ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 35 : ปะทะฝีปาก
“ฉันบอกเธอแล้วว่าเธอทำได้ อะไรที่มันเป็นของเธอมันก็จะเป็นของเธอ ไม่มีใครเอามันไปจากเธอได้ เธอเป็นเด็กเรียนดีที่สุดในชั้นเรียนของเราเลยนะ!” เหม่ยเสี่ยวเหวินรู้สึกภาคภูมิใจในตัวกู้เหนียนจื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะขยี้หัวของเธอเบา ๆ เพราะความหมั่นเขี้ยว
ในเวลานี้หญิงสาวรู้สึกปีติยินดีจนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายที่กำลังลูบหัวเธอ ตอนนี้เธอยิ้มกว้างไม่หุบ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความสุข เธอกัดริมฝีปากล่างที่เป็นสีดอกกุหลาบด้วยความตื่นเต้น
แต่ระหว่างนั้นเสียงของเฮอจือชูดังผ่านโทรศัพท์ขึ้นมาขัดจังหวะ “พรุ่งนี้เช้า 8 โมง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอ”
กู้เหนียนจื่อรีบพยักหน้ารับแล้วตอบว่า “ได้ค่ะ! หนูตกลง! คราวนี้หนูจะไม่สายแน่!”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ตัดสินใจเลือกสถานที่สำหรับการสัมภาษณ์ เมื่อเลือกสถานที่นัดพบแล้ว หญิงสาวก็เดินทางออกจากอาคารผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับเหม่ยเสี่ยวเหวินอย่างมีความสุข
แล้วหัวหน้าเหม่ยก็ไปส่งเธอกลับหอ แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตามเธอเข้าไปข้างในอีก เขาปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอแล้วจับมือเธอไว้ “เชิดหน้าเข้าไว้แล้วทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ฉันจะมารับเธอ”
“นายไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ หัวหน้าเหม่ย ฉันนัดสัมภาษณ์ที่ห้องประชุมของแผนกกฎหมาย ฉันรู้ทางไปที่นั่น” กู้เหนียนจื่อก้าวลงจากรถและโบกมือ “แล้วเจอกันนะ หัวหน้าเหม่ย”
หญิงสาวกลับไปที่หอพักของเธอ เสียงฝีเท้าดังก้องอยู่ในห้องโถง เธอเปิดประตูห้องก่อนจะตะโกนว่า “ยัยหนูชาเขียวฟ่าง คุณหนูเฉา นางมารน้อย! ฉันกลับมาแล้ว!”
“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น? กินยาแล้วลืมเขย่าขวดหรือไง?” คนที่มีฉายายัยหนูชาเขียวฟ่างยิ้มขณะที่เธอยื่นแก้วน้ำให้อีกฝ่าย “เอ้านี่ ดื่มน้ำอุ่น ๆ สักหน่อย ฤทธิ์ยาจะได้ลดลงง่ายกว่าถ้าเธอละลายมันก่อน”
“ยัยหนูชาเขียวของฉัน วันนี้เธอดูน่ารักขึ้นนะ! มาจุ๊บทีมะ!” กู้เหนียนจื่อยื่นหน้าเข้าไปหาเธอ
ฟ่างเหวินซินจุมพิตใบหน้าของอีกคนพร้อมทำเสียงจูบที่เกินจริง จากนั้นก็ลูบแก้มของคนตรงหน้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ก็ใกล้จะเย็นแล้ว ไปแต่งตัวได้แล้วไป หัวหน้าเหม่ยจะเลี้ยงอาหารค่ำเราคืนนี้ สาวน้อย อย่าลืมนะว่าวันนี้เธอเป็นแขก VIP”
พวกเธอมักจะหยอกเล่นกันแบบนี้ในหอพัก ซึ่งรูมเมทอีกสองคนคุ้นเคยกับมันแล้ว ตอนนี้รูมเมทสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงสองชั้นแล้วกัดแอปเปิ้ลชิ้นใหญ่ ในขณะที่ขาเรียวยาวของเธอแกว่งไปมาในอากาศสบาย ๆ ส่วนอีกคนหนึ่งออกไปที่ระเบียงโดยเปิดหูฟังและทำงานวิชาภาษาอังกฤษของเธอ
ซึ่งคนที่อยู่ตรงระเบียงคือคุณหนูเฉา
เธอยิ้มและโบกมือให้รูมเมทของเธอ “สาวน้อย มานี่เร็ว แฟนเธอยังไม่กลับไป ควรมีคนไปบอกหัวหน้าที่รักของเราให้หยุดทำตัวสมาร์ท อกผายไหล่ผึ่งขนาดนี้! หน้าหล่อ หุ่นเป๊ะ เป๊ะเว่อร์! โอ้ ฉันรู้สึกร้อนมากตอนที่มองเขา! อย่างที่คนเขาพูดกัน ความสง่างามอยู่ที่สายตาของคนมอง!”
