ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 514 ฉางเกิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทพขั้นสามในงานเลี้ยงผลท้อเซียน และการรับมังกรทั้งสี่คาบสมุท
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 514 ฉางเกิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทพขั้นสามในงานเลี้ยงผลท้อเซียน และการรับมังกรทั้งสี่คาบสมุท
ตอนที่ 514 ฉางเกิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทพขั้นสามในงานเลี้ยงผลท้อเซียน และการรับมังกรทั้งสี่คาบสมุทร! (1)
ที่ด้านนอกงานเลี้ยงผลท้อเซียน ในขณะนี้ วัวเต็มไปด้วยความเศร้าโศก คำว่าหดหู่อยู่เต็มไปทั่วใบหน้าของเขา
เขานอนอยู่ข้างหินที่ถูกพันด้วยเชือกอมตะรอบแล้วรอบเล่า และสะบัดหางไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
บัดนี้ เขาถูกผูกจริงๆ
ฉางโซ่ว โอ ไม่นะ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่สั่งให้ข้าเรียกเขาว่า ศิษย์พี่ฉางเกิง
ศิษย์พี่ฉางเกิงให้ความสำคัญกับความมั่นคงมากเกินไป เขายืนหยัดที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของ เหล่าจื้ออย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้งหมด!
ไม่ใช่ว่าข้ายังไม่พัฒนาสติปัญญาขึ้นมา ว่ากันตามตรง มีคนไม่ถึงสิบคนที่จะต่อสู้เอาชนะข้าได้ด้วยซ้ำ!
ช่างเถิด ข้าต้องทำตัวเป็นเสือภูเขา ข้าต้องพักผ่อนทุกที่ที่ข้าถูกผูกพันธนาการเอาไว้
มอๆ…
เมื่อวัวอ้าปากของมัน ทันใดนั้นก็มีกระแสวังวนปรากฏขึ้นในลำคอ แล้วผลท้อเซียนก็บินออกมา จากนั้น มันก็กัดผลท้อแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์
ที่งานเลี้ยงผลท้อเซียน เมื่อหลี่ฉางโซ่วผูกวัวเสร็จแล้ว เขาก็กลับไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาก้าวออกไปนอกสถานที่จัดงานเลี้ยงเซียน เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า บัดนี้บรรยากาศที่นั่น… เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
เหล่ามังกรซึ่งแต่เดิม รู้สึกผ่อนคลายทีเดียว เวลานี้ พวกเขาล้วนนั่งเกร็งตัวตรงขึ้นพร้อมด้วยใบหน้าตึงเครียด
ราชามังกรทั้งสี่คาบสมุทรก็เปลี่ยนสีหน้าท่าทางที่ขมวดคิ้วทำคิ้วต่ำตาต่ำ[1]เมื่อก่อนหน้านี้ เวลานี้ พวกเขาล้วนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ดูคล้ายเหล่าผู้อาวุโส
แต่องค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ต่างประทับนั่งด้วยสีหน้าท่าทีเฉกเช่นเมื่อก่อนหน้านี้ องค์เง็กเซียนทรงประทับนั่งกลางบัลลังก์ อย่างสง่าผ่าเผยในขณะที่พระแม่หวังหมู่ก็ทรงท่าทางสง่างามเช่นกัน
ส่วนอาจารย์ลุงจ้าว บัดนี้ เขาเลิกนั่งด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายๆ เฉกเช่นก่อนแล้ว และนับตั้งแต่นั้นมา ลักษณะท่าทางและความคิดแบบห้ามผู้ใดแตะข้า กล้าได้กล้าเสียและไร้การยับยั้งของเขา ซึ่งเชื่อว่าเขาสามารถหลอกลวงทุกคนได้ ก็กลับกลายเป็นท่าทางจริงจังแห่ง “ข้าคือศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย”
นับประสาอะไรกับบรรดาเทพเซียนแห่งศาลสวรรค์ ขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนเพ่งมองอย่างกระตือรือร้นสนใจเต็มที่เช่นเดียวกับเทพเฒ่าจันทรา ซึ่งมีดวงตาเล็กหรี่อยู่แล้ว บัดนี้ ดวงตาของเขาก็จ้องมองส่องประกายแวววาวดุจระฆังทองแดงใบเล็กๆ
นักพรตเต๋าหกคนจากสำนักบำเพ็ญประจิมนั่งนิ่งตัวตรง และแต่ละคนก็เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าราวกับว่าพวกเขาได้พลิกเปลี่ยนสถานการณ์และเรื่องราวเมื่อก่อนหน้านี้
ไฉนถึงเป็นเช่นนั้น?
เป็นเพราะเหล่าจื้ออยู่ที่นี่!
