ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 42 : เราเป็นแค่พี่น้องกันจริง ๆ
“อย่าเข้าใจผิด เงินแค่ 150,000 หยวนเอง การให้คนอื่นยืมเงินแค่นั้นไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งฉันร่วงหรอก” เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้ม เขาอดไม่ได้ที่จะดึงกู้เหนียนจื่อเข้ามาในอ้อมแขนของเขาแล้วอธิบายอย่างอดทน “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้จักอ้ายเว่ยหนานตั้งแต่เรียนโรงเรียนมัธยม เราสนิทกันมากและครอบครัวของเราก็รู้จักกันด้วย”
“ใครเป็นห่วงนาย” หญิงสาวรู้ตัวว่ากำลังโดนฉวยโอกาส ตอนนี้เธอจึงขัดขืนเขา เธอเอียงศีรษะทำให้ต่างหูดอกไม้สีขาวทองที่ติ่งหูของเธอหักเหกับแสงแดดเป็นรุ้งเล็ก ๆ ทำให้ชายหนุ่มตาบอดชั่วครู่ เขายกแขนขึ้นเพื่อบังแสงและเธอก็ใช้โอกาสนี้ดันเขาออกไป ก่อนจะเดินกลับหอพักของเธออย่างรวดเร็ว
หัวหน้าหนุ่มยิ้มขณะที่มองดูอีกคนเดินหนีไปแล้วขับรถออกไปเมื่อเห็นเธอเข้าไปในอาคารแล้ว ระหว่างทางกลับเขาได้รับโทรศัพท์จากอ้ายเว่ยหนานอีกครั้ง
“หัวหน้าห้อง พี่ชายที่รักของฉัน! ฉันเป็นหนี้บุญคุณนาย ฉันดีใจมากที่มีนายเป็นเพื่อน” เสียงของปลายสายสั่นเครือ
เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้มพลางตอบว่า “เราเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้น”
“นี่ไม่ใช่การเกรงใจ นี่คือการขอบคุณ” อ้ายเว่ยหนานรู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ “หัวหน้า นายทำอะไรอยู่? เพิ่งสอบปลายภาคเสร็จเหรอ?”
“เปล่า ฉันใกล้จะเรียนจบแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้าน” ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวออกจากมหาวิทยาลัยและขับรถกลับไปที่บ้านของเขา
หญิงสาวที่อยู่ปลายสายคุยกับเขาสักพัก ระหว่างทางเขาบอกว่าคืนนี้เขาจะไปเลี้ยงฉลองเพื่อนที่ร้านอาหารเรดแมเนอร์ และเธอก็ขึ้นพูดมาอย่างอารมณ์ดีว่า “หัวหน้า! ฉันไม่ได้กินอาหารที่นั่นสองสามปีแล้ว ไว้มีโอกาสเรานัดกันไปกินดีกว่า!”
“ฮ่าๆๆ เอาสิ” เหม่ยเสี่ยวเหวินเลี้ยวเข้าไปในทางลาดของถนนเส้นหลัก “ฉันกำลังขับรถอยู่ ค่อยคุยกันอีกทีนะ ไว้เจอกัน”
“อืม บ๊ายบาย หัวหน้าห้อง!” อีกด้านหนึ่งของสาย อ้ายเว่ยหนานวางสายและมองไปยังเงิน 150,000 หยวนในบัญชีธนาคารของเธอและรู้สึกอิจฉาปนกับดีใจในทันที
รูมเมทของหญิงสาวจิ้มไหล่ของเธอและถามด้วยความสงสัย “อะไร? ทำไมเธอถึงนั่งยิ้มเหมือนคนบ้าแบบนั้น เมื่อวานเธอยังบ่นเรื่องเงินแสนอยู่เลย ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว”
“แน่นอน ฉันโอเคแล้ว ฉันยืมเงินมาได้” อ้ายเว่ยหนานยกโทรศัพท์ของเธอให้อีกฝ่ายดู “จำหัวหน้าห้องที่ฉันเล่าให้เธอฟังได้ไหม”
“จำได้ ๆ คนที่สุภาพ หล่อและรวยคนนั้นใช่ไหม ทำไมถึงถามถึงเขาล่ะ?”
