ศพ - ตอนที่ 65 ต่อสู้
ตอนที่ 65 ต่อสู้
ผมคิดไม่ถึงเลยสักนิด แค่คุยกับหยางเฉ่วครั้งเดียวเท่านั้น ก็ทำให้โต๊ะข้างๆอิจฉาได้แล้ว
ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่โต๊ะข้างๆนี้ เป็นพวกนักเลง ที่เป็นถึงเจ้าถิ่นในตำบลเราเลยนะ
กินอิ่มนอนอุ่นทุกวัน แถมยังชอบออกไปเที่ยวหาเรื่องชาวบ้าน
ถึงผมจะไม่กลัวพวกเขา แต่ก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้
แต่หยางเฉ่วกลับเหลือบมองคนพวกนั้นเพียงแวบเดียว เธอยังคงถือแก้วเหล้าไว้ในมือ ท่าทางสงบมาก
ในเวลาเดียวกัน หลังจากนักเลงที่เรียกตัวเองว่าพี่เจียวหลงด่าเสร็จ ก็หันหน้ามามองผมกับเฟิงเฉ่วหาน
แถมยังเดินเข้ามาหาผมสองคน พร้อมกับขวดเบียร์หนึ่งขวด
“พี่เจียวหลง” หัวหน้าแก๊งของพวกนักเลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “กูก็คิดว่าใครหน้าไหนมาทำเป็นซ่า ที่แท้ก็ไอ้โง่ติงฝานที่ทำธุรกิจกับคนตาย!”
เมื่อสามคนที่อยู่ข้างๆได้ยินก็ทำหน้าดูถูก และหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ออกมาทันที
ถึงผมจะไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเอง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมจะสามารถอดทนกับสิ่งที่ไอ้พวกนี้มันมาดูถูกผมได้
อีกอย่างการรังแกครั้งนี้ก็มาถึงตัวแล้ว ถึงจะอดทนก็ทนไม่ไหวแล้ว
ผมลุกขึ้นทันที เผยน้ำเสียงที่เย็นชา
เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมลุกขึ้น เขาก็ลุกขึ้นมาช้าๆ
แต่เขาไม่แสดงออกทางสีหน้าใดๆทั้งสิ้น มองไม่ออกเลยว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
สีหน้าของผมเคร่งขรึม จ้องหัวหน้าแก๊งนักเลงและพูดว่า “ฉลาดดีนิ งั้นก็รีบไสหัวออกไปซิวะ”
ตอนแรกชายสี่คนนั้นไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องจริงจังอะไร แต่เมื่อหัวหน้านักเลงได้ยินก็แสดงใบหน้าดูถูกทันที
เขาจ้องผม และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกมากๆ “ไอ้เด็กเวรไปกินหัวใจเสือมาละซิถึงได้ใจกล้าขนาดนี้ หรือไม่รู้ว่าฐานะและชื่อเสียงของฉันเจี่ยวหลงหลี่ต้าชานในตำบลชิงหลงแห่งนี้ ที่นี่ ฉันใหญ่สุดเว้ย”
หลังจากพูดจบ เจ้านี้ยังชี้ไปที่พื้น และใช้หน้าอกดันตัวผม “ทำไมฮะ ไม่พอใจงั้นเหรอ ต่อยฉันซิ! ต่อยฉันเลย!”
เขาทำหน้าได้ใจ ท้าทายผมตรงๆ
ผมไม่ใช่คนเลือดร้อน แถมเป็นคนที่สุภาพมากคนหนึ่ง
แต่นั้นไม่ได้แปลว่าผมจะไม่มีความโกรธ เมื่อเห็นอีกฝ่ายได้คืบจะเอาศอก แถมยังท้าทายแบบหน้าด้านๆ
ผมก็ไม่สนใจว่ามันคือเจ้าถิ่น หรือพี่เจียวหลงอะไรนั้นอีก
ไม่พูดมาก ทำหน้าเฉยช้า
ถีบออกไปทันที ตอนนั้นผมถีบเข้าไปที่ท้องของเจ้านี้อย่างแรง
“ไปพูดกับแม่…โน้น!”
