ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 348 ศิลปะดั้งเดิมของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน (2)
ตอนที่ 348 ศิลปะดั้งเดิมของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน (2)
จากนั้น เขาก็ได้ยินหัววัวกล่าวอย่างไม่พอใจอีกครั้งว่า “นอกจากนี้ ข้าฉันไม่รู้ว่า ผู้ใดเป็นคนให้ความคิดร้ายๆ แก่พวกเผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดร! และยังต้องการใช้พวกมนุษย์เวทมาแทนที่เผ่ามนุษย์และสนับสนุนฉื้อโหยว[1]!
ในท้ายที่สุดเซวียนหยวนหวงตี้[2]ก็ชนะฉื้อโหยวและเผ่าเวทที่เกือบจะสูญเสียรากฐานทั้งหมด ซึ่งบางที ตอนนี้สถานการณ์ของเผ่าเวทที่อยู่ในทวีปเหนือนั้น น่าจะยิ่งยากลำบากมากกว่านี้!”
หลี่ฉางโซ่วกระแอมไอและกล่าวว่า “ข้าเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน”
“เอ่อ ท่านเทพแห่งท้องทะเล ท่านไม่ได้มาจากทะเลหรือ? นี่ข้า…”
“เฮ้อ ช่างเปิ่นยิ่งนัก…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลี่ฉางโซ่วหัวเราะลั่น บัดนี้ เขามีแผนในใจแล้ว
เป็นที่ชัดเจนว่า หากต้องการได้รับบุญในแดนยมโลก เขาต้องช่วยแก้ปัญหาในการอยู่รอดของเผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดรก่อน
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เผ่าเวทและเผ่ามนุษย์เป็นพันธมิตรและต่อสู้กับเผ่าปีศาจร่วมกัน ต่อมา เป็นเพราะศึกระหว่างฉื้อโหยวและเซวียนหยวน จึงทำให้เผ่าเวทและเผ่ามนุษย์แตกแยกกันอย่างสิ้นเชิง
ในเรื่องนั้น เขาต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเผ่ามนุษย์ ซึ่งนั่นเป็นหลักการพื้นฐานที่เขาไม่อาจลืมเลือนได้
เขาต้องมั่นคงและไม่อาจเพียงแค่รับปากไปง่ายๆ ได้
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไปที่ดินแดนเทวะอุดรภายในหนึ่งร้อยปี แม้ข้าจะช่วยเผ่าเวททำลายข้อห้าม และพาพวกเขาออกจากดินแดนเทวะอุดรไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของพวกเขาได้ ”
“จริงๆ หรือ?”
“แน่นอน”
ปรมาจารย์เผ่าเวทเหล่านี้ต่างก็ยิ้มเบิกบานทันทีพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจไม่หยุด
ก่อนจะจากไป พวกของหัววัวก็จงใจแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจและไม่ยอมรับวิญญาณร้ายสตรีทั้งห้าร้อยคน ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็หยุดพวกเขาเอาไว้ได้ก่อนทันที
วิญญาณร้ายไม่อาจไปเกิดใหม่ได้ ในใจของพวกนางส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความแค้น
วิญญาณร้ายเช่นนั้นจะร่อนเร่ไปในแดนยมโลก และจากนั้น พลังวิญญาณของพวกนางก็ค่อยๆ หมดลงเรื่อยจนกลับคืนสู่สภาพของวิญญาณแท้ก่อนจะก็เข้าสู่สังสารวัฏหกวิถี
หลี่ฉางโซ่วได้ทำความดีจริงๆ ในขณะนั้น เขาได้ท่องพระสูตรเต๋าแห่งการหลุดพ้นและมนตราสังสารวัฏเพื่อสลายความขุ่นแค้นในใจของวิญญาณร้ายเหล่านี้ ต่อหน้าพวกของหัววัว
เมื่อวิญญาณร้ายเหล่านี้กลายเป็นวิญญาณธรรมดาและคุกเข่าลงต่อหน้าหลี่ฉางโซ่ว หลี่ฉางโซ่วก็พยักหน้าและโค้งคำนับให้พวกเขาเพื่อถือเป็นการตัดกรรมด้วย
มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจริงๆ เขาแค่ใช้พลังเซียนบางส่วนเท่านั้นและไม่ได้แตะต้องกรรมใดๆ
ด้วยเพราะกฎห้ามแห่งเต๋าสวรรค์ เจ้าหน้าที่ของแดนยมโลกจึงร่ายเวทเช่นนั้นไม่ได้
เมื่อส่งแขกจากแดนยมโลกแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
