ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 330 สมาชิกใหม่แห่งยอดเขาหยกน้อย (2)
ตอนที่ 330 สมาชิกใหม่แห่งยอดเขาหยกน้อย (2)
เหตุการณ์นั้นวุ่นวายอยู่มากชั่วเวลาหนึ่ง จิ่วจิ่วผู้ไม่ยอมสยบ ก็ต่อสู้อย่างหนักหน่วง และในที่สุด นางก็ตกลงไปในน้ำพร้อมกับเจียงหลินเอ๋อร์ ซึ่งดึงดูดความสนใจของหลิงเอ๋อร์น้อยและสงหลิงลี่ให้เฝ้าชมการต่อสู้อยู่ในระยะไกลและหัวเราะด้วยกัน
หลังจากนั้นสักพัก จิ่วจิ่วก็นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ใต้ร่มไม้ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกปิดได้
ในขณะนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็มีอารมณ์ดี นางเท้าสะเอวและหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกหลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่ให้มาหา เพื่อประกาศเรื่องใหญ่!
อย่างไรก็ตาม เจียงหลินเอ๋อร์เพียงกลอกตาแล้วถอนหายใจ
จากนั้น นางก็กล่าวว่า “เอาเถิด เสี่ยวจิ่ว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่หาเรื่องเจ้าอีก”
จิ่วจิ่วที่แสร้งทำเป็นร้องไห้ จู่ๆ ก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วทำท่าว่าเปราะบางพลางเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เหอะ ข้าไม่เชื่อท่าน!”
“เสี่ยวจิ่ว เจ้ารู้หรือไม่?”
เจียงหลินเอ๋อร์แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนเบาลงเล็กน้อยว่า “หลายปีมาแล้วที่ข้ารู้ว่า เจ้าเอาแต่บ่นในใจไม่พอใจข้ามากที่ทำให้เจ้าขุ่นเคือง แต่นี่เป็นวิธีที่อาจารย์อาผู้นี้ แสดงความรักต่อเจ้า!ทว่า จะไม่มีอีกแล้ว…”
จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็สังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบถามว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ มีอันใดเกิดขึ้นกับท่านหรือเจ้าคะ?”
เจียงหลินเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วมีท่าทางหดหู่อีกครั้งพลางกล่าวพึมพำในปากว่า “ไม่มีอีกแล้ว”
ในเวลานี้ แม้แต่เหยื่ออย่างจิ่วจิ่ว ก็ยังอดสงสัยเล็กน้อยไม่ได้ นางจึงลุกขึ้นเดินไปพลางจัดเสื้อผ้าป่านสั้นๆ ของนางแล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านสบายดีหรือไม่?”
สงหลิงลี่กระซิบว่า “ข้ารู้สึกว่า สถานการณ์นี้ ราวกับการสารภาพเรื่องราวก่อนตาย…”
“เฮ้ย!”
หลิงเอ๋อร์ยกมือตีสงหลิงลี่เบา ๆ และกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ท่านอาจารย์อา อย่ากล่าวคำที่โชคร้ายเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ! เกิดเหตุอันใดขึ้นกับท่านปรมาจารย์ใหญ่!?!”
ทันใดนั้น ทั้งจิ่วจิ่ว หลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่ก็เข้าห้อมล้อมเจียงหลินเอ๋อร์ แล้วถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยความห่วงใย
นี่คือ วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างแท้จริงของยอดเขาหยกน้อย
เจียงหลินเอ๋อร์เม้มปากและถามเบา ๆ ว่า “เสี่ยวจิ่ว เจ้าไม่โทษข้าหรือ?”
จิ่วจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบว่า “ท่านอาจารย์อา ถึงแม้ท่านจะรังแกผู้อื่นมาตลอด แต่โชคดีที่ท่านก็เป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต่อสู้และเล่นเหมือนข้า เพียงว่าข้าสู้กลับไม่ได้ จึงรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเท่านั้น ความจริงแล้ว ท่านอาจารย์อา…ก็ใจดีกับข้ามากเหมือนกัน ”
ดวงตาของเจียงหลินเอ๋อร์เต็มไปความซาบซึ้งและถามเบา ๆ ว่า “เช่นนั้น เจ้าให้อาจารย์ได้สัมผัสโชคของเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่?”
จิ่วจิ่วยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “อาจารย์อา ท่าน…อย่าทำเช่นนี้ เผื่อว่าข้าอยากหาคู่บำเพ็ญเต๋าในอนาคต แล้วผู้อื่นจะคิดอย่างไรกัน…”
“ในตอนนี้ อาจารย์อาปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เสี่ยวจิ่ว…”
“เช่นนั้น ท่าน วะ อ๊ะอา!”
จิ่วจิ่วหลับตาแน่น พลางเงยหน้าขึ้น เชิดอก พลางกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ข้าเมา ผล็อยหลับไปแล้ว ไม่รู้อะไรเลย!”
“ได้!”