ผมถีบจนสุดแรง ได้ยินเสียงร้องของเจ้านั้นร้อง “โอ๊ย” ออกมาทันที
จากนั้นผมก็เห็นตัวเขา กระเด็นออกไป ชนเข้ากับโต๊ะที่อยู่ข้างหลัง
พวกที่เหลืออีกสามคนคิดไม่ถึง ว่าผมจะกล้าทำร้ายเขาจริงๆ
พวกเขาจึงนิ่งอึ้งมองนักเลงคนนั้นอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้นักเลงคนนั้นนอนขดตัวอยู่กับพื้น ใบหน้าทุกข์ทรมาน พร้อมพูดว่า “โอ๊ยโอ๊ย” ออกมา
แต่เมื่อเห็นลูกน้องของตัวเองมัวแต่ยืนอึ้ง เขาก็โมโหขึ้นมาทันที “ยืนโง่อยู่ทำไม ไปอัดมันซิ”
เสียงพึ่งจางหาย ทั้งสามคนก็ได้สติกลับมา
ทันใดนั้น ทั้งสามคนก็ทุบขวดเหล้าให้แตกและวิ่งเข้ามาแทงผมทันที
แต่ผมกลับไม่หลบเลยสักนิด กัดฟัน ไม่รอให้ขวดนั้นมาแทงผมได้ ผมสวนหมัดไปที่หน้าของผู้ชายคนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ผมยังหยิบเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆมาฟาดใส่ชายร่างเล็ก
แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบเฟิงเฉ่วหานจะไม่พูดอะไร แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายลงมือ เขาก็ไม่ปราณี เขาเข้าไปอัดอีกฝ่ายทันที
อย่ามองว่าเฟิงเฉ่วหานเป็นคนเย็นชา เวลาเจ้านี้ได้สู้เมื่อไหร่ ก็ไม่ต่างจากตอนฆ่าผีเลยสักนิด โหดอย่าบอกใครเลยละ
เพียงแค่คนเดียวก็สามารถจัดการไปได้ถึงสองคน แถมยังไม่บาดเจ็บเลยสักนิด การเคลื่อนไหวเร็วสุดๆอีกด้วย
คนพวกนี้วันๆเอาแต่ดื่มเหล้าเสพยา ร่างกายจึงพังไปตั้งนานแล้ว ปกติไปรังแกคนขี้ขาดยังพอได้
แต่ตอนนี้ต้องมาสู้กับผมและเฟิงเฉ่วหาน จึงไม่มีโอกาสชนะได้ตั้งแต่แรกแล้ว
สุดท้ายไม่ถึงหนึ่งนาที คนพวกนี้ก็ถูกพวกเราอัดจนนอนกองกับพื้น กลิ้งไปมาอย่างเจ็บปวดทรมาน แถมยังร้องโอ๊ยโอ๊ยออกมาไม่ยอมหยุด
ผมกำลังโมโห จึงเดินเข้าไปที่ด้านหน้าของหัวหน้าแก๊ง “พี่เจียวหลง แม่…ซิเมื่อกี้แกยังปากเก่งอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ลองปากดีอีกซิ”
หลังจากพูดจบ ผมก็เหยียบเท้าของเจ้านั้น
เจ้านั้นกรีดร้องออกมาทันที จากนั้นก็มองผมด้วยสายตาที่หวาดกลัว “พี่ พี่ติง ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษยังไม่พออีกเหรอครับ งั้นต่อไปผมจะไปยุ่งกับพี่อีกแล้ว ไม่กล้าแล้วครับ”
นักเลงทุเรศๆแบบนี้ ยิ่งคุณอ่อนโยนกับมันมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งได้ใจมากเท่านั้น
ตอนที่ถูกผมอัดจนนอนกองกับพื้น เขาถึงได้รู้สึกผิดขึ้นมา
ผมทำหน้าเคร่งขรึม “ไสหัวออกไป!”
เสียงพึ่งจางหาย พี่เจียวหลงและลูกน้องอีกสามคน ก็กลัวจนฉี่ราดรีบวิ่งหนีออกไปทันที
แม้แต่ออกมาหาอะไรกินในตอนกลางคืนก็ยังต้องมาต่อสู้ ช่างน่าผิดหวังจริงๆชีวิตผม
แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานพึ่งหันหลัง เดินกลับไปกินของปิ้งย่างของตัวเองต่อ
แต่แล้วผมก็พบว่าหยางเฉ่วสงบมาก ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธหรือกลัวเลยสักนิด เธอยังคงดื่มเหล้าของตัวเองไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ หยางเฉ่วยังค่อยๆยกแก้วขึ้น และหันมาพูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ขอบคุณท่านทั้งสองมาก!”
หลังจากพูดจบ ไม่รอให้พวกเราได้โต้ตอบใดๆ เธอก็ดื่มเหล้าจนหมดแก้ว
ผมและเฟิงเฉ่วหานมองหน้ากัน ทำอะไรไม่ถูกจึงดื่มตามเธออีกหนึ่งอึก
แต่เหล้าอึกนั้นพึ่งไหลลงคอเท่านั้น หยางเฉ่วก็ลุกขึ้น
พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ฉันรู้สึกดีมากที่ได้ดื่มกับพวกคุณ เอาไว้ถ้ามีโอกาสค่อยพบกันใหม่นะ!”
หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ยิ้มหวานให้กับพวกเรา และเดินออกจากร้านไปทันที
ตอนเธอยิ้มน่ารักมาก นอกจากมู่หลงเหยียน ผู้หญิงที่ผมเคยเห็นมา เธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นเธอจะจากไป ผมเองก็คิดจะรั้งไว้ เพราะยังไม่รู้จักเธอ
จึงถามเธออีกนิดว่า “บ้านของคุณอยู่ที่ไหน ดึกขนาดนี้แล้วกลับคนเดียวจะปลอดภัยเหรอครับ”
ที่จริงผมแค่ปรารถนาดี ถามไปตามมารยาทเท่านั้น
แต่ใครจะไปรู้ เสียงพูดพึ่งจางหาย ผมกลับรู้สึกเย็นที่หลัง จู่ๆก็เหมือนมีลมเย็นๆพัดเข้ามา
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น หูของผมยังได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนพูดว่า “ไอ้ห่วย!”
แถมสามคำนี้ ยังเต็มไปด้วยความโมโห
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็ตกตะลึงทันที
บัดซบ ผีเมียของผมอยู่แถวนี้งั้นเหรอ ผมแอบพูดในใจ ในเวลาเดียวกัน ยังกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ส่วนหยางเฉ่วกลับยิ้มให้เล็กน้อย “คนเลวก็ถูกอัดจนหนีไปแล้ว ฉันปลอดภัยแน่นอน”
หลังจากพูดจบ เธอก็หมุนตัวเดินตรงไปที่ถนน พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะไปที่ไหน
ส่วนเฟิงเฉ่วหาน ก็หันไปมองแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เขาพูดออกมาแค่ไม่กี่ประโยค ทำตัวเหมือนกับคนใบ้ไม่มีผิด
ผมมองหยางเฉ่วเดินห่างออกไป ร่างของเธอค่อยๆเลือนหายไปกับความมืด
ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะไปไหน แต่กำลังคิดถึงคำพูดของมู่หลงเหยียนอยู่
เมื่อกี้เสียงที่ได้ยิน จะต้องเป็นเสียงของผีเมียผมแน่ๆ
จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดออกมา แถมยังด่าผมว่าไอ้ห่วย เธอจะต้องเข้าใจผิดเรื่องของผมกับหยางเฉ่วแน่
คืนนี้เธอจะมาแก้แค้นผมไหมนะ หรือจะไปหาหยางเฉ่ว
ผีเมียของผมตนนี้เป็นตัวแม่เรื่องโมโหร้าย แถมยังนิสัยไม่ค่อยดี
เรื่องนี้จะต้องทำให้เธอไม่พอใจแน่ ตอนนี้มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมเหงื่อแตก เขาก็แปลกใจ จึงถามผมด้วยความสงสัย “นายชอบเธอเหรอ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ร่างกายของผมก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมาทันที เหมือนเห็นเส้นด้ายตรงหน้ากำลังจะขาด ผมกำลังกลัวว่าคืนนี้ผีเมียจะมาฆ่าผมรึป่าว
“พูดอะไรวะ! ดื่ม ดื่ม……”
ผมไม่สามารถพูดเรื่องมู่หลงเหยียนได้ จึงทำได้เพียงหาข้อแก้ตัวมากลบเกลื่อน
พวกเราดื่มเบียร์ได้สองสามขวด ผมก็ไม่คิดจะดื่มต่อ เพราะตอนนี้เริ่มไม่มีอารมณ์แล้ว
หลังจากชดใช้ค่าเก้าอี้ที่ผมทำพังเมื่อกี้ และคิดเงินค่าอาหารเสร็จ ก็พาเฟิงเฉ่วหานกลับบ้าน
ระหว่างทาง ผมรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
บางครั้งผมก็รู้สึกว่ามีลมเย็นๆอยู่รอบตัวผม ราวกับผีเมียมู่หลงเหยียนกำลังจ้องผมอยู่ใกล้ๆ
ดังนั้น ผมจึงอยากกลับบ้านเร็วๆ ไปหาป้ายวิญญาณของเธอ แล้วก็จุดธูปให้สักสองสามดอก
บอกเธอว่า ได้เจอกับหยางเฉ่วโดยบังเอิญ พูดกับเธอให้เข้าใจ
ไม่อย่างงั้นยัยผีเมียจะต้องหยิบกรรไกรมาทำอะไรผมอีกแน่ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆชีวิตผมก็ต้องจบเห่กันพอดี……