“เขาให้ฉันยืมเงินมา ฉันแค่ถามเขา เขาก็โอนให้ฉันทันที”
รูมเมทตะโกนด้วยความเหลือเชื่อ “จริงเหรอ! เขาให้เธอยืมเงินเป็นแสนโดยไม่มีหลักประกันเลยเหรอ ! “
“ก็อย่างที่บอก หลักประกันอะไร? เธอคิดว่าฉันมีความสัมพันธ์แบบไหนกับเขา? เราเป็นเพื่อนสนิทกัน!” อ้ายเว่ยหนานหัวเราะเสียงดัง
“คงไม่มีพี่น้องแท้ ๆ หรือเพื่อนสนิทหรืออะไรก็ตามจะไม่โอนเงินให้เธอมากมายขนาดนี้โดยไม่สงสัยอะไรเลยหรอก” ดวงตาของเพื่อนร่วมห้องเบิกกว้างขึ้นทันใด และเธอก็จับไหล่ของอีกคน “เว้นแต่… เขาจะสนใจเธอ!”
“เป็นไปไม่ได้!” อ้ายเว่ยหนานตะโกนขึ้นมา แล้วใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ “เรา… เราเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ!”
รูมเมทสาวปล่อยมือลงขณะที่เธอมองดูอีกฝ่ายอย่างสงสัย ในขณะเดียวกัน อ้ายเว่ยหนานก้มศีรษะลงมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเธอ ดวงตาของเธอเป็นมันเงาและผิวดูเปล่งปลั่ง เธอดูสวยกว่าปกติจนอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ใบหน้าของตัวเองและพึมพำว่า “จริงเหรอ?”
เป็นไปได้ไหมที่หัวหน้าห้องจะชอบเธอ?
“แน่นอน เว่ยหนาน ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ ฉันบอกเธอได้เลยว่ามีผู้ชายไม่มากในโลกที่จะโอนเงินให้เธอมากขนาดนี้โดยไม่ถามอะไร เธอต้องจับเขาไว้ให้มั่น เธอโชคดีมาก!” เพื่อนร่วมห้องยกนิ้วโป้งให้เธอ
หญิงสาวรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดมากไปเอง” เธอวางโทรศัพท์และเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าชาแนลของเธอ “จริงสิ ตอนนี้ฉันยืมเงินมาแล้ว ฉันต้องเดินทางกลับบ้าน”
“บ้านเธออยู่ในเมือง C ไม่ใช่เหรอ”
พวกเธอกำลังเรียนมหาวิทยาลัยในเมือง Z และการขับรถจากที่นี่ไปยังเมือง C ต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่หากใช้รถไฟความเร็วสูง เวลาในการเดินทางจะลดลงเหลือเพียงครึ่งชั่วโมง
“ใช่ ฉันจะนั่งรถไฟกลับบ้านและกลับมาในวันพรุ่งนี้ เธอช่วยเช็คชื่อฉันและจดเลคเชอร์ให้หน่อยสิ ฉันน่าจะมาถึงตอนบ่าย”
“ไม่มีปัญหา”
…
เย็นวันนั้น เหม่ยเสี่ยวเหวินมารับกู้เหนียนจื่อและรูมเมทของเธอด้วยรถเอสยูวีไครสเลอร์ และขับรถไปที่ร้านอาหารเรดแมเนอร์ กู้เหนียนจื่อนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า ขณะที่ฟ่างเหวินซิน เฉาหยุนซานและหวังจุนหยานั่งด้านหลัง นอกจากนี้เหม่ยเสี่ยวเหวินได้พาเล่ยเฉียงเชิง รูมเมทของเขามาด้วย แต่ทุกคนเรียกเขาว่า ‘พี่เบิ้ม’ เพราะเขาทั้งสูงและแข็งแรงมาก เหม่ยเสี่ยวเหวินจอดรถและพาพวกเขาไปที่ร้านอาหาร
พอเดินมาถึงข้างใน พนักงานต้อนรับพาพวกเขาไปยังห้องส่วนตัวที่หัวหน้าห้องจองไว้ ห้องนั้นเป็นห้องสไตล์ยุโรปคลาสสิกที่มีโคมไฟระย้าระยิบระยับ ร้อยเป็นเส้นเดียวจากเพดานกระจก แล้วมีภาพเขียนสีน้ำมันของหญิงสาวเปลือยในสวนบนกำแพงด้านหนึ่งและภาพสีน้ำมันชุดดอกบัวในน้ำของโมเนต์ [1] ส่วนอื่น ๆ ได้เพิ่มองค์ประกอบที่ประณีตให้กับพื้นที่แล้วตกแต่งด้วยโซฟากำมะหยี่สีแชมเปญหลายตัวอยู่ใกล้ผนัง โต๊ะเล็ก ๆ ด้านข้างสองสามโต๊ะเต็มไปด้วยที่เขี่ยบุหรี่ กระดาษทิชชู่ และไม้อวบน้ำเล็ก ๆ วางอยู่บนช่องว่างระหว่างโต๊ะทั้งสอง
