ศพ - ตอนที่ 433 ความในใจของอาจารย์
ตอนที่ 433 ความในใจของอาจารย์
ขณะที่ผมคุยกับมู่หลงเหยียนผ่านป้ายวิญญาณอาจารย์ก็นั่งลงสูบบุหรี่ที่โซฟาภาพเก่าเล่าใหม่ที่เห็นจนชินตาแล้ว
เขาเองไม่ได้สนใจผม หรือแม้แต่เปิดทีวีดูด้วยซ้ํา
แต่เสียงเพิ่งเงียบลง มู่หลงเหยียนกลับรีบตอบกลับทันที“ไม่ไม่ไม่ ไม่ต้องฉันไม่ได้เป็นอะไรนายก็อยู่บ้านพักรักษาตัวให้ดีๆเถอะรอให้อาการบาดเจ็บหายแล้วค่อยมาหาฉันก็ได้ !”
น้ำเสียงของมู่หลงเหยียนฟังดูกระวนกระวายนิดหน่อยเหมือนกับไม่อยากให้ผมไปหาที่จวนมู่หลงในป่าก่ยหม่าเลยสักนิด
ผมอึ้ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอได้ยินเธอพูดถึงขนาดนั้นผมก็พยักหน้ารับปากเธอ“โอเค!งั้นฉันจะไปหาวันหลัง”
“อ๋อ ! เอาแบบนี้แหละ!ฉันกําลังจะเก็บตัวพอดี”เสียงมู่หลงเหยียนดังขึ้นอีกครั้ง
หลังจากพูดจบประโยคนี้เสียงของเธอก็ไม่ดังขึ้นอีกเลย
บางที่ฝั่งนั้น คงตัดการติดต่อกับผมไปแล้ว
ต่อจากนั้น ผมก็เอาธูปปักลงกระถาง แล้วก็จุดธูปอีกดอกให้เผ่าจิ้งจอก เพื่อขอบคุณที่นางพญามาช่วยในครั้งนี้
ทางฝั่งนางพญาไม่ได้ตอบกลับใดๆ ผมเลยทําเหมือนปกติ
หลังปักธูปลงกระถางแล้ว อาจารย์ก็พูดกับผมว่า “เสร็จแล้วเหรอ ?”
“เสร็จแล้ว !”
“งั้นแกมาเล่าให้อาจารย์ฟังหน่อย ว่าที่แล้วมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทําไมแกถึงต้องไปขโมยน้ำลี่ลั่วอะไรนั่นด้วยเป็นเพราะเมียแกสั่งให้ไปจริงๆเหรอ ?” อาจารย์พูดตรงๆ
เพราะตอนอยู่ในโรงพยาบาล มีท่านนักพรตต์อยู่ด้วย ดังนั้นผมเลยพูดแบบขอไปที่เท่านั้น
ตอนนี้มีแค่ผมกับอาจารย์สองคน อาจารย์เลยอยากเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ผมพยักหน้า บอกว่าใช่
หลังจากนั้น ก็เล่าเรื่องที่ไม่ได้เล่าเมื่อก่อนหน้านี้ เรื่องประโยชน์ของน้ำลี่ลั่วและทําไมพวกเราถึงต้องไป
เขาเขี้ยวหมาป่าให้ได้ ให้อาจารย์ฟังทั้งหมด
หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว อาจารย์ก็อดขมวดคิ้วแน่น และถอนหายใจออกมายาวๆไม่ได้
“เฮ้อ ! เสี่ยวฝาน ! นี่คงเป็นชะตาชีวิตของแก ดูเหมือนชั่วชีวิตนี้ แกคงต้องเข้าไปพัวพันกับองค์กรตาผีชั่วนั่น”
มุมปากผมยกยิ้มอย่างเย็นชา ดวงตาดูเฉยชาเล็กน้อย “อาจารย์พูดถูกชั่วชีวิตนี้ของผมคงต้องเข้าไปพัวพันกับองค์กรตาผีตลอดแต่ไม่ช้าก็เร็วผมจะช่วยน้องศพทําลายองค์กรชั่วนั่นคืนความสงบให้กับผู้คน”
ขณะมองผมทําท่าทางจริงจังจู่ๆอาจารย์ก็เงียบไปพักหนึ่งเขาไม่พูดจา แต่สูบบุหรี่เข้าไปหนึ่งครั้ง
เหมือนเขากําลังครุ่นคิดถึงบางอย่างราวกับมีเรื่องในใจอีกแล้ว
พอผมเห็นอาจารย์เป็นแบบนั้นก็เริ่มถามออกมาอีกรอบ“อาจารย์ เป็นอะไร?อาจารย์ไม่ได้บอกเองเหรอในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้ายเราก็ต้องขับไล่สิ่งชั่วร้ายปกป้องความดีน่ะในเมื่ออาจารย์ให้ผมเข้ามาแล้ว
ถ้าไม่จัดการกับองค์กรชั่วร้ายนั่น แล้วจะให้ผมปล่อยพวกมันไปงั้นเหรอ ?”
