ศพ - ตอนที่ 373 แย่งวิญญาณ
ตอนที่ 373 แย่งวิญญาณ
เพิ่งเตรียมตัวจะถอยออกมา วิญญาณกลับปรากฎขึ้น
ผลลัพธ์ยังไม่ทันได้ดีใจ เสาแขวนธงเรียก วิญญาณก็หักลงมาดื้อๆ
แล้วตอนนี้พวกเราจะทํายังไงละ พวกเรากําลังเรียกวิญญาณนะ เรียกวิญญาณแต่ไม่มีธง แล้วมันจะยังเรียกได้กะผีนะซิ !
ขณะที่เสาแขวนธงเรียกวิญญาณหักลงมา น้ํา สามถ้วยที่กําลังเดือดอยู่ ก็กลับมาสงบดังเดิม ทันที
ผมตะลึงในทันที ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เสาดีๆต้นหนึ่ง จะหักลงมาดื้อๆได้ยังไง
ส่วนอาจารย์และท่านนักพรตตู้ที่อยู่ข้างๆ กลับหน้าเปลี่ยนสี “บิ๊ก” และลุกขึ้นยืนทันที
ในเวลาเดียวกันได้แต่ยินเสียงอาจารย์ตะโกนอย่างตกใจ “แย่งวิญญาณ !”
พอได้ยินคําว่า “แย่งวิญญาณ” ผมก็งงในทันที ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
แย่งวิญญาณ แย่งวิญญาณของใครละ หรือว่าจะมีคนกําลังแย่งวิญญาณผีเจ็ดตนนั้นกับเรางั้นเหรอ
ผมคิดในใจแบบนี้ ท่านนักพรตต์กลับเก็บกระบอกสูบยา แล้วรีบเดินเข้ามาทันที “ เสี่ยวฝาน เธอถอยไป
ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด !”
ขณะพูด ท่านนักพรตคู่ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว และเขายังเอาดาบไม่ในมือผมไปถือ
อาจารย์ด่าขึ้นมาในทันที “เดรัจฉานเถอะ ฉันก็คิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเล่นลูกไม้ !”
อาจารย์ทําหน้าเย็นชา ดูท่าทางค่อนข้างโมโห
ผมและเหล่าเพิ่งต่างไม่เข้าใจ แต่อาจารย์และ ท่านนักพรตต์ กลับเหมือนจะมองทุกอย่างออก แล้ว
ผมไม่ลังเล รีบถามออกมาทันที “อาจารย์ เกิดอะไรขึ้น ? แย่งวิญญาณอะไร ? มีคนกําลังแย่งวิญญาณผีเจ็ดตัวนี้กับเราเหรอ ?”
อาจารย์ผยักหน้า “ใช่ เมื่อกี้ตอนแกเรียกพวกนั้น แต่เพราะมีใครบางคนขวางเอาไว้ และใครคนนั้นยังมีวิชาและพลังสูงกว่าแก ! ดังนั้นมันก็เลย หักธงเรียกวิญญาณของพวกแก ทําให้แกเรียกวิญญาณพวกนั้นไม่ได้อีก !”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมและเหล่าเฟิงก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้
ถ้าอย่างงั้น วิญญาณสกุลเหยียนทั้งเจ็ดตน ก็โดนคนอื่นจองเอาไว้ตั้งนานแล้วนะ
หรือจะพูดว่า ครอบครัวสกุลเหยียนทั้งเจ็ดคน อาจถูกใครบางคนฆ่าตายยกบ้าน
ผมคิดในใจแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับไม่อาจหาคําตอบได้
เพราะผมคิดว่าเจ้าอ้วนต้าโถวจผู้จัดการโชว์รูมคนนั้น ก็ดูไม่เหมือนคนเล่นของ และไม่ได้เป็นมิตรหรือศัตรูกับสกุลเหยียน ไม่จําเป็นต้องฆ่าพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่จําเป็นต้องขอให้พวกเราช่วยส่งวิญญาณผีเจ็ดตนนี้ให้เขานิ
พอลองคิดดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจจะรอดูว่าอาจารย์และท่านนักพรตตู้จะทํายังไงต่อ
ตอนนี้ท่านนักพรตต์เอาดาบไม้ของผมไปถือไว้ และเริ่มรําสองสามท่า
ต่อจากนั้นก็กัดนิ้วมือ จุมผงชาด แล้วนําไปป้ายบนดาบไม้อีกที
พอทําเสร็จแล้ว ท่านนักพรตคู่ก็ทํามือเป็นรูปดาบ และตะโกนออกมาทันที “ขอเชิญเทพลุ่ย ลิ้ง ยก !”
