ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 39 : การสัมภาษณ์ (2)
คำถามของเฮอจือชูทำให้กู้เหนียนจื่อรู้สึกเหงื่อแตก เธอคิดในใจว่า ‘เขาเป็นหนึ่งในทนายความที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง เขารู้ดีว่าควรจะถามคำถามอะไร…’
เพื่อนร่วมชั้นของเธอรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงนักศึกษาโอนย้ายอีกคนที่มหาวิทยาลัย C แต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ไม่ใช่จริง ๆ เธอได้ผ่านการทดสอบพิเศษที่บริหารโดยกองทัพจักรวรรดิ ดังนั้นจึงได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ในประเทศโดยตรง
การเลือกมหาวิทยาลัย C ของเธอเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ
ตอนที่เธอตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกมหาวิทยาลัย เธอได้ยินฮัวเฉาเหิงพูดกับหยินชือฉงและเจี้ยวเลี่ยงจื่อ เลขานุการส่วนตัวสองคนของเขาทางโทรศัพท์ว่าจะตั้งฐานทัพหน่วยปฏิบัติการพิเศษในเมือง C แต่จักรวรรดิยังไม่มีเงินทุน
หากกู้เหนียนจื่อเลือกที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัย B ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง เธอจะต้องแยกทางกับฮัวเฉาเหิงและเธอจะถูกฝากให้อยู่ในความดูแลของหยินชือฉงแทน…
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย C อย่างไม่ลังเล
ตอนนี้เธอจบการศึกษาแล้ว เธอได้ยินมาว่าฝ่ายของฮัวเฉาเหิงกำลังจะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงของประเทศ ข้อมูลนี้ทำให้เธอมีความมั่นใจในการสมัครเข้าเรียนหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิตที่มหาวิทยาลัย B
ลึกลงไป เธอยังคงเป็นเด็กสาวคนเดิมที่ติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้ เธอยังคงหวาดกลัวกับความทรงจำของตัวเอง เธอไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วก็ไม่วางใจใครนอกจากฮัวเฉาเหิง
นับตั้งแต่อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและความไม่มั่นคงมาตลอด
เธอสบายใจแค่เวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่ม เธอต้องการอยู่กับเขาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย
แต่เรื่องนี้คงบอกเฮอจือชูไม่ได้ อันที่จริงเธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับฮัวเฉาเหิงด้วยซ้ำ มันถือได้ว่าเป็นความลับสุดยอดที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอ นอกจากนี้ เธอยังต้องเก็บตัวตนที่แท้จริงของฮัวเฉาเหิงเป็นความลับ
หญิงสาวก้มศีรษะลงและนั่งตัวตรง เธอพูดโดยเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง “มหาวิทยาลัย C อยู่ใกล้บ้านค่ะ ตอนนั้นหนูยังเด็กมาก หนูไม่อยากอยู่ห่างจากบ้านไปไกลนัก”
“โอ้ แล้วเธอมาจากที่ไหน กู้เหนียนจื่อ เธอโตที่ไหน?” ศาสตราจารย์หนุ่มปิดแฟ้มเอกสารและเอนหลังพิงเก้าอี้นั่งสบาย ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ในขณะที่ดวงตารูปอัลมอนด์ที่เฉียบคมของเขากำลังจับจ้องเธออย่างเย็นชา
ตอนนี้กู้เหนียนจื่อจำอะไรตั้งแต่ก่อนที่เธออายุ 12 ปีไม่ได้เลย
ความทรงจำของเธอหายไป และรถของเธอก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีใครเห็นหมายเลขบนป้ายทะเบียนรถ
สิ่งเดียวที่เธอมีติดตัวคือกระเป๋าเป้ใบเล็ก ข้างในนั้นมีรูปถ่ายและชุดของแผนภูมิข้อมูลบางอย่าง
ส่วนของรูปภาพนั้น เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในภาพคือกู้เหนียนจื่อ ด้านหลังภาพเขียนว่า “สำหรับวันเกิดปีที่ 11 ของกู้เหนียนจื่อ” วันที่ด้านล่างคือเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า
มันน่าจะง่ายพอที่จะตามหาพ่อแม่หรือญาติของเธอได้ แต่แม้แต่กองทัพจักรวรรดิที่มีการเข้าถึงข้อมูลและคอนเนคชั่นที่กว้างขวางก็ยังไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอมาจากไหน ซึ่งเรื่องนี้มันแปลกมาก
