ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 38 : การสัมภาษณ์ (1)
แม้ว่ากู้เหนียนจื่อจะพยายามเตือนตัวเองว่าอย่าใส่ใจคำพูดของผู้ช่วยสอนเหวินเฉียวอี้ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกหวั่นไหวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ เธอกลัวจะพลาดการสัมภาษณ์อีกและเช็คนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์หลายครั้ง เนื่องจากเริ่มหวาดระแวงว่าจะลืมตั้งนาฬิกาปลุก หากเธอพลาดโอกาสไปสัมภาษณ์อีกครั้ง เธอจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว หลังจากนั้นเธอก็บังคับตัวเองให้นับแกะและผล็อยหลับไปหลังจากนับไปถึง 300 ตัว
คืนนั้นจู่ ๆ เธอก็ฝันเห็นภาพท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวฟูฟ่องก่อนที่พระอาทิตย์จะส่องแสงและสายลมอ่อน ๆ พัดโชยมา ทันใดนั้นเครื่องบินที่ตัวเครื่องมีสัญลักษณ์ระบุไว้ว่า ‘MH210’ สีแดงพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
วินาทีถัดมา ภาพตัดกลับเข้าไปในรถที่กำลังลุกไหม้อีกครั้ง เธอหันกลับมามองข้างหลัง หน้าต่างด้านหลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเพียงช่องหน้าต่างรถและเศษกระจกสีจาง ๆ กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อมองผ่านช่องหน้าต่าง เธอเห็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ผสมกับควันหนาทึบ ภาพเบื้องหลังพร่ามัว เธอเห็นชายคนหนึ่งกรีดร้องเรียกเธออย่างแผ่วเบาและพยายามเข้ามาใกล้ แต่เขาก็ถูกหลายคนรั้งตัวไว้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างขณะที่เธอพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จู่ ๆ ก็มีกลุ่มควันหนาทึบปกคลุมเธอและทำให้ดวงตาของเธอพร่าเลือน เธอกะพริบตาอย่างรวดเร็วเพื่อมองภาพให้ชัดอีกครั้ง แต่ไฟที่กระจกหลังก็แรงขึ้น เปลวเพลิงลุกลามเข้ามาใกล้ ควันหนาทึบเกือบทำให้เธอหายใจไม่ออกและบดบังทัศนวิสัยของสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกรถไปจนหมด
คราวนี้เธอหันศีรษะอีกครั้งและในไม่ช้าก็เห็นใบหน้านิ่ง ๆ ของฮัวเฉาเหิงระหว่างที่เขาเปิดประตูรีบเข้ามาช่วยเธอ ความร้อนแรงของเปลวไฟที่สัมผัสผิวหนังของเธอปลุกเธอให้ตื่นขึ้น ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นนั่ง เมื่อเปิดโทรศัพท์ดู เธอเห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะตี 3 ในหอพักยังมืดสนิท ได้ยินแค่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของรูมเมทของเธอ
เตียงของหญิงสาวอยู่ชั้นล่างริมหน้าต่าง ทำให้แสงสีเหลืองของไฟถนนข้างหอพักจำนวนหนึ่งส่องผ่านม่านเข้ามา เวลายามค่ำคืนจึงไม่มืดสนิท
ในขณะนี้เธอกำลังคิดเกี่ยวกับความฝันพร้อมกับนวดขมับของตัวเอง
‘คราวนี้เห็นเพิ่มอีกนิดหน่อยแฮะ’
ครั้งนี้มีชายอีกคนหนึ่งที่ดูสนิทกับเธอเพิ่มเข้ามา น่าเสียดายที่ภาพเบลอจนเธอไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน หรือว่าร่างนั้นอาจจะเป็นพ่อของเธอ? เขาดูราวกับว่ากำลังจะเป็นบ้าตอนที่เขากรีดร้องและพยายามจะรีบวิ่งมาหาเธอ
‘อ่า เมื่อไหร่ฉันจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเกิดอุบัติเหตุได้นะ?’
