ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 47 : แอนติบอดี้
พอเห็นเหม่ยเสี่ยวเหวิน กู้เหนียนจื่อก็ยกกระเป๋าขึ้นเหนือศีรษะและวิ่งไปหาเขา
ร่มไม่ใหญ่พอสำหรับสองคน พวกเขาทั้งสองจึงยืนเบียดกันอยู่ใต้ร่มนั้นขณะที่พวกเขาเดินไปยังที่จอดรถนอกห้องสมุด
แต่ถ้าดูให้ดี ๆ จะเห็นว่าร่มเอียงไปทางหญิงสาวตลอดทาง ทำให้ตัวชายหนุ่มเปียกโชกไปข้างหนึ่งแล้วในที่สุดง่วงเขาก็ขึ้นรถ
“เสี่ยวเหวิน นายมีเสื้อผ้าสำรองในรถของนายไหม? นายควรถอดเสื้อเปียก ๆ นี้ออกก่อน” กู้เหนียนจื่อพูดด้วยความหวังดี
คนเราเป็นเพียงมนุษย์ที่ประกอบด้วยเนื้อและเลือด เธอจะไม่สนใจเขาได้ยังไง?
เหม่ยเสี่ยวเหวินดีต่อเธอมาก และเธอก็รู้ดี เธอรู้สึกซาบซึ้งในความจริงใจของเขามาก นั่นทำให้เธอเปลี่ยนวิธีที่เธอพูดกับเขาโดยไม่รู้ตัว
เจ้าของชื่อดีใจมากที่ได้ยินหญิงสาวเรียกเขาด้วยชื่อจริง เขายิ้มกว้างและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง เสื้อของฉันกันน้ำได้”
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันไม่อยากให้นายป่วยหลังจากโดนฝนเปียกโชกไปทั้งตัว ฉันคงจะรู้สึกแย่มาก”
“โอ้ ถ้าเธอจะมาเยี่ยมฉันเวลาที่ฉันไม่สบาย ฉันก็อยากป่วยอยู่นะ”
ใบหน้าของสาวน้อยกลายเป็นสีชมพูเล็กน้อย เธอกระแอมไอ แล้วไม่สนใจคำพูดของอีกคน “ตอนนี้ฝนตกหนักมาก ไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหารกันเถอะ”
“โอเค” เหม่ยเสี่ยวเหวินหมุนพวงมาลัยขับรถไปที่โรงอาหาร 3 ของมหาวิทยาลัย C
ตอนแรกเขาวางแผนที่จะพากู้เหนียนจื่อไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านข้างนอกมหาวิทยาลัย แต่เธอคิดถูก แม้ว่าพวกเขาจะมีรถ แต่ฝนยังตกหนัก ซึ่งหมายความว่าการจราจรจะแย่กว่าปกติ
พวกเขาเข้าไปในโรงอาหาร ข้างในนั้นมีคู่รักอยู่ทุกหนทุกแห่ง บ้างก็ป้อนอาหารกัน บ้างก็แลกจูบกันหลังทานอาหารเสร็จ ดูเหมือนว่าคู่รักเหล่านี้จะไม่รู้สึกว่าปากของพวกเขาอาจจะมันเกินกว่าจะจูบได้ในตอนนี้…
หญิงสาวเคยไม่สนใจคู่รักพวกนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เธอพบว่ามันน่าขยะแขยง เธอเบือนหน้าหนีและจ้องตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ขณะที่เธอเดินตามหัวหน้าห้องไป พวกเขาเลือกนั่งที่ริมหน้าต่างเป็นแบบโต๊ะสองที่นั่ง
เหม่ยเสี่ยวเหวินกล่าวว่า “นั่งเลย ฉันจะไปเอาอาหารของเราเอง”
เขาเป็นคนช่างคิดและมีน้ำใจมาก
กู้เหนียนจื่อรู้สึกว่าการรับประทานอาหารกลางวันกับเขาที่นี่มันสนุกกว่าอาหารค่ำอิตาลีราคาแพงที่พวกเขาไปกันเมื่อคืนก่อนมาก และนั่นก็แพงกว่า 10,000 หยวน
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ เหม่ยเสี่ยวเหวินพาเธอไปที่ห้องสมุด แล้วเขาก็นั่งอยู่กับเธอตลอดบ่าย
ทั้งคู่ต่างก็วุ่นอยู่กับการค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับวิทยานิพนธ์ของตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเหนื่อยและต้องการพักหายใจ พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นมองและยิ้มให้กัน เมื่อวันเวลาผ่านไป ระยะห่างระหว่างพวกเขาค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ
ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ชายหนุ่มจะนำอาหารมาให้กู้เหนียนจื่อทุกเช้า แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นด้วยกันอีก
แม้ว่าวันไหนที่เหม่ยเสี่ยวเหวินจะยุ่ง เขาก็ยังโทรหาเธอในช่วงเวลาอาหารสามครั้งต่อวัน เขาบอกเธอทางโทรศัพท์ว่าเขาทำอะไรมาบ้าง และอยากรู้ว่าเธอสบายดีไหม เขายังถามเธอด้วยว่าเธอจะออกไปเที่ยวกับเขาในช่วงสุดสัปดาห์หรือเปล่า
จนถึงตอนนี้กู้เหนียนจื่อยังคงรอโทรศัพท์จากฮัวเฉา ตอนนี้เป็นวันศุกร์แล้วและเธอยังไม่ได้รับการตอบกลับจากเขา เธอไม่ต้องการโทรหาเฉินหลายอีกครั้งและยืนยันว่าเขาจะติดตามเรื่องนี้ เพราะเธอรู้สึกเกรงใจที่จะถามหยินชือฉงและเจี้ยวเลี่ยงจื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงรอคอยคำตอบมาตลอดทั้งสัปดาห์ ในบ่ายวันศุกร์ หลังเลิกเรียนวันสุดท้าย เธอพบว่าตัวเองกำลังขอโทษเหม่ยเสี่ยวเหวินที่ตั้งตารอที่จะใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์กับเธอ “เสี่ยวเหวิน สุดสัปดาห์นี้ฉันไปเที่ยวกับนายไม่ได้ พอดีมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ฉันต้องกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของฉัน”
“เอ๊ะ มีเรื่องอะไรเหรอ? ให้ฉันไปกับเธอไหม” เหม่ยเสี่ยวเหวินเพิ่งมีความคืบหน้าในความสัมพันธ์ของเขากับกู้เหนียนจื่อ ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะแยกจากเธอในตอนนี้
แม้ว่าเขาจะจบการศึกษาในเร็วๆ นี้ และวิทยานิพนธ์ของเขาใกล้จะเสร็จแล้ว นอกจากนี้เขาเป็นคนที่ยุ่งมาก เขายังคงมีหน้าที่รับผิดชอบในฐานะสมาชิกสภานักศึกษา แล้วก็ไม่ใช่แค่งานในคณะของเขาเท่านั้น แต่เขายังมีงานทั่วไปในมหาวิทยาลัยอีกด้วย วัน ๆ หนึ่งเขานอนหลับเพียงสามหรือสี่ชั่วโมงเพื่ออยากหาเวลาอยู่กับคนที่เขารัก
ในที่สุดวันนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่รอคอยมานาน ทั้งสองคนสามารถใช้เวลาร่วมกันได้โดยไม่มีอะไรมาขวาง และกู้เหนียนจื่อก็ไม่ได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วย
หญิงสาวไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เธอต้องกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เพราะเฉินหลายบอกให้กลับไป
เธอต้องไปตรวจสุขภาพทุกสัปดาห์
แม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับเธอ แต่เฉินหลายเป็นหมอ ถ้าเขาคิดว่าจำเป็นต้องไปตรวจทุกสัปดาห์ เธอจะเถียงอะไรได้?
น้ำเสียงของกู้เหนียนจื่อนั้นอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความอบอุ่นขณะที่เธอพูดว่า “พอดีว่าผู้ปกครองต้องการพบฉัน แล้วฉันจะพานายไปพบเขาตอนที่เรามีเวลา”
กู้เหนียนจื่อกำลังจะบอกว่าเธอต้องการแนะนำให้เขารู้จักกับพ่อแม่ของเธออย่างนั้นเหรอ?
