ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 20.2 หลุมพรางที่ไม่อาจข้ามพ้น (2)
บัดนั้นใบหน้าสะคราญของโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันมืดมนลงทันที จากนั้นนางจึงก้าวถอยหลังไปสองก้าว แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมด้วยกระบี่ขนาดใหญ่พร้อมกับประสานมือคารวะและก้มศีรษะลงพลางกล่าวว่า “เรียนท่านอาจารย์ลุง หยวนชิงตายแล้วด้วยน้ำมือของศิษย์เอง ขอได้โปรดลงโทษศิษย์ด้วยเจ้าค่ะ!”
จิ่วอูขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าสังหารเขาด้วยตัวเจ้าเองหรือ”
“เจ้าค่ะ กระบี่ทั้งสี่เล่มของข้าแทงทะลุหัวใจและร่างกายของเขา แล้วทำลายแก่นวิญญาณของเขา” โหย่วฉินเสวียนหย่าก้มศีรษะลงและกล่าวเสริมว่า “ศิษย์กระทำเรื่องนี้เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับศิษย์พี่ฉางโซ่ว เขาเพียงแค่ช่วยพาศิษย์หลบหนีโดยใช้เวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเท่านั้น ศิษย์ยินดียอมรับการลงโทษจากสำนักทั้งหมดเจ้าค่ะ!”
ทว่าจิ่วอูยังคงขมวดคิ้วพลางจมอยู่ในความคิด
จิ่วจิ่วกระโดดไปหาหลี่ฉางโซ่วภายในสองก้าว เดิมทีนางคิดจะใช้ศอกกระทุ้งเขา แต่นางก็หยุดได้ทัน ไม่ได้แตะแขนของหลี่ฉางโซ่ว
“เฮ้ เกิดอันใดขึ้นรึ” จิ่วจิ่วกล่าวถามเสียงเบา
ทว่าหลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและไม่เอ่ยตอบ
ในทางกลับกัน ทันทีที่จิ่วอูได้ยินคำถามของจิ่วจิ่ว เขาก็พลันหันศีรษะไปมอง สายตาจับจ้องของนักพรตเต๋าร่างเตี้ยดุจดั่งลูกศรแหลมคมสองดอก ที่กำลังพุ่งเข้าทิ่มแทงดวงตาของหลี่ฉางโซ่วโดยฉับพลัน
จิ่วอูจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ศิษย์หลานฉางโซ่ว เจ้าไม่คิดจะพูดสิ่งใดเพื่อเสวียนหย่า สักหน่อยหรือ”
“ศิษย์ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นจริงๆ ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วตอบพลางจ้องกลับไปที่จิ่วอูอย่างสงบ
“เจ้าดูนิ่งสงบยิ่ง” จิ่วอูกล่าวพลางถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วข้าได้ทำการค้นวิญญาณของเซียนหยวนระหว่างทางมานี่แล้ว และรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น หยวนชิงมีแผนชั่วร้ายในการนำสงครามของราชาแห่งดินแดนมนุษย์มาสู่สำนักตู้เซียน นั่นเป็นการกระทำผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ ทว่าการที่ศิษย์หลานเสวียนหย่าสังหารสหายร่วมสำนักก็ถือเป็นความผิดครั้งใหญ่เช่นกัน ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นี่ย่อมเป็นความผิดอย่างแน่นอน…”
ทันใดนั้นจิ่วจิ่วก็ก่นด่าเขาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างโกรธเคือง “เมื่อผิดกฎก็เปลี่ยนกฎโง่ๆ นี้ได้ หยวนชิงลงมือก่อนใช่หรือไม่เล่า เสวียนหย่าก็แค่ตอบโต้กลับไปเท่านั้น!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันเม้มปากไม่เอ่ยวาจาใด
เมื่อเห็นเช่นนี้หลี่ฉางโซ่วก็กระแอมไอออกมาแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูและอาจารย์อาจิ่วจิ่ว เหตุใดพวกเราไม่ออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วไปรวมตัวกับท่านอาจารย์อาวุโสอีกสองสามท่านแล้วค่อยจัดการเรื่องนี้อีกครั้ง ศิษย์น้องเสวียนหย่าย่อมสามารถชี้แจงเรื่องราวให้ทุกคนฟังได้ทั้งหมด ตราบใดที่ศิษย์น้องเสวียนหย่าพูดความจริง ข้าเชื่อว่าทางสำนักน่าจะเข้าใจการกระทำของนางขอรับ”
ในตอนท้ายของประโยคนั้น ความจริงแล้วเป็นการกล่าวเพื่อช่วยโหย่วฉินเสวียนหย่า
เวลานี้โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันมองไปที่หลี่ฉางโซ่วด้วยสายตาอับจนหนทางและปวดใจอยู่บ้าง