ก่อนที่เขาจะได้ไปชมพิธีปิดของพิธีเทพทะเล จู่ๆ ก็มีเสียงยุงเข้ามาในหู ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเป็นเหมือนผึ้งน้อยที่ทำงานขยันขันแข็งนัก นางมาส่งข้อมูลอีกครั้ง…
ในครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นการแสดงความยินดีและอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นข้อมูล
ตามคำกล่าวของผู้บำเพ็ญเหวินจิง เหล่าศิษย์จอมปราชญ์ของสำนักบำเพ็ญประจิมต่างได้เห็นแล้วว่าเทพแห่งท้องทะเลได้รับตำแหน่งเทพจากศาลสวรรค์เป็นรางวัล และใช้ตำแหน่งเทพชำระล้างกรรมร้ายให้อ๋าวอี่ บัดนี้ พวกเขาเข้าใจดีแล้วว่า ศาลสวรรค์ต้องการปันผลประโยชน์ของเผ่ามังกร
ในขณะนี้ สำนักบำเพ็ญประจิมได้เปลี่ยนกลยุทธ์และตัดสินใจที่จะ ‘แบ่งมังกร’ กับศาลสวรรค์
เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ปวดหัวยิ่ง…
เพราะในท้ายที่สุดสถานการณ์ที่เขากังวลมากที่สุด ก็ยังคงเกิดขึ้น
สำนักบำเพ็ญประจิมไม่ยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือ และปรับกลยุทธ์ใหญ่ทันการณ์โดยเลือกจะเล่นสงครามจิตวิทยากับศาลสวรรค์และสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอย่างช้าๆ หลังจากเพื่อแบ่งส่วนผลประโยชน์ของเผ่ามังกร…
เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ความทุ่มเทของสำนักบำเพ็ญประจิมจะไม่สูญเปล่าแล้ว แต่ยังสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบโดยตรงจากศาลสวรรค์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและบรรพาจารย์เต๋าได้อีกด้วย
กล่าวได้เพียงว่า คนของสำนักใหญ่นั้น ล้วนไม่ไร้ความสามารถ
แต่ก็ไม่สำคัญอันใด ความพยายามทุ่มเทของหลี่ฉางโซ่วในเวลาหลายปีนั้น ก็ไม่ได้สูญเปล่าไป กลยุทธ์ของอีกฝ่ายก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้เช่นกัน
เป็นเพียงว่า หลังจากนี้ จะมีความกดดันมากขึ้น และยังต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างอีกสักหน่อย…
เมื่อกล่าวเรื่องงานแล้ว ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็กล่าวเสริมว่า “ยินดีด้วยที่ท่านได้เป็นเทพแห่งสี่คาบสมุทรอย่างเป็นทางการแล้ว นับตั้งแต่นี้ ท่านก็จะได้รับการคุ้มครองจากเต๋าสวรรค์ ผู้น้อยยังรู้สึกอิจฉาจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วเปลี่ยนหัวข้อง่ายๆ เล็กน้อยเมื่อกล่าวว่า “เหวินจิง ในเวลานี้ เจ้ายังอยากพบปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้งหรือไม่?”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงเสียงสั่นขณะกล่าวว่า “ความจริงแล้ว…พบหรือไม่พบก็ไม่เห็นสำคัญอันใดเลย…”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
“ไม่นะ! ช่างไม่ได้!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นในขณะที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโกรธ แต่เพียงกล่าวอย่างสุภาพเบา ๆ เท่านั้นว่า
“นายท่าน อย่าแกล้งผู้น้อยเลย ผู้น้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้…”
“เฮ้ อย่าหุนหันเคลื่อนไหวร่างหลักของเจ้าสิ จะได้ไม่สะดุดตาผู้อื่น เสี้ยวพลังเวทของข้าจะอยู่ที่นี่หลังจากนี้ จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะมาหาข้า แล้วเจ้าก็จะได้พบเขา”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ในอนาคต เมื่อเจ้าแยกตัวจากสำนักบำเพ็ญประจิม ข้าก็จะแนะนำเจ้าอย่างเป็นทางการ”
“ขอบคุณนายท่าน!”
