ศพ - ตอนที่ 377 สาขาย่อยองค์กรตาผี
ตอนที่ 377 สาขาย่อยองค์กรตาผี
มู่หลงเหยียนค่อยๆเล่า เธอเล่าเรื่องหินคริสตัล สีคราม น้ําลี่ลั่ว และการปลูกหญ้าหยินจ่าว
ให้ผมฟังทีละเรื่องๆ
หลังจากฟังจบ ผมก็อดเครียดขึ้นมาไม่ได้ ต้องไปขโมยน้ําลี่ลั่วที่สาขาย่อยขององค์กรตา
ผมคิดว่า มันเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะสู้กับผีเร่ร่อนไม่กี่ตัว ผมก็ค่อนข้างลําบากแล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงการสู้กับพวกที่มีพลังสูงกว่า
ฆ่าคนในพริบตา หรือเอาคนเป็นมาฝึกวิชาอย่างว่าเล่นเลย
ถึงจะไปขโมย แต่จากคําพูดของมู่หลงเหยียน ผมก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่รออยู่
หลังจากมู่หลงเหยียนพูดจบ เธอก็เห็นผมขมวดคิ้ว และไม่ได้ขานรับทันที เธอจึงพูดกับผมต่อ
“ติงฝาน ฉันแค่มาลองถามดู นายไม่ต้องฝืนใจนะ ยังมีเวลาคิดอีกนาน นายจะไม่ทําก็ได้นะ พวกเรายังหาทางอื่นได้ !”
หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนยังยิ้มให้ผม ท่าทางกําลังบอกว่าไม่ต้องการบังคับผม
แต่ม่านตาของผมกลับขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว คําพูดที่พูดออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ําที่ไหลไม่มีวันหวนกลับ
เมื่อกี้ผมรับปากแล้ว ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าต้องเจอกับอันตราย ถ้างั้นจะถอดใจไม่ทําแล้วงั้นเหรอ แบบนั้นมันจะยังเรียกว่าลูกผู้ชายอีกไหมละ นี่มันคนขี้ขลาดชัดๆ
“น้องศพ เธอพูดอะไรน่ะ ฉันติงฝานเป็นคนที่เจออันตรายแล้วหนีเหรอฮะ ? ถึงเรื่องนี้จะอันตรายขนาดไหน ฉันก็จะไป เธอเล่าเรื่องที่เธอรู้ให้ฉัน
แบบละเอียดๆเลยดีกว่า ฉันจะได้หาเวลาไปขโมยกลับมา !” ผมทําหน้าจริงจัง
มู่หลงเหยียนเห็นผมพูดอย่างจริงจัง และไม่มีท่าทีหวาดกลัว เธอเลยพยักหน้าให้เบาๆ “อ๋อ ! ขอบใจนายนะติงฝาน ขอบคุณที่ยอมช่วยฉัน”
เสียงของมู่หลงเหยียนพูดดูในหู และปนไปด้วยความซาบซึ้งใจ
แต่หลังจากผมได้ยินคําพูดนี้ ผมกลับทําตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ต้องรู้ว่าในสายตาของผม มู่หลงเหยียนเป็นยัยสาวเจ้าอารมณ์ เป็นแม่เสือสาวที่ดุยิ่งกว่าอะไรดี
จู่ๆเธอก็ทํากับผมแบบนี้ ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่
ผมเกาหัวตามสัญชาตญาณ “ขอบคุณอะไรกันล่ะ ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็ตายไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว! โอเค เธอพูดเรื่องสาขาย่อยขององค์กรตาผีให้ ฟังหน่อย ฉันจะได้ทําความรู้จักกับที่ตั้งของมันก่อน”
มู่หลงเหยียนยิ้มอ่อน “อือ” ขานรับสั้นๆ จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องสาขาย่อยขององค์กรตาผี และน้ําลี่ลั่วให้ผมฟัง
สาขาย่อยขององค์กรตาผีแห่งนี้ มีฐานที่มั่นเดียวที่อยู่ใกล้พวกเรา
ตามข้อมูลที่มู่หลงเหยียนได้มา สถานที่แห่งนี้ ก็คือที่ที่กุยซานหยวนและยัยป้าคนสวยเข้าออกกันบ่อยๆ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นฐานที่มั่นของพวกมัน
มันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 70 กิโลเมตร แต่ไม่ใช่ในเมืองหรือชานเมือง มันอยู่ในภูเขา ที่มีชื่อว่าเขาเขี้ยวหมาป่า ถนนต่อจากนั้นไม่มีทางหลวงเข้าไป
ถ้าขับรถไปตั้งแต่เช้า ก็น่าจะถึงประมาณตอนสองทุ่มสามทุ่ม