เหม่ยเสี่ยวเหวินดีใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดว่า “ถ้ามีอะไรโทรหาฉันนะ” จากนั้นเขาก็ถามว่า “เธอมีเงินพอใช้ไหม? บัญชีอาลีเพย์ของเธอคืออะไร? ฉันจะโอนเงินให้เธอ”
“อะไรนะ? เอ่อ… ฉันไม่มีบัญชีอาลีเพย์” สาวน้อยพูดตะกุกตะกัก เธอก้มศีรษะลงขณะพูดเพราะรู้สึกผิดและเคอะเขิน
ที่จริงเธอมีบัญชีอาลีเพย์ แต่เจี้ยวเลี่ยงจื่อเป็นคนดูแลและควบคุมทุกอย่างเกี่ยวกับบัญชี เขาจะได้รับแจ้งทันทีหากมีการทำธุรกรรม
นี่คือเหตุผลที่กู้เหนียนจื่อไม่ต้องการให้บัญชีอาลีเพย์แก่เหม่ยเสี่ยวเหวิน
ถ้าเขารู้เกี่ยวกับบัญชีของเธอและโอนเงินให้เธอ ฮัวเฉาจะรู้เรื่องนี้ เธอไม่รู้ว่าฮัวเฉาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้…
แต่พอหัวหน้าหนุ่มได้ยินอย่างนั้น ความเห็นอกเห็นใจของเขาที่มีต่อสาวน้อยคนนี้ก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ผู้ปกครองของเธอไม่คิดจะเตรียมบัญชีอาลีเพย์ให้กับเธอได้ยังไง นั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
น่าละอายจริง ๆ!
หลังจากนั้นความเงียบงันก็ลอยในอากาศอยู่นานขณะที่เหม่ยเสี่ยวเหวินยุ่งอยู่กับโทรศัพท์ของเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาใช้บัตรธนาคารของตนเองเพื่อลงทะเบียนบัญชีอาลีเพย์ใหม่ให้กับเธอ จากนั้นจึงส่งข้อความถึงหมายเลขบัญชีและรหัสผ่านให้เธอพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันอาจจะไม่อยู่ในเมืองช่วงสุดสัปดาห์นี้เหมือนกัน เธอใช้บัญชีนี้ไปก่อนนะ ตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว”
กู้เหนียนจื่อ: “…”
โทรศัพท์ของเธอยังคงอยู่ในมือระหว่างที่เธอกลับไปยังห้องพักเพื่อจัดของและเตรียมการสำหรับการเดินทางกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ในเขตเฟิงหยาง ยัยหนูชาเขียวฟ่างเห็นว่ากู้เหนียนจื่อกำลังจะกลับบ้าน เธอเอาแขนโอบไหล่อีกคนแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? มีอะไรหรือเปล่า”
สาวน้อยมองไปที่ฟ่างเหวินซิน เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดเฉลียวเมื่อพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ เธอโชว์โทรศัพท์ให้อีกฝ่ายดู “…นี่คือสิ่งที่รบกวนจิตใจฉัน เหม่ยเสี่ยวเหวินให้บัญชีอาลีเพย์กับฉัน ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี”
ยัยหนูชาเขียวฟ่างโน้มตัวไปดูโทรศัพท์ของเธอ ก่อนจะหัวเราะและตบหลังเธอ “ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าหัวหน้าห้องของเราอาจจะเป็น CEO ที่เจ้ากี้เจ้าการ มีเรื่องผิดใจกันเล็กน้อยเกิดขึ้นและเขาก็ให้บัญชีอาลีเพย์กับเธอแบบนี้! สาวน้อย เก็บบัญชีนี้ไว้ แล้วอย่าลืมซื้อของสักอย่างให้กับพี่สาวของเธอเพื่อเป็นของที่ระลึก”
กู้เหนียนจื่อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอส่ายหัวและพูดว่า “ฉันจะไม่ใช้มัน ถ้าฉันต้องการใช้ ฉันจะบอกเหม่ยเสี่ยวเหวินก่อน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้มันหรอก”
“สาวน้อยของฉันช่างแสนดีและซื่อสัตย์มากกกกกกก!” ยัยหนูชาเขียวฟ่างเอานิ้วจิ้มที่หน้าผากเธอ ก่อนจะหันหลังไปหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังของเธอ “ไปละน้า ฉันกลับก่อนล่ะ เจอกันอาทิตย์หน้า!”