“ฉันสั่งอาหารอิตาลีสำหรับ 6 คนไปแล้ว” เห็นได้ชัดว่าเหม่ยเสี่ยวเหวินแวะเวียนมาที่นี่บ่อย ๆ จนคุ้นเคยกับอาหารและสถานที่มาก
ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารทรงกลม และพี่เบิ้มเริ่มยกยอยัยหนูชาเขียวฟ่าง “ยัยหนูชาเขียว วันนี้ชุดเธอสวยมาก เธอได้ชุดแบบนี้มาจากไหน”
หญิงสาวถือบุหรี่อันหรูหราไว้ระหว่างนิ้วที่เพรียวบางของเธอ ขณะที่เธอเป่าควันออกมาด้วยท่าทางสง่าและมองอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที “พี่เบิ้ม ฉันจะบอกแบรนด์ให้นายรู้ ถ้านายเช็ดน้ำลายออกจากปาก”
“ฉันน้ำลายไหลเหรอ” คนถูกทักรีบเช็ดปากของเขาด้วยผ้าเช็ดปากและรู้ตัวว่ายัยหนูชาเขียวฟ่างแค่พูดล้อเลียนเขา จากนั้นก็เขาไม่ได้สนใจมันและหัวเราะออกมา แล้วกล่าวชมเธอต่อไปเพราะความงดงามของฟ่างเหวินซินทำให้เธอเป็นเหมือนเทพธิดาสำหรับนักศึกษาชายส่วนใหญ่ในคณะนิติศาสตร์ เหม่ยเสี่ยวเหวินเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของเธอได้ เพราะเขาสนใจแค่กู้เหนียนจื่อเท่านั้น
เขานั่งข้างเธอและจัดช้อนส้อมให้เธออย่างอดทนพลางกระซิบบอกเธอเบา ๆ ถึงวิธีที่จะใช้มันและรินชานมให้เธอหนึ่งแก้ว ที่จริงกู้เหนียนจื่ออยากดื่มกาแฟดำแต่ก็ไม่ได้พูดขัดออกมา
“ขอบคุณนะหัวหน้า” ตอนนี้กู้เหนียนจื่อนั่งข้างเหม่ยเสี่ยวเหวิน โดยมีนางมารน้อยนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง นางมารน้อยวางคางของเธอไว้บนมือแล้วเอนตัวลงบนโต๊ะ เธอถามเหม่ยเสี่ยวเหวินอย่างแผ่วเบาว่า “หัวหน้าห้อง เมื่อไหร่เขาจะเสิร์ฟอาหาร? ฉันอดอาหารตั้งแต่เช้ามาเพื่อทานอาหารค่ำนี้เลยนะ”
“สาวน้อย ฉันมีคุกกี้ เอาไปกินรองท้องก่อนไหม” เล่ยเฉียงเชิงที่มีร่างกายกำยำมีมุมที่อ่อนโยนและชอบทานของขบเคี้ยว แน่นอนว่านี่เป็นอีกเทคนิคหนึ่งในการจีบสาวของเขา
ชื่อเล่นของหวังจุนหยาคือนางมารน้อย และเธอจะไม่หลงกลอุบายที่ใช้กับเด็กน้อยง่าย ๆ เธอแก้เกมโดยการยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้อีกฝ่ายจนเขาละลาย
“ฉันไม่ต้องการคุกกี้ ฉันอยากกินหัวหอมทอดกับปลาหมึกทอดมากกว่า”
“น้องครับ! เธอจะเอาหัวหอมทอดกับปลาหมึกทอดใช่ไหม” ชายหนุ่มร่างบึกบึนโบกมือให้พนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ในห้องส่วนตัวฝั่งตรงข้ามและตะโกนว่า “ผมขอหัวหอมทอดกับปลาหมึกทอด! เอาจานใหญ่เลย!”
เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้มออกมาในขณะที่เขาส่ายหัวแล้วหันไปหากู้เหนียนจื่อ “เธอเอาด้วยไหม? ทั้งสองเมนูรสชาติค่อนข้างดีเลยล่ะ”
“ฉันเหรอ? ฉันสั่งฟิชแอนด์ชิปส์ได้ไหม” หญิงสาวเอียงศีรษะถาม
สตรีทฟู้ดยอดนิยมของอังกฤษคือเมนูโปรดของเธอ มันถูกทอดในเนยที่มีกลิ่นหอมและเข้ากันได้ดีกับซอสทาร์ทาร์ นี่เป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่กู้เหนียนจื่อค่อนข้างชอบมันตรงที่ความพิถีพิถันในการเสิร์ฟของอาหารจานนี้
[1] ‘โคลด์ โมเนต์’ (Claude Monet) (1840–1926) จิตกรชาวฝรั่งเศสคนสำคัญของวงการศิลปะในศตวรรษที่ 19 – 20 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่