นี่เป็นทางที่ผมรู้จัก เลยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายจับได้
ถ้าแอบเข้าไป จะใช้เวลามากกว่าเดิม
และในฐานที่มั่นนี้ นอกจากปุยซานหยวนและยัยป้าคนสวยที่ทรงพลังอาจจะประจําการอยู่แล้ว ยังมีพวกลูกศิษย์ตาผี เช่นจางจีเทาเป็นต้น
แต่นอกจากคนเป็นแล้ว ก็ต้องมีผีอยู่ด้วยแน่ๆ
เนื่องจากเคยปะทะกับปุยซานหยวนและยัยป้าคนสวยมาหลายครั้งแล้ว ผมจึงรู้ว่าในมือของอีกฝ่ายมีทาสผีอยู่
ในฐานะที่เป็นถึงสาขาย่อยขององค์กรตาผี ฐานที่มั่นแห่งนั้นก็ต้องมีพวกนี้อยู่แน่นอน
มู่หลงเหยียนวิเคราะห์ภายในและภายนอกให้ผมฟังหนึ่งรอบ
ยิ่งมู่หลงเหยียนวิเคราะห์เจาะลึกลงไปเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งพูดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผมเองก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงอันตรายในครั้งนี้
ถ้าผมสามารถหนีเอาชีวิตรอด และเอาน้ําลี่ลั่วออกมาได้
งั้นผมก็จะไม่ได้ช่วยมู่หลงเหยียนแค่คนเดียว แต่ยังช่วยชีวิตเหล่าผีที่หนีออกมาจากองค์กรตาได้ทั้งหมด
แน่นอน มู่หลงเหยียนก็เตรียมการเอาไว้อย่างรอบคอบ
ก่อนอื่น เธอจะพาคนไปรับผมที่ด้านนอก
ขั้นตอนต่อมา จะช่วยให้สามารรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ตลอดเวลา
ถ้าผมโดนคนด้านในเจอตัว มู่หลงเหยียนก็จะเข้ามาช่วยผมทันที
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่มันก็ยังมีอันตรายอีกเยอะ
แต่เรื่องพวกนี้ไม่สําคัญ สิ่งสําคัญคือ ผมจะต้องไม่เป็นอะไร และเอาน้ําลี่ลั่วออกมาให้ได้
หลังจากคุยกับมู่หลงเหยียนมาพักใหญ่ เข้าใจสาขาย่อยขององค์กรตาผีอย่างละเอียดแล้ว มู่หลงเหยียนก็ออกไป
หลังจากมู่หลงเหยียนกลายเป็นควันสีเขียวแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างแรง มองเพดานที่มืดมิด คิดถึงคําพูดพวกนั้นที่มู่หลงเหยียนบอกกับผม
ยังไงผมก็ต้องไป แต่ผมกําลังคิดว่า ตอนผมไป ผมจะบอกอาจารย์และพวกเหล่าเฟิงดีไหม
ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมคิดว่าเรื่องนี้อันตรายเกินไป ผมไปคนเดียวน่าจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ ผมเลยคิดว่าจะไปคนเดียว
แต่ช่วงสองสามวันนี้สภาพอากาศแย่มาก ไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหว
ดังนั้น ผมเลยคิดว่าเรื่องนี้ต้องเลื่อนออกไปอีกหน่อย
พอคิดได้แบบนี้ ผมก็หลับตา เริ่มนอนหลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์
พอหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นเจ้าอ้วนที่โชว์รูมโทรมา
พอกดรับ ผมก็ยังไม่ทันพูดอะไร เจ้าอ้วนคนนั้น ก็หัวเราะฮ่าๆในโทรศัพท์ทันที “อรุณสวัสดิ์ท่าน นักพรตติง ! รถของคุณมาถึงแล้วนะครับ”
ตอนแรกผมยังสะลึมสะลืออยู่ แต่พอได้ยินว่า รถของผมมาถึงศูนย์แล้ว ตัวผมก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที
“โอ้ มาถึงแล้วเหรอ ?”
“ครับอยู่ที่ศูนย์แล้ว มารับรถได้ทุกเมื่อครับ” ต้าโถวจหัวเราะอย่างมีความสุข
เจ้าหมอนี่บอกว่าเร็วที่สุดก็หนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ นี่มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง รถก็มาถึงศูนย์แล้ว!
แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็ไปรับก็จบ
ผมพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง “ได้ อีกเดี๋ยวฉันจะเข้าไปรับ !”