‘แล้วตอนนี้พ่อกับแม่อยู่ไหน ฉันคิดถึงพวกท่านจริง ๆ’ กู้เหนียนจื่ออดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึม อารมณ์ที่รุนแรงจากความฝันทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดด้วยความเศร้าและเสียใจอย่างสุดซึ้ง
การคิดถึงพ่อแม่ของเธอค่อย ๆ คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการสอบสัมภาษณ์ของเธอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน พวกเขาจะต้องรักเธอมากแน่ ๆ ริมฝีปากของเธอยังคงฝืนยิ้มแล้วค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เธอตื่นขึ้นในครั้งต่อไปเป็นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกข้างหมอนของเธอ ทันทีที่มันดัง เธอก็รีบปิดเครื่องและรีบลุกขึ้นจากเตียง ตอนนี้เป็นเวลา 7 โมงเช้าแล้ว อีกสามคนในห้องยังหลับสนิท ไม่มีใครได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกของเธอ
กู้เหนียนจื่อสวมชุดเดรสไปล้างหน้าในห้องน้ำ เธอแปรงผมและทำกิจวัตรการดูแลผิวให้เสร็จก่อนที่จะคว้ากระเป๋าเป้ลงไปข้างล่าง
ในขณะนี้เหม่ยเสี่ยวเหวินกำลังรออยู่ในรถที่จอดไว้ฝั่งตรงข้ามถนนหอพัก เขารีบเปิดประตูออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกมา “เหนียนจื่อ เธอกินข้าวเช้าหรือยัง”
คนถูกถามส่ายหัว “ฉันจะกินหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ” เธอมีนัดสัมภาษณ์ตอน 8 โมงและจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ดังนั้นเธอจึงคิดว่าจะทานข้าวหลังจากทำภารกิจสำคัญให้เสร็จก่อน
ชายหนุ่มดูเหมือนจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าเธอจะบอกแบบนี้ เพราะเขายื่นถุงกระดาษให้เธอหลังจากที่เธอนั่งอยู่ในรถ “กินนี่ไปก่อน มันคือนมถั่วเหลืองสดกับเสี่ยวหลงเปา”
ความรอบคอบของหัวหน้าห้องทำให้หญิงสาวปฏิเสธไม่ได้ เธอจึงนั่งหน้าแดงพลางรับถุงกระดาษมาจากเขาและพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณนะ” ก่อนที่จะทานอาหารคำเล็ก ๆ
พอมาถึงตึกคณะนิติศาสตร์ เธอก็จัดการมื้อเช้าเสร็จพอดี
เหม่ยเสี่ยวเหวินส่งขวดน้ำแร่และหมากฝรั่งให้เธอ กู้เหนียนจื่อเปิดขวดดื่มน้ำ จากนั้นก็เคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อทำให้ลมหายใจของเธอหอมสดชื่น
เธอลงจากรถเข้าไปในอาคารเวลา 7:45 น. แล้วพอถึงเวลา 7:50 น. เธอไปรอที่หน้าห้องประชุมแล้ว
5 นาทีต่อมา ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีกรมท่าที่ทำจากขนสัตว์อย่างดี และเนคไทลายตารางสีน้ำเงินซีดเดินมาจากปลายอีกด้านของทางเดินอย่างไม่เร่งรีบ เขามีรูปร่างที่ดี ด้วยไหล่กว้างและเอวที่เพรียว ทำให้โดยรวมแล้วเขาดูมีสเน่ห์มาก ตอนนี้มือข้างหนึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง แล้วอีกมือถือแฟ้ม ขณะที่เขาเดินไปหากู้เหนียนจื่อด้วยท่วงท่าที่สง่างาม แล้วพูดด้วยเสียงที่เป็นทางการว่า “เธอคือกู้เหนียนจื่อหรือเปล่า?”