ผมพูดอย่างมีเหตุมีผลพออาจารย์เห็นผมเป็นแบบนั้นกลับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ผ่านไปอีกพักหนึ่งเขาถึงเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง“เสี่ยวฝานเส้นทางนี้มันไม่ได้เดินกันง่ายๆหรอกนะ
แกมาเป็นแบบอาจารย์ไหม ดูแลร้านอยู่ที่นี่รับงานศพบ้างเป็นครั้งคราวแล้วก็กําจัดภูติผีวิญญาณร้ายแถวนี้ก็พอ”
“ที่จริง ที่จริงแกก็ไม่ต้องไปสู้กับองค์กรตาผีที่มีอานาจขนาดนั้นก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้วแกก็เป็นแค่คนฝึกบําเพ็ญเพียรธรรมดาๆคนหนึ่ง”
“อาจารย์ หมายความว่ายังไง ? คนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเราไม่ได้เกิดมาเพื่อกําจัดสิ่งชั่วร้ายเหรอ ?
ผมเริ่มสงสัย หรือแม้แต่ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าวันนี้คําพูดของอาจารย์ฟังดูไม่เหมือนกับค่าสอนที่เคยพูดกับผมเมื่อก่อนหน้านี้เลย
อาจารย์พูดไม่ออกไปชั่วขณะ “อาจารย์ อาจารย์กลัวแกเป็นอะไรไป !”
“อาจารย์ ในเมื่อผมเลือกทางสายนี้แล้วทุกอย่างก็ต้องแล้วแต่โชคชะตากําหนดอีกอย่างผมก็ดวงแข็งจะตายช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ผมผ่านเรื่องราวมามากมายแต่ตอนนี้ผมก็ยังอยู่ดีไม่ใช่เหรออาจารย์ ?” ผมพูดต่อ
ส่วนอาจารย์ กลับฝืนยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่นไม่สนใจผมอีก
ขณะมองท่าทางของอาจารย์ ผมกลับรู้สึกว่ามันแปลกๆ
เหมือนกับอาจารย์กําลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่าง เหมือนมีเรื่องในใจที่คิดไม่ตก
แต่อาจารย์ไม่พูด ผมเองก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ผมก็ลองเดินลมปราณดูในตอนบ่าย
ไม่ได้เคลื่อนพลังมาหนึ่งอาทิตย์แล้วการเดินลมปราณครั้งนี้กลับทําให้ผมพบว่าจุดตันเถียนดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
และพลังในจุดตันเถียน ก็เพิ่มขึ้นเยอะด้วย
หรือจะพูดว่า หลังจบการสู้ที่ดุเดือดในครั้งนี้แล้ว พลังของผมก็เสถียรและเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมดีใจ ถึงจะแลกมาด้วยความเป็นตาย แต่ข้อดีที่ตามมา ก็น่าปลื้มใจมาก
ถ้ายึดตามความเร็วปกติที่ใช้ฝึก หากอยากทําให้จุดตันเถียนเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งแบบนี้ก็คงต้องใช้เวลาประมาณสามเดือนเป็นอย่างต่ํา
แต่หลังจากจบศึกใหญ่ มันกลับผ่านไปไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์
ผมดีใจเว่อร์ เลยลืมประสบการณ์เสี่ยงตายเมื่อก่อนหน้านี้ไปจนหมด และลืมความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยได้รับไปจนสิ้น
ช่วงเวลาสองสามวันต่อจากนั้น นอกจากฝึกเดินลมปราณแล้ว ผมก็ช่วยที่ร้านขายของ
เพราะใกล้จะปีใหม่แล้ว การค้าเลยดีสุดๆ
คนที่มาซื้อธูปซื้อเทียนในแต่ละวันมีเยอะมาก แต่ผมกลับพบว่าอาจารย์มักทําตัวไม่ร่าเริง
ถึงผมจะบอกว่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว เขาก็ไม่ดีใจ เหมือนกับมีเรื่องใหญ่ให้คิดตลอดเวลา
พอถามเขา เขาก็ไม่ยอมพูดออกมา
ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันปีใหม่แล้ว
เราทําหม้อไฟเนื้อแกะ เรานั่งกินไปดูรายการฉลองปีใหม่ในทีวีไป
แต่ในแววตาของอาจารย์ กลับดูเศร้าสร้อยเป็นครั้งคราว ราวกับกําลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
ตอนกินข้าว ผมกับอาจารย์ดื่มเหล้าขาวกันสองแก้ว
ผมเห็นในช่วงหลายวันนี้อาจารย์ดูอารมณ์ไม่ค่อยดี เลยถามเขาไปตรงๆว่า “อาจารย์ อาจารย์กําลังมีเรื่องอะไรที่คิดไม่ตกอยู่หรือเปล่า ?”
พออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมามองผมทันที
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แล้วจิบเหล้าเข้าไปค่าเล็กๆ
ผมไม่ได้พูด เพียงมองดูอาจารย์ต่อเท่านั้น
หลังอาจารย์ดื่มเหล้าขาวเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้ามามองผม “ เสียวฝานอาจารย์จะถามแกแบบจริงจังนะ
แกรู้สึกเสียใจไหม ที่ได้เข้ามาในสายงานนี้ ! ”
พอได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนั้น ผมก็เริ่มงงนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่
แต่ผมก็ยังพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น “ไม่เสียใจ ! ผมชอบชีวิตในตอนนี้มากผมรู้สึกว่าการปราบสิ่งชั่วร้ายก็คืองานของผม”
อาจารย์พนักหน้าเบาๆ “งั้นแกรับปากอาจารย์ได้ไหม ว่าจะรักษาหัวใจแบบนี้เอาไว้ ไม่เปลี่ยนใจอีกในวันข้างหน้า”
ผมทําท่าทางตกใจ “มันก็ต้องได้อยู่แล้ว อาจารย์ วันนี้เป็นอะไรไป ทําไมถึงถามผมแบบนั้นละ
ผมสับสนมาก ความรู้สึกแบบนั้นมันเหมือนกับ อาจารย์กําลังจะตาย ตอนนี้เหมือนกําลังสั่งเสียออกมา
อาจารย์กลับโบกมือ “ ฉันไม่เป็นอะไร วันนั้นพออาจารย์ได้ยินแกพูดว่า แกยอมใช้ชีวิตสู้กับองค์กรตาผี
ฉันก็คิดถึงเรื่องนึ่งมาตลอด ! ”
“คิดถึงเรื่องนึง เรื่องอะไรละอาจารย์ ?” ผมรีบถาม เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อาจารย์มีเรื่องที่คิดไม่ตก
อาจารย์ไม่ได้รีบร้อนตอบกลับเขายกแก้วขึ้นมาจิบอีกครั้ง“พออาจารย์ให้แกเข้ามาในสายงานนี้แล้วอาจารย์แค่ถ่ายทอดวิชาให้แกเท่านั้นยังไม่ได้ถ่ายทอดการฝึกพลังที่แท้จริงให้แกถ้าแกรับปากอาจารย์
ว่าต่อไปจะรักษาหัวใจแบบนี้เอาไว้ ไม่เปลี่ยนใจไปทําชั่ว อาจารย์จะถ่ายทอดการฝึกพลังที่แท้จริงให้แก”
จ่ๆก็ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมเลยอึ้งไปในทันที
นี่มันหมายความว่ายังไงอาจารย์กําลังบอกว่าตัวเองไม่ได้สอนทุกอย่างไม่ได้ถ่ายทอดการฝึกพลังที่แท้จริงให้ผมตอนนี้ต้องการให้ผมสาบานเขาถึงจะถ่ายทอดให้
ผมใจเต้นแรงอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ก็เปลี่ยนไปพอสมควร
“อาจารย์ อะไรคือการฝึกพลังที่แท้จริงแถมยังต้องให้ผมสาบานด้วย ?” ผมทําตาโตถามด้วยความสงสัย
อาจารย์กลับดื่มเหล้าขาวอีกครึ่งแก้วจนหมด “รีบรับปากอาจารย์ก่อน”
พอเห็นอาจารย์ดูจริงจังถึงขนาดนั้น ผมก็ทําท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา
รีบคุกเข่าลงกับพื้น แล้วยกมือขึ้นข้างหนึ่งทันที “ผมติงฝานขอสาบานต่อฟ้าวันหน้าจะรักษาหัวใจแบบนี้เอาไว้ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องความถูกต้อง”
หลังฟังคําสาบานของผมจบ อาจารย์ก็ค่อยๆหลับตาลง แล้วเอื้อมมือเข้าไปในหน้าอกหยิบของบางอย่างออกมาอย่างช้าๆ…