ดวงตาของเจียงหลินเอ๋อร์พลันสว่างวาบขึ้น นางเช็ดน้ำลายจากมุมปาก แล้วยกสองมือน้อย ๆ ที่ชั่วร้ายขึ้นมาอย่างช้าๆ
หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ อดจะเอามือปิดหน้าผากไม่ได้ทันที แล้วแสร้งทำราวกับว่า นางไม่เห็นฉากนี้ อาจารย์อาน้อยตกหลุมพรางปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยจนหมดตัวแล้วจริงๆ…
แล้วในตอนนั้นเอง!
“แค่กๆ!”
หลี่ฉางโซ่วส่งเสียงกระแอมไอเบาๆ มาจากทางด้านข้าง ขณะค่อย ๆ ขี่เมฆบินข้ามพลางแย้มยิ้มมาแต่ไกลพ้อมกับกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ บาดแผลของวิญญาณต้นไม้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เจียงหลินเอ๋อร์พลันชะงักงันแล้วกลอกตาทันที
‘เจ้าหนูหน้าเหม็นผู้นี้ ดันมาทำลายแผนข้าเสียนี่!’
ทว่าฉางโซ่วก็ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เจียงหลินเอ๋อร์จึงทำได้เพียงยกมือทั้งสองข้างแล้วตบไหล่ของจิ่วจิ่ว
น่าขันนัก เจียงหลินเอ๋อร์ไม่อาจปล่อยให้จิ่วจิ่วต้องถูกหลี่ฉางโซ่วมองเสื่อมเสียในเรื่องนี้ได้ เจียงหลินเอ๋อร์ประคองไหล่ของจิ่วจิ่วและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าจะเป็นภรรยาอาจารย์ของเจ้าในภายหน้า ข้าย่อมไม่อาจเล่นแบบนี้กับเจ้าต่อไปได้อีก เอาสิ เสี่ยวจิ่ว เรียกอาจารย์หญิงให้ข้าฟังสักหน่อย ”
จิ่วจิ่วตะลึงงันทันที
หากไม่เป็นเพราะนางเอาชนะไม่ได้ นางก็คงกระโจนใส่เจียงหลินเอ๋อร์ไปแล้วแน่ๆ!
เมื่อหลี่ฉางโซ่วบินมา เจียงหลินเอ๋อร์ก็หยิบหยกสีเขียวอ่อนออกมาแล้วเปิดหยกออก ทันใดนั้น ก็มีตุ๊กตากระดาษร่างเล็กสูงสามฉื่อออกมา แล้วมองไปรอบ ๆ อย่างขลาดกลัว
ดวงตาของหลิงเอ๋อร์เปล่งประกายขึ้นทันที “หรือนี่อาจจะเป็นอาจารย์ป้า…”
“ชู่ว์!”
เจียงหลินเอ๋อร์ทำท่าทางให้เงียบ ๆ “นี่เป็นเพียงวิญญาณต้นไม้ อย่าคิดมากเกินไป อืม ตอนนี้ ข้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาจารย์ของจิ่วจิ่ว และย่อมไม่ดีที่ข้าจะเก็บนางไว้ในที่พำนักหว่างฉิง ฉางโซ่ว หลิงเอ๋อร์ วันนี้ ปรมาจารย์ใหญ่ผู้นี้จะมอบหมายงานใหญ่ให้พวกเจ้า! ดูแลวิญญาณต้นไม้น้อยนี้ ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ แล้วไปสำรวจแดนยมโลก เป็นเพียงเวลาไม่ถึงสิบปีเท่านั้น”
หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์พยักหน้าพลางรับปากอย่างเคร่งขรึม
หลิงเอ๋อร์ให้สัญญาอย่างมั่นใจว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ พวกเราจะไม่ปล่อยให้… วิญญาณต้นไม้น้อยนี้ต้องเจ็บปวดคับข้องใจใดๆ แม้แต่น้อย!”