หลังจากเสียงดังขึ้น ดาบไม้ทาผงชาดในมือ ก็ชี้ไปที่เสาแขวนธงเรียกวิญญาณที่หักอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเองฉากที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
“พรึบ” จู่ๆเสาอันนั้นก็ยกขึ้นตั้งอีกครั้ง แม้จะไม่ปักลงดิน แต่ก็เกาะแน่นเหมือนกาว ไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลย
หลังธงเรียกวิญญาณตั้งขึ้น ท่านนักพรตต์ก็คว้า ข้าวเหนียวที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งกํา จากนั้นก็โยนไปที่เทียน
“ตูม” เปลวไฟลุกโชน เมื่อเปลวไฟนี้ปรากฏขั้น ท่านนักพรตต์ก็เปลี่ยนท่าประสานมือ และตะโกนออกมาอีกครั้ง “กลับมา !”
เสียงทุ่มต่ําแต่ดังก้อง ขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น สายลมที่หายไปก็เริ่มโบกสะบัดอีกครั้ง
เสียง “ฮฮฮ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าจะพัดเข้ามายังไง เทียนบนโต๊ะบูชา ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดับเลย
ไม่เพียงเท่านี้ ขณะที่ท่านนักพรตต์ตะโกน น้ําสามถ้วยบนโต๊ะบูชาก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เสียง “ปุ๋ยๆๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่สีหน้าของท่านนักพรตตู๋กลับดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หรือแม้แต่ทําหน้าหนักใจด้วยซ้ํา
หลังจากเปลี่ยนท่าประสานมือสองสามครั้ง แต่เราก็ยังไม่เห็นวิญญาณออกมาปรากฏตัว ท่านนักพรตต์จึงพูดกับอาจารย์ว่า “เหล่าติง ช่วยสร้างสะพาน กับหุ่นฟางอีกเจ็ดตัวให้หน่อย ! เร็ว !”
หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตต์ก็เปลี่ยนท่าประสานมืออีกหลายท่า เห็นได้ชัดว่าเขากําลังใช้พละกําลังเยอะมาก ตรงหน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อ ดออกมา
ต้องรู้ว่าตอนนี้เป็นหน้าหนาว และหิมะก็ตกแล้ว
ทุกอย่างเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที ท่านนักพรตต์ก็ร้อนจนเหงื่อออกแล้ว จะเห็นได้ว่ามันกินพลังเยอะมาก
อาจารย์จะกล้าชักช้ได้ยังไง เขารีบทํา “สะพาน” ในเวลาเดียวกันก็พูดกับผมและเหล่าเฟิงว่า “พวกแกสองคนไปทําหุ่นฟาง ! จําไว้ หุ่นฟางต้องยาวสามนิ้ว”
สามนิ้ว ก็คือสูงสิบเซนติเมตร
ผมและเหล่าเฟิงไม่กล้าลีลา รีบหาพวกหญ้าแห้งที่อยู่รอบๆ มาทําหุ่นฟางทันที
เนื่องจากเราหาฟางจากแถวนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้หญ้าแทนเท่านั้น
โชคดีที่ที่นี่คือหลังเขา มีหญ้าแห้งอยู่มากมาย
ผมและเหล่าเพิ่งเข้ามาทํางานนานแล้ว ทําหุ่นฟางคนกระดาษอะไรพวกนี้ แทบจะกระดิกนิ้วก็ทําเสร็จแล้ว ไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด
หุ่นฟางเจ็ดตัว ผมและเหล่าเพิ่งใช้เวลาทําไปไม่ถึงห้านาที
ส่วนอาจารย์ ก็รวบรวมพวกกรวดและกิ่งไม้ที่อยู่รอบๆ มาวางเป็นเหมือนสะพาน มันง่ายมาก
“อาจารย์หุ่นฟาง !” ผมรีบยื่นหุ่นฟางให้อาจารย์
อาจารย์รับไปถือไว้ หลังจากนั้นก็วางเอาไว้เรียงแถวที่ปลายสะพาน
สุดท้ายก็หยิบไก่ที่ตายแล้วขึ้นมา ดึงขนออกมาหลายเส้น จากนั้นก็นําไปปักไว้ที่ตัวหุ่นฟาง
พอทําเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว อาจารย์ก็พูดกับท่านนักพรตต์ว่า “เหล่าตู้ เสร็จแล้ว”
พอท่านนักพรตต์ได้ยินคําพูดนี้ ก็ไม่ได้ตอบกลับ เพียงท่องคาถาออกมาสองสามประโยค จากนั้นก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง “กลับมา !”
