ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 5 : คุณคือยาของฉัน (2)
“ไม่ใช่นะ!” เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมาจากหน้าผากของเฉินหลาย เขารีบลุกลี้ลุกลนพูดจนลิ้นพันกันว่า “ผมลองใช้ยาแก้พิษทั้งหมดแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผล! เธอไม่ดีขึ้นเลย ในความเป็นจริงอาการเธอแย่ลงด้วยซ้ำ!”
“แย่ลง?” ฮัวเฉาเหิงไม่เชื่อหูตัวเอง “กรณีเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเธอคืออะไร? เธอไม่ได้โดนวางยาพิษ ถ้าเราไม่มีตัวเลือกอื่น เราจะปล่อยให้เธออดทนจนอาการหายไปเอง ไม่ใช่ว่าเธอจะตายสักหน่อย”
“อดทนจนหายเองเหรอ? คุณคิดว่าเธอคือหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการพิเศษของคุณหรือไง!” ดวงตาของผู้เป็นหมอเบิกกว้างและลำคอของเขาก็ตั้งตรงด้วยความขุ่นเคือง เขาคิดว่าคำแนะนำของอีกฝ่ายป่าเถื่อนมาก
การเกณฑ์ทหารเข้ากองกำลังปฏิบัติการพิเศษนั้นแตกต่างจากการเกณฑ์ทหารทั่วไป พวกเขาจะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก เพราะงานของพวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางทีเขาจะต้องใช้วิธีสกปรกในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง
รวมถึงทหารในหน่วยปฏิบัติการพิเศษแต่ละคนจะต้องได้รับการฝึกฝน ให้ร่างกายต้านทานยาพิษ ยาปลุกเซ็กส์ หรือยาอื่น ๆ อีกด้วย
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ในขณะนี้ฮัวเฉาเหิงมีสีหน้าที่พร้อมจะฆ่าคนได้เลย
เฉินหลายหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาอีกครั้งพลางพึมพำว่า “เธอดิ้นแรงมาก ดูสิ เชือกที่มัดเธอแทบจะขาดแล้ว”
เขาชี้ไปที่มุมหนึ่งซึ่งมีเชือกไนล่อนสีขาวที่กำลังจะขาดเป็นสองท่อน
ผู้ปกครองหนุ่มมองไปที่เชือกและพูดว่า “ลองให้ยากล่อมประสาทกับเธอดู ให้เธอหลับไป 1 หรือ 2 วัน”
มันเป็นเพียงยาปลุกเซ็กซ์ที่ไม่น่าถึงตาย เพียงแค่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น
หน่วยปฏิบัติการพิเศษต้องผ่านการฝึกอบรมการต่อต้านการล่อลวงและเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ พวกเขาจำเป็นต้องพิสูจน์ว่าสามารถต้านทานผลของยากระตุ้นทางเพศได้ดีด้วยถึงจะผ่านการทดสอบ
ในการทดสอบทหารจะถูกฉีดยาปลุกเซ็กซ์ในปริมาณเล็กน้อย สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจถึงวิธีการทำงานของยา นอกจากนี้พวกเขายังต้องเข้าใจถึงวิธีการใช้มาตรการตอบโต้ที่จำเป็นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าในระหว่างที่ยาออกฤทธิ์มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้าย แต่ผลกระทบมักจะหายไปในที่สุด
หมอหนุ่มหลับตาลง “ก็ได้ ผมจะให้เธอกินยากล่อมประสาท แต่ผมไม่รับประกันนะ ผมจะใส่เครื่องช่วยหายใจให้เธอ แล้วผมจะตรวจดูอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรของเธอด้วย”
ฮัวเฉาเหิงพยักหน้า “จัดการเลย”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปหากู้เหนียนจื่อ
ฮัวเฉาเหิงนั่งบนขอบเตียง เขาจับไหล่ของหญิงสาวด้วยมือข้างหนึ่งและจับแขนของเธอไว้กับมืออีกข้าง โดยที่แรงจับเขานั้นทรงพลังเหมือนกับที่หนีบโลหะ ทำให้อีกฝ่ายที่กำลังดิ้นรนอย่างรุนแรงเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาถูกตรึงไว้แน่น
เฉินหลายหาเส้นเลือดของเธอและฉีดยากล่อมประสาทเข้าไปทันที
ในระหว่างการฉีดยากล่อมประสาท คนเป็นผู้ปกครองสังเกตเห็นว่ากู้เหนียนจื่อดิ้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้ใช้แรงเต็มที่เพราะเขากลัวว่าจะทำร้ายเหนียนจื่อ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทุ่มแรงทั้งหมดไปที่มือของเขา
เขาตรึงไหล่ของเธอไว้ ก่อนจะปล่อยมือหลังจากที่เฉินหลายฉีดยากล่อมประสาทเสร็จแล้ว
ร่างกายของหญิงสาวกระตุกหนึ่งครั้งจากนั้นก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลง
ผู้เป็นแพทย์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากและพูดอย่างอาย ๆ ว่า “ผมน่าจะคิดได้ว่าควรให้ยากล่อมประสาทกับเธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้”
ในขณะที่เขาพูดอย่างนั้นเขาสวมหน้ากากออกซิเจนให้คนที่ไม่ได้สติและติดตั้งอุปกรณ์ที่ไว้ใช้ตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรของเธอ
ฮัวเฉาเหิงพยักหน้าและลุกขึ้นจากเตียง
ตอนนี้แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาหันไปมองกู้เหนียนจื่อที่สงบลงแล้วพูดว่า “อืม ฉันจะกลับไปพักสักหน่อย…”
เขายังพูดไม่จบประโยค จอภาพที่เฉินหลายตั้งค่าเสร็จแล้วเริ่มส่งเสียงร้องขึ้นมา
เสียงสัญญาณชีพจรดังก้องไปทั่วห้องคนป่วยราวกับเสียงไซเรนของตำรวจ ทำให้เฉินหลายตกใจมากจนเกือบล้มลง
“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?” เขากระโดดไปตรวจสอบตัวเลขบนจอภาพและใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “เวรล่ะ ทำไมความดันโลหิตของเธอถึงพุ่งปรี๊ดเลย! อัตราการเต้นของหัวใจเธอเพิ่มขึ้น และดูเหมือนว่าเธอจะหายใจไม่ออก มันก็แค่ยากล่อมประสาทเอง!”