หลี่ฉางโซ่วใช้เวลาเพียงสี่ถึงห้าก้าวเมื่อเขาวิเคราะห์ว่า เหตุใดเหล่าจื้อถึงมาที่นี่
ประการแรก เขาต้องกำจัดความเป็นไปได้ที่เหล่าจื้อจะมาที่นี่เพื่อชมความรื่นเริงสนุกสนาน ช่างเป็นตัวเลือกที่ฉาบฉวยและตื้นเขินยิ่ง!
ทว่าเมื่อพิจารณารวมกับการเหลือบมองที่เหล่าจื้อมองดูหลี่ฉางโซ่วเมื่อครู่นี้ วิธีที่เหล่าจื้อยอมให้หลี่ฉางโซ่วช่วยพยุงตัวเขา และที่เหล่าจื้อขอให้หลี่ฉางโซ่วไปผูกวัวนั้น… ทั้งหมดนี้ ล้วนมีข้อบ่งชี้ว่า เหล่าจื้อมาที่นี่เพื่อช่วยสนับสนุนตัวเขาเอง!
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ต้องการป้องกันไม่ให้ปรมาจารย์จอมปราชญ์ของสำนักบำเพ็ญประจิมโจมตี เขาประสงค์จะแสดงจุดยืนต่อเผ่ามังกรและรับรองว่าเผ่ามังกรจะเข้าสู่ศาลสวรรค์ในวันนี้!
หลังจากยืนยันแน่ใจแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คิดทันทีว่า เขาควรทำอย่างไรต่อไปเพื่อส่งกระดาษคำตอบที่ใกล้เคียงกับคะแนนเต็มมากที่สุด
อืม…
ในขณะนั้น เหล่าจื้อกำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยง สถานการณ์เดิมได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เขามีข้อได้เปรียบอย่างไร้ขีดจำกัด
ห้าม “มังกรบินจู่โจมพร้อมกันทั้งหมด[2]”
ห้าม “พันธนาการทหารทั้งหมดเข้าด้วยกัน”
ทำ “ปฏิบัติการให้เหมาะสม”
ทำ “คงอยู่ที่เดิม!”
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขายิ่งต้องยึดมั่นในคำแนะนำของ ‘พระสูตรมั่นคง’ และนำคุณค่าของ ‘หลักการกลอุบาย’ ออกมาอย่างเต็มที่
เขาต้องยึดหลักว่าผลประโยชน์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมาก่อนอันดับแรกและผลประโยชน์ของศาลสวรรค์มาเป็นอันดับสอง! ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงเดินไปยังที่นั่งของเขาและชะลอฝีเท้าก้าวเดินให้ช้าลง
เขาโค้งคำนับให้องค์เง็กเซียนและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ศิษย์ทั้งหกที่ประกาศตนว่าเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมยังไม่ได้พิสูจน์ตนเอง เพื่อความปลอดภัย เทพน้อยจะไปต่อ”
องค์เง็กเซียนพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ด้วยมีเหล่าจื้อที่นี่ ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้มีวิญญาณชั่วร้ายบางตัวที่ปลอมตัวเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์จะมาถึงแล้วก็ตาม”
“ฝ่าบาท หากทั้งหกคนนี้เป็นศิษย์ของจอมปราชญ์จริงๆ พวกเขาคงกังวลที่จะพิสูจน์ตัวเอง”
หลี่ฉางโซ่วหันกลับไปมองที่นักพรตเต๋าชราทั้งหกที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งด้วยแววตาอบอุ่น
บางทีหลี่ฉางโซ่วอาจคำนวณมุมอย่างลับๆ หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ เมื่อนักพรตเต๋าชราทั้งหกคนจากสำนักบำเพ็ญประจิมมองไปที่หลี่ฉางโซว พวกเขาก็บังเอิญเห็นไท่ซ่างเหล่าจวิน[3]กำลังนั่งตัวตรงอยู่ที่มุมของแท่นสูง
เทพแห่งท้องทะเลที่อยู่เบื้องหน้ามีเส้นผมสีขาว เสื้อผ้าสีขาว และสีหน้าท่าทางใจดี
ในขณะที่นักพรตเต๋าชราที่อยู่ข้างหลังเขายังคงเงียบและมองลงมาด้วยดวงตาที่ปิดเปลือกตาลงมากึ่งหนึ่ง
ทันใดนั้น แรงกดดันที่อธิบายไม่ได้พลันเกิดขึ้น เป็นเหตุให้หัวใจเต๋าของนักพรตเต๋าชราทั้งหกล้วนสั่นคลอน
นักพรตเต๋าชราที่พูดมากที่สุดเมื่อก่อนหน้านี้อดจะฝืนยิ้มที่ไม่น่าดูออกมาไม่ได้ เขากล่าวอย่างสงบว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าจะไม่กล้าพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไรกัน? เช่นนั้น ข้าจะให้สัตย์สาบานปฏิญญาต้าเต๋า..”