หลังจากพูดจบ ผมก็กดวางสาย จากนั้นก็รีบลุกขึ้นไปแต่งตัวแล้วออกจากห้อง
อาจารย์กําลังกินข้าวเช้าอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นวันนี้ผมตื่นเช้าขนาดนี้ เขาก็ตกใจไม่น้อย
“โห ! พระอาทิตย์ขั้นทางตะวันตกแล้วนั้น ทําไมวันนี้แกถึงได้ตื่นเช้ขนาดนี้ละ ?”
ผมหัวเราะฮ่าๆบอกว่าวันนี้จะไปรับรถ ในเวลาเดียวกันก็เล่าเรื่องที่ผมเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นเต้าฉือ)สุดได้เมื่อคืนให้อาจารย์ฟัง
พออาจารย์ฟังจบ ก็ทําหน้าตะลึงในทันที “อะ ไรนะ ? แก แกผ่านได้แล้วเหรอ ?”
อาจารย์ทําหน้าตกใจ เหมือนยังไม่ได้สติกลับมา
ผมกลับฉีกยิ้ม เดินพลังปลดปล่อยพลังเต้า ฉือขั้นสุดทันที
หลังจากอาจารย์รับรู้ได้ถึงพลังที่ผมปล่อยออกมา เขาก็เบิกตากว้างอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ําลาย เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจสุดๆ
เพราะการพัฒนาของผมเร็วมาก เร็วจนเขาไม่อยากเชื่อ
สําหรับเขา ถึงผมจะเร็ว หรือมีความสามารถขนาดไหน ก็น่าจะผ่านไปขั้นต่อไปได้ใน 3-5 เดีอนข้างหน้า
ผลลัพธ์ผมกลับใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบวัน ก็สามารถทะลุผ่านไปได้แล้ว การพัฒนา “ความเร็วแสง” แบบนี้ ทําให้อาจารย์รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
อาจารย์ผมเดินทางสายนี้มานานแล้ว เขาต้องใช้เวลาแปดปีเต็มๆ ถึงจะพัฒนาจากศูนย์มาจนถึง
เต้าฉือขั้นกลางได้
จากเต้าฉือขั้นสุด มาจนถึงเต้าชื่อขั้นกลางที่ใกล้ทะลุไปขั้นสุดในปัจจุบัน เขาต้องใช้เวลาหลายสิบปี
เขาเป็นประเภทมีความสามารถปานกลางอะไรประมาณนั้น ตอนนี้ผมใช้เวลาไม่ถึงปี ก็สามารถพัฒนามาถึงขั้นที่เขาต้องใช้เวลาแปดปีเต็มๆแล้ว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาตกใจได้ยังไง
แน่นอน ในเวลานั้นอาจารย์ผมฝึกอยู่กับพระแก่ๆที่ไม่มีอะไรเด่นองค์หนึ่ง ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ได้เรียนอย่างเป็นระบบ
ถ้าอยู่ในอาจารย์ตระกูลที่สืบเชื้อสายด้านนี้หรือสํานัก พลังของอาจารย์ก็คงไม่หยุดนิ่งอยู่แค่นี้
และก่อนหน้านี้ อาจารย์ก็ชอบโม้ต่อหน้าผม
บอกว่าความสามารถของตัวเองนั้นขั้นเทพขนาดไหน ร้ายกาจถึงขั้นไหน ตอนนี้พอเห็นความเร็วในการพัฒนาของผมแล้ว เขาก็ตกใจจนพูดไม่ออกเลยที่เดียว……
อาจารย์สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็กลับมาสงบอย่างเก่า แล้วกดเสียงลงต่ํา “หือ ! แกก็ใช้ได้นะ มีพรสวรรค์เหมือนอาจารย์ในตอนนั้นอยู่บ้าง แต่จะทําตัวได้ใจ แล้วทําเป็นไม่ใส่ใจต่อไม่ได้นะ ต่อไปพอกลับบ้านมาแล้วยังต้องฝึกต่อไปเรื่อยๆ ห้ามดีใจจนลืมตัวเด็ดขาด !”
“ครับอาจารย์ เรื่องนี้ผมรู้ดี ! เอ่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะ” หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่กินข้าวเช้า
วิ่งตรงออกจากบ้านทันที
“แกนิไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอฮะ ?” อาจารย์ตะโกนตามหลังผม
ผมโบกมือให้อาจารย์ “ไม่กินแล้วครับอาจารย์
พอพูดจบ ผมก็วิ่งไม่ไปจนเขามองไม่เห็นแล้ว
เนื่องจากเป็นการไปรับรถคันแรกในชีวิต ดังนั้น ผมจะมานั่งอารมณ์ดีกินข้าวอยู่ได้ยังไงละ
เพียงแต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงคือ ตอนซื้อรถตัวเองได้ไปสร้างเรื่องเอาไว้
ไปรับรถครั้งนี้ ก็แทบทําให้ตัวเองเกือบต้องตาย…….