ในเคหาสน์ถ้ำที่เชิงเขาหลิงซาน ผู้บำเพ็ญเหวินจิงลุกขึ้นนั่งทันที นางหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อยขณะที่มีสีหน้าปรารถนาอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ยังคงรอคอยอย่างอดทนต่อไป
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ไฉนปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถึงออกไปกว่าครึ่งวันแล้ว เขาไปทำอันใดกัน?
ทว่าก็ยากจะเข้าใจปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้เขาคาดเดาอย่างไร ก็ไม่ได้ผลใด ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อมองดูยุงเลือดบนไหล่ของเขา หลี่ฉางโซ่วก็เดาะลิ้นและยิ้ม นี่คือ คู่หมายที่ปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพจัดการด้วยตัวเอง
แต่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ และผู้บำเพ็ญเหวินจิงจะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างแน่นอน
ทั้งสองไม่อาจเข้ากันได้เลย
ในศาลาแห่งหนึ่งบนเกาะซานเซียนที่อยู่ลึกลงไปในทะเลบูรพา
ดรุณีน้อยสองคนกำลังแอบย่องมาแต่ไกลและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจในขณะที่ฉยงเซียวกำลังถือเครื่องมือเวทรูปหอยสังข์อยู่ในมือ
ภายในศาลา ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ยังคงหรี่ตาพลางแย้มยิ้มและยังคงเอาแต่เอ่ยถึงอดีตของสามสำนักบำเพ็ญเต๋า
อวิ๋นเซียวฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆ นางไม่รู้ว่า เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าผู้นี้ถึงมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้
“ศิษย์พี่เสวียนตู” อวิ๋นเซียวกล่าวเบา ๆ “ท่านกำลังมีเรื่องยุ่งอยู่ หากท่านมีเรื่องอันใดก็โปรดกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม ฮ่าฮ่า แค่กๆ” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยกมือขึ้นและกระแอมไอสองครั้ง “ศิษย์น้องอวิ๋นเซียว เจ้าฝึกฝนมาตั้งแต่ยุคโบราณ ไม่รู้ว่า เจ้าเคยคิดถึงคู่สหายเต๋าบ้างหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นเซียวก็อดหัวเราะไม่ได้และกล่าวว่า “น้องสาวสองคนที่อยู่ตรงนั้น กำลังแอบฟังท่านและข้าอยู่ พวกนางก็คือสหายเต๋าของข้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“สหายเต๋าที่ข้ากำลังเอ่ยถึงไม่ใช่คู่สหายเต๋าเช่นนั้น แต่เป็นคู่บำเพ็ญเต๋า” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าฝึกบำเพ็ญเต๋าตามวิถีธรรมชาติ จึงถือได้ว่าเป็นแก่นแท้โดยธรรมชาติเช่นกัน แต่ในเมื่อศิษย์น้องอวิ๋นเซียวเป็นสตรี เจ้าจึงมีโอกาสที่จะมีคู่บำเพ็ญเต๋า”
อวิ๋นเซียวยังคงมีสีหน้าอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม แม้จะดูเหมือนสูงส่ง ไกลเกินพันลี้
นางกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่เคยมีคู่บำเพ็ญเต๋าและไม่คิดถึงเรื่องนั้นเจ้าค่ะ หรือว่า ที่ศิษย์พี่มาวันนี้ก็เพื่อสอบถามถึงเรื่องนี้เจ้าคะ? ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจพูดได้ว่ากำลังสอบถามบางอย่าง เพียงแค่ถามถึงไปเรื่อยเปื่อย หากเจ้าไม่มีผู้ใดก็ดี ไม่มีก็ดีแล้ว นอกจากนี้ ขอศิษย์น้องหญิงอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดจะถามเรื่องนี้เพื่อตัวข้าเอง”
ขณะกล่าว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็หยิบม้วนภาพในแขนเสื้อออกมา “ศิษย์น้องหญิง ช่วยดูสักหน่อย เจ้าจำคนในภาพนี้ได้หรือไม่?”