“ดี” เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วิญญาณต้นไม้นั้นแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา นางมีสติปัญญาธรรมดา เพียงแค่วางนางเอาไว้บนต้นไม้เท่านั้น…”
จากนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็ให้คำชี้แนะอีกสองสามคำอย่างระมัดระวังแล้วมอบวิญญาณต้นไม้ให้กับหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ก่อนจะเดินจากไปอย่างสบายใจ
บางทีอาจเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าหลิงเอ๋อร์เป็นคนอ่อนโยนกว่าผู้ใดในหมู่พวกเขาที่เหลือเหล่านี้
วิญญาณต้นไม้น้อยกอดนิ้วของหลิงเอ๋อร์เอาไว้ แล้วคุกเข่าลงบนฝ่ามือของนางพลางหลับตาลงเบาๆ ด้วยไม่กล้าเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยนี้
จากนั้นก็ใบหน้าอีกสองสามใบหน้าเข้ามาจากด้านข้างจนเต็มตาของวิญญาณต้นไม้
สงหลิงลี่ร้องอุทานเบาๆ ว่า “ว้าว พี่ชาย คนจะตัวเล็กถึงขนาดนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“นี่คือวิญญาณ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางแย้มยิ้มว่า “พูดตรงๆ ก็คือ นางไม่มีตัวตน ไม่มีร่างกายจริงๆ คล้ายกับปราณวิญญาณของมนุษย์”
จิ่วจิ่วยังถามอย่างสงสัยว่า “แล้ววิญญาณต้นไม้นี่มีความสัมพันธ์อะไรกับปรมาจารย์ใหญ่ของพวกเจ้า? เป็นสัตว์เลี้ยงหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มช้าๆ และกล่าวว่า “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงขอรับ นี่คือการกลับชาติมาเกิดใหม่ของสหายสนิทของเพื่อนที่ดีของปรมาจารย์ใหญ่ รอให้วิญญาณต้นไม้สิ้นอายุขัยลง แล้วค่อยส่งนางไปเกิดใหม่และกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ขอรับ”
จิ่วจิ่วพลันเข้าใจในทันใด แล้วยกมือแหย่ร่างที่อ่อนนุ่มของวิญญาณต้นไม้
วิญญาณต้นไม้ส่งเสียง “ย่า” เบาๆ และมือเล็กๆ ทั้งสองข้างที่จับนิ้วของหลิงเอ๋อร์ก็ยิ่งจับแน่นขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของสงหลิงลี่ก็เปล่งประกายด้วยความรัก แล้ววางกำปั้นขนาดเท่าหม้อปรุงอาหารทั้งสองอยู่ใกล้ปากของนาง ดูท่าทางเขินอาย…
“วิญญาณต้นไม้น่ารักมาก!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบ จากนั้นก็บอกวิธีดูแลวิญญาณต้นไม้แก่พวกนาง แล้วลอยร่างจากไปอย่างไม่สนใจมากนัก
สิ่งที่หลี่ฉางโซ่วไม่คาดคิดคือ…
โดยปกติแล้ว วิญญาณต้นไม้จะดื่มน้ำค้างยามอรุณรุ่งและสูดพลังวิญญาณ ทว่าเมื่อวิญญาณต้นไม้ใหม่นี้มาเป็นสมาชิกใหม่อยู่กับพวกเขาได้ไม่กี่วันแล้วเท่านั้น ก็เรียนรู้ที่จะดื่มสุราไหใหญ่และกินเนื้อชิ้นโตได้
ครั้นเมื่อหลี่ฉางโซ่วมองวิญญาณต้นไม้น้อยนี้ ก็เห็นนางสวมชุดเทพธิดาตัวเล็ก ๆ และนั่งอยู่บนไหล่ของสงหลิงลี่
แล้วอ้าปากเล็กๆ ที่ดูค่อนข้างโหด…
และเป็นเช่นนี้ ยามวสันต์ผันผ่าน ยามสารทจึงมาถึง คิมหันต์ผ่านมา แล้วตามมาด้วยเหมันต์
แล้วเวลาอีกเจ็ดปีก็ผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวในสำนัก
บัดนี้ ทัณฑ์สวรรค์ในสำนักตู้เซียนได้เริ่มขึ้นแล้วและคาดว่าจะดำเนินต่อไปอีกราวสิบปี แล้วหลี่ฉางโซ่วก็สบโอกาสที่จะออกไปเดินเล่น แล้วบังเอิญผ่าน ‘ทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียน’
สำนักตู้เซียนได้แสดงความยินดีกับเรื่องนี้ และเจ้าสำนักที่เพิ่งเข้าปิดด่านเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ยังสั่งให้ผู้อาวุโสฉวนกงมอบพระสูตรนิรกรรมในช่วงครึ่งหลังให้กับหลี่ฉางโซ่ว
น่าเสียดายที่หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าจะดูมันอีกต่อไปแล้ว หากเขามองอีกครั้ง เขาจะมิอาจทำอะไรได้ แม้กระทั่งการตัดขอบเขตเต๋าก็จะไร้ประโยชน์เช่นกัน
บัดนี้ ตัวตนของเขาได้เปลี่ยนอย่างเป็นทางการจากเมล็ดพันธุ์เซียนในสำนักกลายเป็นเซียนใหม่
และซ่อนเร้นอยู่ในท่ามกลางบรรดา ‘ศิษย์ธรรมดา’ จำนวนมากขึ้น
ด้วยความโกลาหลในสี่คาบสมุทร การวางแผนของสำนักบำเพ็ญประจิม และการปรากฏเพิ่มขึ้นของศาลสวรรค์…เวลานี้ การปลอมตัวของหลี่ฉางโซ่วในฐานะของศิษย์ธรรมดาแห่งสำนักตู้เซียน กำลังเริ่มโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่อาจถอนตัวไปได้ง่ายๆ ตามใจชอบ
ตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์เอาไว้ บัดนี้ น่าจะถึงเวลาที่ฝ่ายตะวันตกจะก่อคลื่นปัญหาใหม่ขึ้นอีกระลอกหนึ่งแล้ว และเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างใกล้ชิดก็กำลังเกิดขึ้นเงียบๆ
ในหอสมบัติหลิงเซียวแห่งศาลสวรรค์
………………………………………………………………..