“ช้าก่อน!”
หลี่ฉางโซ่วขัดจังหวะและมองไปที่จ้าวกงหมิง สายตาจ้องมองของเขาดูราวกับจะกล่าวว่า “หากท่านไม่กินตอนนี้ แล้วจะรอเมื่อใดกันเล่า?”
อาจารย์ลุงจ้าวลังเล เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิด ดวงตาของเขาดูเหมือนจะกล่าวว่า “เจ้าอยากให้ข้าเอาสิ่งนั้นออกมาต่อหน้าเหล่าจื้อจริงๆ หรือ?”
ในขณะนั้นดวงตาของหลี่ฉางโซ่วที่ส่งสายตาจับจ้องออกมา ฉายแววยืนยันหนักแน่นออกมาทันที
จ้าวกงหมิงจึงไม่ลังเล เขาหยิบม้วนกระดาษที่ขาดรุ่งริ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วใช้พลังเซียนของเขาผลักมันไปให้หลี่ฉางโซ่ว
หากเจ้าอยากสร้างปัญหา ข้าก็จะทำ
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ปรึกษากับองค์เง็กเซียน และเมื่อได้รับอนุญาตจากองค์เง็กเซียน เขาก็เดินไปหานักพรตเต๋าชราทั้งหกคนพร้อมกับม้วนกระดาษ แล้ววางมันไว้ตรงหน้าพวกเขา
ทันทีที่คลี่ม้วนกระดาษออกมา นักพรตเต๋าชราทั้งหกคนของสำนักบำเพ็ญประจิมต่างก็มองหน้ากัน
ในคราแรก พวกเขาเห็นความโกรธบนใบหน้าของกันและกันก่อน แล้วจากนั้นก็ถึงกับ “ตื่นตกใจ” ยืนยันจริงๆ ว่าอีกฝ่าย…
พวกเขาถูกจ้าวกงหมิงต้มแล้ว! ม้วนกระดาษนั้นเป็นหลักฐาน! หลักฐานท่วมท้นล้นเหลือยิ่ง!
ทว่านักพรตเต๋าชราทั้งหกก็รู้สึกราวกับว่า พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีและตระหนักได้ว่า พวกเขาเป็นพี่น้องในวัยเยาว์ที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี…
มันละเอียดอ่อนนัก
“ทุกท่าน ได้โปรด”
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับเล็กน้อยและยืนเงียบๆ พร้อมกับสะบัดแส้หางม้า
มือซ้ายของนักพรตเต๋าชราสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เขาคลี่เปิดม้วนกระดาษลงบนโต๊ะเตี้ย
เขามองดูถ้อยคำที่คุ้นเคย รูปแบบที่คุ้นเคย และถ้อยคำที่ “สดใหม่” มากมายบนนั้น เขาอดจะนึกถึงความทรงจำที่เหลือทนเหล่านั้นไม่ได้…
ในขณะนั้นนักพรตเต๋าชราก็เข้าใจบางอย่าง
เขาเข้าใจว่า เหตุใดถึงมีเหล่าปรมาจารย์และสหายศิษย์จากสำนักเดียวกันมากมาย และเหตุใดสีหน้าท่าทางของพวกเขาถึงดูมืดมนและโกรธในระหว่างช่วงเวลานั้น
เหตุใดสหายศิษย์ของเขาบางคนถึงประกาศโดยตรงว่า พวกเขาจะเข้าปิดด่านเป็นเวลาสองร้อยถึง ห้าร้อยปีและไม่ถามถึงเรื่องในสำนักชั่วคราว?
เหตุผลทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่!
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วที่อยู่ด้านข้าง ได้แนะนำทางอย่างอดทนและกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “สหายเต๋าอ่านส่วนนี้และสรุป มันเป็นเพียงการพิสูจน์ตัวตนของพวกเจ้า พวกเจ้าข้ามส่วนตรงกลางได้”
ชั่วเวลานั้น สายตาและสัมผัสเซียนรับรู้จำนวนมากอดจะมองข้ามมาไม่ได้ พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้กันว่า “สมบัติ” ที่จ้าวกงหมิงเอาออกมานั้นคืออะไร
………………………………………………………………..
[1] ลักษณะคนที่ไม่กล้ามีปากเสียง ไม่ต่อต้าน ไม่มีอำนาจ ยอมจำนน และว่านอนสอนง่าย
[2] มาจากเกมหนึ่งซึ่งใช้มังกรบินจำนวนมากพุ่งระดมโจมตีกองกำลังของฝ่ายตรงข้ามพร้อมกันทั้งหมด เพื่อสังหารฝ่ายตรงข้ามและป้องกันไม่ให้รวมตัวกันได้
[3] เหล่าจื้อ หรือองค์ไท่ชิง