กู้เหนียนจื่อมีอาการแพ้ยากล่อมประสาท
หมอหนุ่มไม่มีเวลาที่จะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพูดขึ้นมาทันทีว่า “เราต้องให้อะไรเธอเพื่อต่อต้านยากล่อมประสาทตอนนี้ ไม่งั้นเธอจะตาย”
ฮัวเฉาเหิงพยักหน้า “รีบทำเร็ว!”
เฉินหลายหยิบเข็มฉีดยาอีกอันมาฉีดใส่เส้นเลือดของคนที่หมดสติอยู่
หลังจากได้รับยาตัวนี้ ความดันโลหิตของกู้เหนียนจื่อก็เริ่มลดลงเกือบจะในทันที อัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรของเธอก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน แต่นี่ก็หมายความว่าเธอจะไม่สงบอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้อาการร้อนรุ่มฝังลึกเข้าไปในอวัยวะและกระดูกของเจ้าของร่าง เธอรู้สึกเหมือนถูกมดนับล้านตัววิ่งผ่านเส้นเลือดเหมือนกับว่าเธอถูกใครบางคนเอาขนนกมาลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอ
หญิงสาวไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงร้องออกมาว่า “ไม่ไม่! ได้โปรดช่วยฉัน ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันที ฮัวเฉา!”
จู่ ๆ พละกำลังมหาศาลก็เพิ่มขึ้นมา ทำให้เธอดิ้นหลุดออกจากพันธนาการและปลดเครื่องช่วยหายใจออกพร้อมกับดึงสายระโยงระยางทิ้งไปก่อนจะกลิ้งจนเกือบตกโซฟา
ตอนนี้สภาพของเธอเหมือนคนลงแดง
“เป็นไปได้ยังไง” ในที่สุดฮัวเฉาเหิงก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้อีก ตอนนี้สีหน้าของเขากำลังเปลี่ยนไป
ในขณะที่เฉินหลายทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ “ผมรู้สึกว่ายาตัวนี้มีอะไรแปลก ๆ ผมเริ่มการวิเคราะห์ส่วนประกอบของยาหลังจากที่ได้รับตัวอย่างเลือดมา แต่การวิเคราะห์ย้อนกลับนั้นจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ!”