“คนในภาพ?”
อวิ๋นเซียวไม่ชัดเจนเล็กน้อย จึงหยิบม้วนภาพมาแล้วคลี่เปิดออกอย่างช้าๆ เพียงเมื่อเห็นบุรุษรูปงามในภาพวาดที่มีคิ้วกระบี่และดวงตาสุกสกาวดุจดวงดาว กำลังแย้มยิ้มออกมา
และความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ภาพวาด แต่เป็นพลังเวทที่ประทับตราตรึงจากภาพในส่วนลึกของหัวใจ
“ถึงข้าจะไม่รู้จักเขา แต่ก็รู้สึกคุ้นเคย ราวกับว่าเคยเห็นเขาที่ใดสักแห่งมาก่อน”
“จริงๆ แล้ว ก็เพิ่งพบกันเมื่อครู่นี้เอง”
“นี่คือ…”
ดวงตาของอวิ๋นเซียวเปล่งประกายในขณะที่อดจะปิดปากหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ บัดนี้ นางมีสีหน้าเบิกบาน สดใสขึ้นมาบนใบหน้าที่เคยดูเย็นชาอยู่เสมอ
“เป็นเขาจริงหรือ? เขาแสร้งทำเป็นว่าคนชราอยู่ทุกวัน เป็นอย่างที่เขากล่าวไว้จริงๆ เขากลัวว่าหากรูปลักษณ์เดิมของเขาถูกเปิดเผย ก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาไม่น่าเชื่อถือ ช่างแตกต่างมากจริงๆ”
เอ๋?
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที แต่เขาก็สัมผัสได้ดีว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อยในสภาวะจิตใจที่สงบนิ่งราวกับบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่นของอวิ๋นเซียว
หรือว่ามีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ?
………………………………………………………………..
[1] ผู้นำสูงสุดของชนเผ่าจิ่วหลีในยุคโบราณ ช่วงปลายยุคสามกษัตริย์ที่กำลังเข้าสู่ยุคห้าจักรพรรดิของแผ่นดินจีน ซึ่งมีกลุ่มชนเผ่าอาศัยอยู่เป็นกลุ่มๆ ที่บริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห ว่ากันว่า ผู้นำสูงสุดมีหัวเป็นทองแดง หน้าผากเป็นเหล็ก กินดินกินทรายเป็นอาหาร มีความสามารถในการประดิษฐ์อาวุธและใช้เวท ชนเผ่าจิ่วหลีเข้มแข็ง และรบเก่งมาก บางตำนานจึงถือให้ผู้นำเป็นเทพแห่งสงครามแม้สุดท้ายจะพ่ายให้กับการร่วมมือกันของจักรพรรดิเหลืองหรือหวงตี้ และเหยียนตี้
[2] หรือจักรพรรดิเหลือง ซึ่งมีพระนามเดิม กงซุนเซวียนหยวน พระองค์นับเป็นคนสำคัญที่สุดในห้าจักรพรรดิซึ่งได้ชื่อว่าสติปัญญาล้ำเลิศ