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ ขณะเผยรอยยิ้มบางและพยักหน้าให้นางเล็กน้อย
สิ่งที่เขาทำก็เพียงเป็นการให้กำลังใจนางบ้าง
นักพรตเต๋าจิ่วอูจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เอาอย่างที่ศิษย์หลานฉางโซ่วพูด พวกเราควรไปหาคนอื่นๆ ก่อน”
เมื่อกล่าวจบแล้วจิ่วอูก็เกาศีรษะของเขาทันที เขากำลังคิดว่าจะหาวิธีอย่างไรเพื่อช่วยให้โหย่วฉินเสวียนหย่ารอดพ้นจากการลงโทษได้
แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ของหยวนชิงก็อยู่ที่นี่ด้วย จึงพบว่ามันยากและทำให้เขาปวดหัวขึ้นมาทันที
ในขณะนั้นนักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็สร้างเมฆาขาวขึ้นมาเพื่อใช้เดินทาง แล้วยังเตือนโหย่วฉินเสวียนหย่าให้ตามหลังเขาไปอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการดูแลนางชั่วคราว
หลี่ฉางโซ่วก็ติดตามอาจารย์ของเขาไปอย่างใกล้ชิดเช่นกัน จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็พากันก้าวขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเมฆาขาว
เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้นักพรตเต๋าชราฉีหยวนมีท่าทีแตกต่างไปจากที่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ครั้นเมื่อเขามาถึงที่นี่ดูราวกับว่าเขาได้สูญเสียบิดามารดาไป แต่เวลานี้กลับดูราวกับว่าทุกอย่างในชีวิตของเขาล้วนเป็นไปอย่างราบรื่นดียิ่ง
บัดนี้เขาได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาแล้ว!
ทว่าก่อนที่เมฆาขาวจะลอยขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นก็ดูเหมือนจิ่วอูจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันหน้าไปมองหลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์หลานฉางโซ่ว?”
“ศิษย์อยู่นี่ขอรับ”
จิ่วอูเอ่ยถามอย่างห่างเหินว่า “เหตุใดเจ้าไม่เก็บใยแมงมุมสามหัวพลจักษ์กลับมาเล่า มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากนะ”
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติขณะตอบว่า “เรียนท่านอาจารย์ลุง ศิษย์ทำให้ท่านเป็นกังวลแล้ว เจ้าสิ่งนี้ยากที่จะเก็บกลับคืนเมื่อวางออกไปแล้วขอรับ ศิษย์ได้เก็บรังของแมงมุมสามหัวพลจักษ์นี้มาสองสามรังเพื่อเลี้ยงบนยอดเขาหยกน้อย หากท่านอาจารย์ลุงสนใจสิ่งแปลกๆ เหล่านี้ ศิษย์จะมอบรังของมันให้แก่ท่านหนึ่งรังเมื่อเรากลับไปสำนักแล้วขอรับ”
จิ่วอูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งทันทีแล้วกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอปฏิเสธแล้วกัน เจ้ามีศักยภาพชั้นเยี่ยม เจ้าหนู พวกเราน่าจะได้รู้จักสนิทสนมกันมากขึ้นในอนาคต”
“ศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มอบอุ่นและเป็นกันเองโดยไม่เอ่ยวาจาใดอีก
ยิ่งเขาพูด เขาก็จะยิ่งพลาดมากขึ้น ดูเหมือนว่าจิ่วอูจะมองผ่านเขาได้เล็กน้อย และขอ ‘ค่าปิดปากเงียบจำนวนหนึ่ง’ นั่นย่อมหมายความว่า จิ่วอูก็ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการฝึกฝนของเหล่าศิษย์ในสำนัก
อย่างไรก็ตาม นักพรตเต๋าชราฉีหยวนพลันขมวดคิ้วพลางเหลือบมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว แล้วกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เจ้าหนู เหตุใดถึงได้ตระหนี่นัก หากไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ลุงมาช่วยเจ้าในครั้งนี้ แล้วผู้ใดจะรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า! เจ้ามีรังแมงมุมกี่รัง เจ้าเก็บเอาไว้ให้ตัวเองแค่รังเดียวก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบให้ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูไปเสีย!”