“นายต้องใช้เวลานานแค่ไหน?” คิ้วเข้มของนายพลหนุ่มขมวดแน่น
“ผมไม่แน่ใจ อาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 6 ชั่วโมง” คนเป็นหมอมองดูนาฬิกาของเขา “แล้วในอีก 6 ชั่วโมงนี้เราจะทำยังไงกันดี ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์ตัวยาได้สำเร็จ เธออาจจะตายแล้วก็ได้”
ร่างสูงของฮัวเฉาเหิงเกร็งแน่นจนตัวสั่น เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้เหนียนจื่อที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา
ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ปกครองของเธอเมื่อเธออายุเพียง 12 ปี หลังจากนั้นเธอก็เติบโตมาภายใต้การดูแลของเขา
ในสายตาของฮัวเฉาเหิง เธอยังคงเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
แต่ตอนนี้ร่างกายของหญิงสาวถูกทรมานด้วยฤทธิ์ของยาปลุกเซ็กส์ มันจึงทำให้เขามองร่างกายของอีกฝ่ายด้วยความคิดที่สัปดน
เขาดึงสายตาออกจากเธอและมองไปที่เฉินหลายแทน “จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
คนถูกถามส่ายหัว “ผมยังไม่รู้แน่ชัด แต่เมื่อพิจารณาจากข้อมูลปัจจุบันของเธอ ยาอาจจะทำลายระบบประสาทส่วนกลางของเธอถ้าเธอไม่ได้รับการบรรเทาความต้องการจากฤทธิ์ยาที่รุนแรงในเร็ว ๆ นี้ หากเป็นอย่างนั้น สถานการณ์ที่เป็นไปได้สูงที่สุดคือเธอจะกลายสภาพเป็นผัก”
คิ้วของชายร่างสูงขมวดแน่นอีกครั้ง เขาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย เมื่อรองเท้าบูทสำหรับขี่ม้าของเขากระทบกับพื้นจึงทำให้เกิดเสียงตามจังหวะการเดินที่มั่นคงและไม่เร่งรีบ ในขณะนี้กู้เหนียนจื่อกำลังตัวสั่นเทาร้องครวญครางเหมือนรู้ว่าเขาเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น เธอลืมตาขึ้นและหันหน้าไปทางผู้ปกครองของเธอพลางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เลื่อนลอย
ในเวลาเดียวกันความปรารถนาอันเร่าร้อนแสดงให้เห็นอย่างเปิดเผยบนใบหน้าเล็กรูปไข่ของเธอ
เฉินหลายแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนนี้เธอคงล่องลอยไปไกลแล้ว สติของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป… ไม่เชื่อผมเหรอ? คุณลองเรียกชื่อเธอดูสิ เธอไม่ตอบกลับหรอก”
ฮัวเฉาเหิงหยุดอยู่หน้าโซฟาและอุ้มกู้เหนียนจื่อขึ้นมา ในตอนนี้เธอยังคงถูกมัดอย่างแน่นหนา แต่หัวของเธอจะไม่หยุดกระแทกอกของเขา ทหารหนุ่มจึงต้องจับศีรษะของเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง “ฉันจะพาเธอไปที่ห้องพักของฉัน”
เขามีที่พักส่วนตัวบนพื้นที่ของฐานปฏิบัติการพิเศษพร้อมด้วยบ้าน 3 ชั้น นอกจากนี้ที่นั่นยังมีการป้องกันอย่างแน่นหนา รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง ทำให้มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปข้างในได้
แพทย์หนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “ผมกำลังจะบอกแบบนั้นอยู่พอดี บ้านพักของคุณปลอดภัยกว่าที่นี่มากเพราะที่นี่มีคนเข้าออกมากเกินไป ถ้ามีใครเห็นเธอในสภาพนี้มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
แม้ว่าทหารที่อยู่รอบตัวพวกเขาในขณะนี้สามารถเชื่อใจได้เพราะพวกเขาได้ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย แต่เนื่องจากกู้เหนียนจื่อเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา ๆ และภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของเธอเอาไว้ก่อน
หลังจากที่พูดจบเฉินหลายนำผ้าห่มมาคลุมกู้เหนียนจื่อ
ฮัวเฉาเหิงมัดคนในอ้อมแขนไว้ในผ้าห่มแล้วขึ้นลิฟต์ตัวเดียวในคลินิกของเฉินหลายลงไปที่ทางเดินใต้ดิน จากทางเดินนั้นเขาเข้าไปในห้องใต้ดินของอาคารและขึ้นไปที่ชั้น 3
คนเป็นแพทย์เดินตามมาข้างหลังโดยถือชุดเครื่องมือแพทย์ฉุกเฉินไว้ นอกจากนี้ในมือของเขามีกระเป๋าแล็ปท็อปที่อัดแน่นไปด้วยกระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือซึ่งเขายังไม่ได้คีย์ข้อมูลเข้าไปในแล็ปท็อป
เมื่อพวกเขามาถึงชั้น 3 ที่เป็นบ้านพักของฮัวเฉาเหิง พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าเข้าไปในห้องนอนของเหนียนจื่อและวางเธอลงบนเตียงเล็ก ก่อนที่ฮัวเฉาเหิงจะแก้มัดเชือกให้เธอ
แต่ในขณะที่แขนขาของเธอเป็นอิสระ หญิงสาวก็กระโจนใส่เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่มีดวงตาแดงก่ำ แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่เขาต้องตรึงข้อมือทั้งสองของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างเดียวของเขา แล้วหันไปหาเฉินหลายพร้อมกับพูดว่า “มาช่วยฉันที”
หมอหนุ่มมองไปที่เขาแล้วชี้มือไปอีกทาง “มัดแขนขาเธอไว้กับเตียง เอาให้แน่นจนเธอขยับไม่ได้เลยนะ”
ฮัวเฉาเหิงหันกราบมามองแขนที่เปลือยเปล่าของกู้เหนียนจื่อ มันเป็นสีม่วงช้ำจากการใช้เชือกไนลอนมัดตัว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ค้นดูในตู้เสื้อผ้าของเขา ก่อนจะหยิบเอาผ้าพันคอสีครามหลายผืนมามัดหญิงสาวไว้กับเตียงทันที