เฮอจือชูมีผิวขาว ผมสีดำเงางามที่ปัดแนบไปกับหน้าผาก บดบังดวงตารูปอัลมอนด์ที่สวยงามข้างหนึ่งซึ่งมองมาที่เธออย่างใกล้ชิด ขนตาที่ยาวตรงของเขาเห็นได้ชัดเจนเมื่อเขากะพริบตา จมูกเชิดรั้นและริมฝีปากบางของเขาทำให้เขาดูค่อนข้างเข้าถึงยาก ตรงกันข้ามกับดวงตาที่อ่อนโยนของเขาอย่างสิ้นเชิง เขามีเสน่ห์ที่ลึกลับและความเป็นมืออาชีพแฝงอยู่ในทุกอริยาบทจริง ๆ
คนที่ถูกทักลุกยืนขึ้นทันที “ศาสตราจารย์เฮอจือชู?” เธอเคยเห็นรูปถ่ายของเขาบนเว็บไซต์ของโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ดและสามารถจำเขาได้ทันที
“เข้าไปข้างในกัน” ศาสตราจารย์หนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูห้องประชุมและเดินเข้าไปก่อน ตอนนี้เสียงของเขาไพเราะกว่าเสียงในโทรศัพท์เมื่อวานนี้มาก อาจเป็นเพราะพวกเขาได้พบหน้ากัน
จากนั้นกู้เหนียนจื่อเดินตามหลังเขาเข้าไปในห้องและปิดประตู
“นั่งลงสิ ทำตัวตามสบาย การสัมภาษณ์ครั้งนี้จะเป็นการพูดคุยทั่วไป” เฮอจือชูนั่งอยู่ตรงโต๊ะทรงวงรีที่อยู่ใกล้หน้าต่างมากที่สุด เขายื่นมือไปยังที่นั่งตรงข้ามเขาและบอกให้อีกฝ่ายนั่งลง
หญิงสาวได้เลือกชุดสูทผ้าขนสัตว์สีเทาควันบุหรี่และสวมรองเท้าส้นสูงมาสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วย มันทำให้เธอดูผอมเพรียวสง่างาม และที่สำคัญที่สุดคือภาพลักษณ์ของเธอจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งตอนนี้เธอยังเด็กและไม่อยากถูกดูถูก
ชายหนุ่มพลิกเปิดเอกสารในมือพร้อมกับข้อมูลของผู้ที่มาสัมภาษณ์ รวมถึงใบสมัคร ใบรับรองผลการเรียน ประวัติย่อและจดหมายแนะนำ สิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับการสมัครเข้าเรียนมาก
“ก่อนอื่น บอกฉันทีว่าทำไมเธอถึงสมัครมาเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของฉัน” เฮอจือชูเงยหน้าขึ้นถาม
คำถามนี้เป็นคำถามง่าย ๆ เพื่อเริ่มต้นการสนทนา โดยพื้นฐานแล้วเป็นคำถามสัมภาษณ์มาตรฐานและกู้เหนียนจื่อได้เตรียมไว้แล้ว
เธอเริ่มด้วยการแสดงความชื่นชมต่อศาสตราจารย์หนุ่มและยกย่องความสำเร็จอันน่าประทับใจของเขา แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ศาสตราจารย์เฮอประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ปกติคุณเป็นที่ปรึกษาให้กับนักศึกษาปริญญาเอกเท่านั้น หนูคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่หนูต้องเลือกสอบเข้าระดับบัณฑิตศึกษา แล้วได้เห็นว่าคุณกำลังรับสมัครตำแหน่งนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หนูมีความสุขมากและรีบสมัครเข้าที่นี่ทันทีค่ะ”
เฮอจือชูยิ้มจาง ๆ และก้มศีรษะลงเพื่อเขียนข้อความสองสามบรรทัดในแฟ้ม จากนั้นเขาก็พลิกดูประวัติย่อของกู้เหนียนจื่อ “เธอผ่านการทดสอบความสามารถพิเศษของประเทศเมื่ออายุ 15 ปี และอยู่ในระดับนักศึกษาปริญญาตรีปีที่ 3 แล้ว เมื่อพิจารณาจากเกรดแล้ว เธอสามารถสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B ได้อย่างง่ายดาย ทำไมเธอถึงเลือกมหาวิทยาลัย C?”