“แค่กๆ!”
ทันใดนั้นลมปราณในตันเถียนของเขาพลันพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วหลี่ฉางโซ่วก็รีบปิดปากของเขาเอาไว้ขณะกระแอมไอออกมาสองสามครั้ง
เขาพยายามฝืนยิ้มพร้อมกับกัดฟันกรามอย่างรุนแรงแล้วกล่าวว่า “ขอรับ…ศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ…”
จิ่วอูซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าพลันรู้สึกขบขันเมื่อเห็นสถานการณ์ที่อยู่ข้างหลังเขา เขาจึงหัวเราะออกมาดังลั่นทันทีโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
ทว่าใบหน้ากลมน้อยๆ ก็เหลียวมองมาจากข้างกายเขา จิ่วจิ่วพลันเดินไปทางด้านหลังนักพรตเต๋าชราฉีหยวนแล้วโน้มตัวไปหาเขาจากทางด้านซ้ายมือของหลี่ฉางโซ่วพร้อมกับจับจ้องมองเขาเขม็ง
หลี่ฉางโซ่วพลันเอนไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ
ตามที่เขาคาดไว้ เมื่อเอนหลังไป เขาก็น่าจะปรับมุมได้ดีมากขึ้น และบัดนี้เขาก็มองเห็นคอเสื้อคลุมผ้าป่านได้โดยตรง
“แค่กๆ!”
มันจะสามารถป้องกันไม่ให้อาจารย์อาจิ่วจิ่วเล่นตลกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
จิ่วจิ่วกะพริบตาแล้วกล่าวว่า “นั่นเจ้ากำลังพูดถึงใยแมงมุมอันใดกัน ข้ารู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ ระหว่างเจ้ากับศิษย์พี่ห้า”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบว่า “เป็นสมบัติหายากอย่างหนึ่งซึ่งศิษย์ยังไม่อาจชี้แจงได้ชัดเจน ดังนั้นท่านถามท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูน่าจะดีกว่าขอรับ”
“ฮึ เจ้าไม่อยากชี้แจงใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
หลังจากนั้น จิ่วจิ่วก็นั่งตัวตรงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ต่อมานางพลันตบเข่าฉาดแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เออ…ใช่แล้ว ศิษย์พี่ฉีหยวน ศิษย์พี่ห้า! ดูสิ ฉางโซ่วป่วยเป็นโรคใดหรือไม่ หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฐานพลังของเขาทำให้เกิดเป็นจิตมารหรือไม่”
“จิตมาร?”
ฉีหยวน จิ่วอู และโหย่วฉินเสวียนหย่า พลันหันศีรษะไปมองพร้อมกันในทันที ในขณะที่จิ่วจิ่วยกมือของนางขึ้นแล้วค่อยๆ แหย่ไปที่ติ่งหูของหลี่ฉางโซ่ว
การกระทำของนางช่างไหลลื่นยิ่งนัก จิ่วจิ่วยกมือขึ้นแล้วกระทำการโดยไม่ให้โอกาสหลี่ฉางโซ่วได้ทันตอบโต้แต่อย่างใด
ร่างกายของหลี่ฉางโซ่วบวมขึ้นทันทีด้วยเส้นสายสีดำปกคลุมไปทั่ว มือซ้ายของเขาสั่นเทา ทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาสั่นกระตุกเช่นกัน จากนั้นดวงตาของเขาก็พลันเหลือกลานขณะที่มีน้ำลายฟูมปากพร้อมกับมีเสียงราวกับสำลักด้วยหายใจไม่ออกอย่างกะทันหัน…
บ้าเอ๊ย!
อาจารย์อาจิ่วผู้นี้ก็เป็นพิษภัย เป็นตัวอันตรายด้วยใช่หรือไม่
ไม่สิ คนพวกนี้ล้วนเป็นตัวอันตราย! บรรดาผู้คนที่มีคำว่า ‘จิ่ว’ ในนามเต๋านั้น ล้วนอุกอาจ ล้วนเกะกะระรานยิ่ง!
…………………………………………………………………………………………………………………