยู่บนภูเขานี้มาสิบปีแล้วนะเจ้าคะ!”
หลันหลิงเอ๋อร์กระทืบเท้าพลางมุ่ยปากเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นนางดูสุดแสนน่ารักและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
นางไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามเท่านั้น แต่ยามนี้แม้แต่ร่างกายของนางก็เติบโตเต็มที่แล้ว ด้วยเรียวขายาวสวยและเอวเพรียวบางที่ได้สัดส่วนรับกันอย่างเหมาะเจาะยิ่ง นางสวมชุดกระโปรงเทพธิดาซึ่งเสริมส่วนเว้าส่วนโค้งที่มีเสน่ห์ตรงกลางร่างของนางได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ ผิวของนางขาวราวหิมะเย็นยะเยือกและเรียบเนียนราวกับไหมที่อ่อนนุ่ม ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนล้วนหลงใหลมึนเมา
โหม่ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังลอยมาดังก้องกังวานไปทั่วหมู่เมฆ ในขณะที่หลันหลิงเอ๋อร์ร่ำร้องเร่าๆ ออกมาว่า “ศิษย์พี่เร็วเข้า รีบขี่เมฆไปเร็วเข้า! หากเราไม่ไปตอนนี้เราจะสายแน่แล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้ายังขี่เมฆไม่ได้อีกหรือ”
หลันหลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วตอบอย่างไม่พอใจว่า “ข้าบินเร็วไม่ได้!”
“ก็ได้” หลี่ฉางโซ่วดูไม่ค่อยเต็มใจนัก จากนั้นเขาก็เรียกก้อนเมฆขาวแล้วกระโดดขึ้นไปก่อน
ฉับพลันนั้นดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์ก็เผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย นางกระแทกเท้าด้วยรองเท้าผ้าสีชมพูของนางลงบนพื้นหญ้าแล้วลอยร่างขึ้นไปอยู่ที่ด้านข้างของหลี่ฉางโซ่ว ทว่าตอนที่นางกำลังจะเอื้อมมือออกไปจับแขนศิษย์พี่ของนาง หลี่ฉางโซ่วก็หลบเลี่ยงนางไปทันที
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “อย่าลืมสิ พวกเราสัญญากันแล้ว”
“ข้ารู้แล้วน่า! ศิษย์พี่ ท่านนี่มันจริงๆ เลย! คิดเล็กคิดน้อยยิ่ง!”
หลันหลิงเอ๋อร์บ่นกระปอดกระแปดขณะที่ขยับออกไปทางด้านข้างครึ่งก้าวอย่างฉุนเฉียว
“ถูกต้อง เราต้องรักษาระยะห่างเอาไว้สามฉื่อ…เวลานี้เจ้าคืออัจฉริยะที่กำลังเฉิดฉายแห่งสำนักตู้เซียนของเรา เทพธิดาหลิงเอ๋อร์ซึ่งเป็นที่รักในใจของบรรดาศิษย์ชายนับพัน ศิษย์พี่ไม่อยากถูกพวกเขาสาปด้วยคาถาเวท”
หลี่ฉางโซ่วเหยียดหลังพร้อมกับเอื้อมมือของเขาออกไป จากนั้นเขาก็มองย้อนกลับไปทางกระท่อมมุงจากแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ยังปิดด่านฝึกบำเพ็ญอยู่หรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจจะปรากฏกายออกมาเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ทุกเมื่อ! เท่าที่รู้เมื่อพวกเรากลับมา ท่านอาจารย์ก็อาจกลายเป็นเซียนแล้ว!”
หลันหลิงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ด้วยความคาดหวังเล็กน้อยในดวงตาของนาง จากนั้นนางก็หันไปหาศิษย์พี่ของนางแล้วนิ่งงันไปทันที ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย พลางเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาปานกระซิบว่า
“คนในสำนักได้ไปรวมตัวกันหลายกลุ่มเพื่อออกไปฝึกฝน แต่เดิมท่านไม่เคยเข้าร่วมทดสอบกับพวกเขาแม้แต่ครั้งเดียว แต่คราวนี้ท่านกลับมาได้…เพราะ…เป็นห่วงข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง ตามด้วยใบหน้าที่ ‘เย็นชาไร้ความรู้สึก’ ของหลี่ฉางโซ่วพร้อมด้วยคำตอบที่ชัดเจนและรวดเร็วอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่…ข้าขอปฏิเสธ เจ้าเป็นเด็กดี และข้าปฏิบัติกับเจ้าเหมือนน้องสาวของข้าเองมาโดยตลอด”
“ฮึ่ม! ข้ายังไม่ได้เอ่ยวาจาใดเลย! ท่านช่างน่ารำคาญยิ่ง! ข้าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว!”
ใบหน้าของหลันหลิงเอ๋อร์มืดทะมึนขึ้นทันที ในขณะที่นางทำปากมุ่ยจนดูเหมือนก้อนแป้งขนาดเล็ก ก่อนจะหันกลับมาและเผยท่าทีโกรธเคืองต่อศิษย์พี่ของนาง ด้วยการกำหมัดน้อยๆ ทั้งสองข้างของนางเอาไว้แน่น
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบ พลางแหงนหน้ามองดูเมฆขาวบนท้องฟ้าพร้อมกับคำนวณว่าพวกมันน่าจะเดินทางไปที่มุมใด และจะต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่เขาและศิษย์น้องหญิงของเขาจะไปถึงสถานที่ชุมนุม
อย่างไรก็ตามการคำนวณนั้นก็ยังไร้ประโยชน์ การมีศิษย์น้องหญิงที่โดดเด่นเจิดจ้าผู้นี้อยู่เคียงข้างเขา ทำให้ความหวังที่เขาจะลดความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของนางเริ่มมีความท้าทายและยากมากขึ้นเรื่อยๆ!
…………………………………………………………………………………………………………………
[1] หมายถึง ลูกสมุนของผู้มีอำนาจหรืออิทธิพลที่ชอบรังแกและระรานผู้อื่น