เสียงทุ่มต่ํา ดาบในมือเขาเริ่มสั่นแล้ว
ขณะที่เสียงของท่านนักพรตตู้ดังขึ้น ลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามา
ตอนสายลมปรากฏขึ้น ทันใดนั้นพวกเราก็พบว่า หนึ่งในหุ่นฟางที่อยู่บนพื้น กลับลุกยืนขึ้นมาหนึ่งตัว
พอผมและเหล่าเฟิงเห็นภาพนี้ ก็อดทําตาเบิกกว้าง และเผยในเห็นสีหน้าประหม่าไม่ได้
อาจารย์ยกกําปั้นขึ้น “ดี กลับมาแล้วหนึ่ง ! เหล่า ทําต่อไป…..”
ท่านนักพรตตู้เปลี่ยนท่าประสานมืออีกครั้ง และตะโกนออกมาว่า “กลับมา !”
หลังเสียงนี้ดังขึ้น ซึ่งเรียกวิญญาณก็โบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง จู่ๆหุ่นฟางสองตัว จากหกตัวที่เหลือก็ลุกขึ้น แสดงให้เห็นว่ากลับมาอีกสองตัวแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าท่านนักพรตค่อนข้างเหนื่อยแล้ว เหงื่อออกไม่หยุด ดาบก็เริ่มสันเรื่อยๆ
ต่อมา หลังท่านนักพรตต์กัดฟันเรียกวิญญาณกลับมาได้สองตนแล้ว ท่านนักพรตต์ก็ทนไม่ไหวแล้ว
เขาหันมาทางพวกเรา แล้วพูดกับอาจารย์ว่า “เหล่าติง รีบช่วยฉันโบกธงหน่อย !”
พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น ก็ไม่พูดอะไรสักนิด เดินตรงออกไปทางธงเรียกวิญญาณ แล้วจับขี้นมาถือทันที
ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็ประสานมือข้างหนึ่ง และพูดออกมาว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง !”
ขณะที่เสียงอาจารย์ดังขึ้น ทางฝั่งท่านนักพรตตู๋ก็ดูสบายขึ้นไม่น้อย มือก็ไม่ได้สั่นขนาดนั้นแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็มีกลับมาอีกหนึ่งตน
ตอนนี้ เหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้น
แต่ดูเหมือนตนสุดท้ายจะค่อนข้างดึงกลับมายาก หลังจากทั้งสองฝ่ายยื้อกันมาพักใหญ่ เราก็ไม่เห็นหุ่นฟางลุกขึ้นมาสักที
ผมและเหล่าเฟิงพลังไม่พอ เลยเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนมองหัวร้อนอยู่ข้างๆ
ใครกันแน่นะ ที่กําลังแย่งวิญญาณกับเราแล้ว ทําไมถึงต้องแย่งวิญญาณสกุลเหยียนเจ็ดตนนี้ด้วย
ยิ่งคิดเยอะเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับศัตรูเก่าของเราหรือเปล่า
เนื่องจากโลกที่เราอยู่นั้นกว้างใหญ่ หมอผีชั่วที่เจอในตอนนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ถ้ามีหมอผีมาแย่งวิญญาณ งั้นก็อาจเป็นฝีมือของศัตรูเก่าไม่กี่ตัวนั้น
ท้ายที่สุด หลังจากยื้อกันมาประมาณสิบห้านาที หุ่นฟางตัวสุดท้าย ก็ค่อยๆลุกขึ้นต่อหน้าพวกเรา
หุ่นฟางตัวสุดท้ายเพิ่งลุกขึ้น อาจารย์ก็รีบพูดกับผมและเหล่าเฟิงว่า “เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง รีบทําลายสะพาน ตัดทาง……”