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของกองทัพจักรวรรดิที่จะขอให้ฮัวเฉาเหิงเป็นผู้ปกครองของเธอ
นี่เป็นธรรมเนียมของพวกเขาที่จะควบคุมเรื่องที่ไม่แน่นอนไว้อย่างแน่นหนา
ด้วยเหตุนี้ประวัติของกู้เหนียนจื่อจึงต้องถูกเก็บเป็นความลับ เมื่อเธอเข้ามหาวิทยาลัย C กองทัพได้ปลอมประวัติส่วนตัวของเธอแล้ว ซึ่งตอนนี้มันอยู่ในประวัติย่อของเธอ
หญิงสาวย้ำเนื้อหาของเรซูเม่ของเธออย่างใจเย็น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ใช้คำต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ฟังดูน่าสงสัย
‘ประสบการณ์’ เหล่านี้ทหารได้เตรียมพยานและหลักฐานทางกายภาพที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ใกล้เคียงที่สุดไว้แล้ว
กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของกองทัพจักรวรรดิได้สร้างตัวตนต่าง ๆ มากมายในแต่ละวัน การปลอมแปลงประวัติของเธอคงไม่ได้ยากมากนัก
เฮอจือชูพยักหน้าเล็กน้อย “…พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตตอนที่เธออายุ 3 ขวบ แล้วญาติห่าง ๆ ของเธอดูแลเธอตั้งแต่นั้นมา?”
“ใช่ค่ะ พวกเขาดีกับหนูมาก” กู้เหนียนจื่อพูดคุยถึงหัวข้อนี้อย่างกระตือรือร้น แล้วเธอก็จงใจเปลี่ยนเรื่องโดยถามด้วยความสนใจว่า “ศาสตราจารย์เฮอ คุณมีอนาคตที่สดใสในสหรัฐอเมริกา ทำไมคุณถึงเลือกมาเป็นศาสตราจารย์ที่นี่แทนล่ะคะ?”
ฝ่ายที่ถูกถามเงยหน้าขึ้น การแสดงออกของเขายิ่งเยือกเย็นมากขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะมองจุดประสงค์งคนตรงหน้าออก แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา นิ้วเรียวของเขาแตะบนโต๊ะขณะที่เตือนเธอว่า “ฉันเป็นคนถามคำถามอยู่ คำถามของเธอจะต้องรอไปก่อน”
หญิงสาวกล่าวว่า “…ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณถามคำถามต่อไปได้เลยค่ะ”
เฮอจือชูถามคำถามที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษหลายข้อกับเธอ
คราวนี้ เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษสลับกับศัพท์ภาษาละตินที่ใช้กันทั่วไปในกฎหมายของอเมริกา
กู้เหนียนจื่อตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยในสำเนียงอังกฤษที่ฟังดูเหมือนเจ้าของภาษามาก ราวกับว่าเธอเติบโตขึ้นมาในเกาะอังกฤษ
ศาสตราจารย์หนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ ดวงตาที่เรียวยาวและสดใสของเขาดูเหมือนจะโค้งขึ้นระหว่างที่เขาพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขนาดนี้ เธอเคยคิดที่จะศึกษาต่อในต่างประเทศหรือจะอยู่ที่นี่ต่อไป”
คนที่ถูกยิงคำถามกอดอกและจับคางตัวเองด้วยมือข้างหนึ่งพลางคิดถึงเรื่องนี้ เธอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “อืมมม… หนูไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยค่ะ”
ชะตากรรมในอนาคตของเธอจะตัดสินใจได้หลังจากคุยกับฮัวเฉาเหิง
เธออยากเรียนต่อต่างประเทศ เพราะอยากออกไปดูโลกภายนอก แต่ถ้าเธอไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง เธอคงรู้สึกกลัว…
แต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่สามารถพึ่งพาฮัวเฉาเหิงได้ตลอดชีวิต
หญิงสาวพยายามปลดปล่อยตัวเองจากเงามืดในอดีตของเธอ เธอพยายามเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเธอเองให้มากที่สุด
แต่เธอไม่รีบร้อน เธอจะรอจนกระทั่งเธออายุ 20 ก่อนจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้
หลังจากนั้นเฮอจือชูไม่ได้ถามอะไรอีก เขาปิดแฟ้มและพูดกับกู้เหนียนจื่อว่า “ไม่ว่าในกรณีใด เธอมาสายสองครั้ง เธอพลาดกำหนดเวลาสำหรับการลงทะเบียนฤดูใบไม้ร่วงไปแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หัวใจของสาวน้อยกระตุก เธอพยายามอย่างหนักมาเป็นเวลานาน แล้วที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร?
“แต่ฉันยังเปิดรับสมัครภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิด้วย เธอยินดีที่จะเริ่มเรียนฤดูใบไม้ผลิหน้าแทนหรือเปล่า” ชายหนุ่มกำลังตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตกนรกด้วยประโยคแรก จากนั้นก็ดึงเธอขึ้นไปบนสวรรค์ด้วยประโยคถัดไป
“ภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ? ถ้าคุณตกลงหนูก็เต็มใจค่ะ! หนูจะเข้ารับการศึกษาอย่างเป็นทางการในฤดูใบไม้ผลิหน้าใช่ไหมคะ?”
“แน่นอน” ศาสตราจารย์หนุ่มยื่นมือไปทางเธอ “ยินดีต้อนรับสู่คณะของเรา เธอจะเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาคนเดียวของเฮอจือชู”
กู้เหนียนจื่อไม่คิดว่าเขาจะพาเธอไปที่จุดนั้น เธอรีบยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายแล้วเขย่าเบา ๆ ด้วยความปีติยินดี จากนั้นก็ปล่อยมือเกือบจะในทันที
ฝ่ามือของเฮอจือชู่นั้นเย็นแต่น่าสัมผัส
แต่นี่ก็สมกับคนที่มีอีโก้สูงและไม่แยแสใครเหมือนเขาเท่านั้น คงจะแปลกที่คนอย่างเขาจะมีมือที่อบอุ่น
“ศาสตราจารย์เฮอคะ คุณหมายความอย่างนั้นจริงเหรอ? หนูจะเป็นนักเรียนคนเดียวของคุณเหรอคะ!” ดวงตาคู่โตของกู้เหนียนจื่อโค้งลงจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เธอมีความสุขมากจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วน้ำตาก็แทบจะไหลออกจากตาของเธอแล้ว “ผู้ช่วยของคุณมาหาหนูเมื่อวานนี้และพยายามจะคุยกับหนูเรื่องการสัมภาษณ์ เธอบอกว่าหนูจะทำลายอนาคตของตัวเองถ้าหนูเป็นนักเรียนของคุณ หนูเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวน้อยที่ขี้อาย ไม่มีใครสนับสนุนหนู หนูตกใจมากกับคำพูดของเธอจนทำให้หนูนอนไม่หลับทั้งคืน!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฮอจือชูก็ชะงักไป เขามองไปที่กู้เหนียนจื่อ ตรึงเธอด้วยดวงตาสีเข้มของเขา “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ? ผู้ช่วยของฉันไปหาเธอเมื่อวานนี้และแนะนำให้เธอล้มเลิกการสัมภาษณ์เหรอ?”
“เอ่อ…หนูไม่ควรพูดแบบนั้น ขอโทษค่ะ… ขอโทษ… หนูขอโทษ…” หญิงสาวโค้งคำนับขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใบหน้าที่กระวนกระวายใจ แต่เธอแค่แสดงเท่านั้น เธอจงใจจะหลุดพูดถึงเหวินเฉียวอี้
กู้เหนียนจื่อเป็นคนที่เหมือนจะไม่ระวังตัว แต่เธอไม่ใช่คนประเภทเก็บความคับข้องใจไว้กับตัวและแน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนโง่ “หนูไม่ควรพูดออกไปแบบั้นเลย” เธอเบือนหน้าไปด้านข้างแล้วใช้คำพูดที่ทำให้เธอดูเป็นเหมือนคนใจดี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เหนียนจื่อเมื่อวันก่อนได้สร้างความประหลาดใจให้กับชายหนุ่มมาก เขานั่งบนโซฟาขนาดใหญ่ในห้องประชุมอย่างสง่างามในขณะที่เขาพิจารณาสิ่งที่เพิ่งได้ยินครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและถามว่า “…ผู้ช่วยของฉัน เธอหมายถึงใครเหรอ?”