รูมเมทของเธอกลับไปหมดแล้ว กู้เหนียนจื่อเป็นคนสุดท้ายที่กำลังจะกลับบ้าน
เธอเรียกแท็กซี่และหลังจากการเดินทางที่คดเคี้ยวไปทั่วเมืองก็มาถึงอพาร์ตเมนต์ดูเพล็กซ์ของเธอ ที่ชั้นบนสุดของอาคารอพาร์ตเมนต์ 28 ชั้น บล็อค C ในเขตเฟิงหยาง ตอนนั้นใกล้จะมืดแล้ว
เฉินหลายรออยู่ข้างในแล้ว เมื่อเขาเห็นเธอเข้ามา เขาก็โบกมือให้เธอทันทีและถามว่า “ทำไมเธอถึงใช้เวลานานนัก? มาเถอะ ฉันจะทำการทดสอบหน่อย”
หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเขา “พี่เฉิน ทำไมพี่ถึงมาที่นี่วันนี้? นี่มันยังวันศุกร์อยู่เลย ฉันคิดว่าพี่จะมาพรุ่งนี้เสียอีก”
ก่อนหน้านี้หมอหนุ่มใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในสภาพที่ปั่นป่วนสุดขีด
การใช้ข้อมูลที่ฮัวเฉาเหิงมอบให้เขา เขาได้ทำการตรวจสอบย้อนกลับกระบวนการผลิตไวรัส แต่เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่ายาที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมย้อนกลับนั้นทำงานเหมือนกับยาดั้งเดิมทุกประการ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำตามแบบอย่างของโอดะ มาซาโอะและทดสอบกับผู้หญิงที่มีชีวิต มีลมหายใจ เพื่อนร่วมชาติของเขาได้ลง…
ในการเปรียบเทียบข้อมูลทั้งสองชุด เขาได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจมาก ตัวอย่างเลือดที่เขาได้รับจากกู้เหนียนจื่อดูเหมือนจะมีผลยับยั้งไวรัส
สัญญาณทั้งหมดชี้ไปที่ระบบภูมิคุ้มกันของกู้เหนียนจื่อว่ามันกำจัดไวรัสด้วยตัวมันเอง เว้นเสียแต่ว่าเขาจะทำอะไรพลาดไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าเธอยังคงมีสุขภาพที่ดีต่อไปหรือประมาณนั้น ก็อาจจะปลอดภัยที่จะสรุปว่าร่างกายของเธอผลิตแอนติบอดี้เอง
การสร้างแอนติบอดี้เป็นก้าวสำคัญในการป้องกันอาวุธชีวภาพสังเคราะห์ อย่างเช่น ไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้น
เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายมนุษย์จะผลิตแอนติบอดี้ต่อต้านไวรัสตามธรรมชาติ แต่นี่ไม่ใช่กรณีสำหรับอาวุธชีวภาพสังเคราะห์ นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ H3aB7 ซึ่งสร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายเป็นมนุษย์โดยเฉพาะ เป็นไปไม่ได้เลยที่เป้าหมายของมนุษย์เหล่านี้จะผลิตแอนติบอดี้ที่จำเป็นออกมาได้เอง
หากเป้าหมายสามารถสร้างแอนติบอดี้ได้ แสดงว่าการทำงานของไวรัสล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในฐานะอาวุธชีวภาพ
ไวรัสสังเคราะห์ของโอดะ มาซาโอะอยู่ในขั้นตอนการปรับแต่งแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิต ซึ่งหมายความว่าไวรัสได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอาวุธชีวภาพที่ใช้งานได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าไม่มีร่างกายมนุษย์คนไหนที่จะสามารถผลิตแอนติบอดี้มาต่อต้านมันได้
แต่ถึงอย่างนั้นเลือดของกู้เหนียนจื่อก็ผลิตบางสิ่งที่สามารถยับยั้งไวรัสได้ และพวกมันดูเหมือนแอนติบอดี้มาก!