“คุณหนูเฉา ช่วยหยุดแสดงท่าทีแบบนั้นได้ไหม มันน่าเกลียดมาก ไม่มีใครเขาเอาสำนวนที่เธอพูดมาใช้กับการมองผู้ชายหรอก ” นางมารน้อยกล่าวพลางเดินออกไปที่ระเบียงแล้วเท้าแขนกับไหล่กู้เหนียนจื่อ โดยมียัยหนูชาเขียวเดินตามหลังพวกเธอมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
ที่ชั้นล่าง ในมุมที่มองเห็นระเบียงห้องของทั้งสี่สาวชัดที่สุด เหม่ยเสี่ยวเหวินเอนหลังพิงกับรถของเขา แล้วมองดูนาฬิกาของตัวเองบ่อย ๆ
“สาวน้อย เธอควรพิจารณาเดทกับหัวหน้าอย่างจริงจังได้แล้ว ดูเขาสิ! หุ่นเขาอย่างกับนายแบบ ใบหน้าที่งดงาม และไอคิวที่คู่ควรกับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด นอกจากนี้เขายังเป็นทายาทของครอบครัวที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาล และเห็นได้ชัดว่านี่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เขาปฏิบัติต่อเธอราวกับเจ้าหญิง เธอจะหาผู้ชายแบบเขาได้จากที่ไหนอีก” หวังจุนหยา เจ้าของฉายานางมารน้อยเพิ่งสาธยายสรรเสริญเหม่ยเสี่ยวเหวินเสร็จ หลังจากนั้นหญิงสาวในชุดขนสัตว์สีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชั้นล่าง เธอเดินไปหาชายหนุ่มและมอบผ้าพันคอที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ซื้อจากร้านค้าทั่วไปให้เขา
“ฮึ! เธอจงใจทำชัด ๆ! นั่นซ่งหรูยวี่! ยัยผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกที่อยู่ห้อง 2 ใช่ไหม? หน้าด้านจริง ๆ!”
จากคนที่มองดูเหตุการณ์ทั้งสี่คนบนระเบียง ตอนนี้สามในสี่คนกำลังระเบิดอารมณ์ออกมา
หลังจากพูดจบ นางมารน้อยหยิบกระป๋องเปล่าจากระเบียงโยนมันลงไปที่พื้นแล้วตะโกนว่า ”ซ่งหรูยวี่ ! ปล่อยหัวหน้าห้องเดี๋ยวนี้นะ!”
เหม่ยเสี่ยวเหวินและซ่งหรูยวี่มองขึ้นไปเห็นสี่สาวที่กำลังแออัดกันอยู่บนระเบียงชั้น 5
ระหว่างนั้นหญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ เธอโกรธจนกัดฟันแน่น แต่เธอไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป แล้วเธอก็ขยับเข้าไปใกล้คนข้าง ๆ มากขึ้น ก่อนจะแสร้งทำหน้าเจ็บปวดให้ดูน่าสงสารที่สุดและพึมพำอย่างเอียงอายว่า “เสี่ยวเหวิน ฉันชอบนาย ฉันจริงจังนะ เราจะเรียนจบในเร็ว ๆ นี้ ถ้าฉันไม่ได้บอกนายว่าฉันรู้สึกยังไงตอนนี้ ฉันจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
หัวหน้าหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยิ้มอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่มือของเขายังคงสอดอยู่ในกระเป๋า นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้รับผ้าพันคอจากเธอ
ในเวลาเดียวกันหญิงสาวสองคนรีบวิ่งลงไปข้างล่างทันที
ยัยหนูชาเขียวฟ่างปกติจะเป็นเหมือนแกนนำของกลุ่มมาโดยตลอด ส่วนนางมารน้อยมีฝีปากจัดจ้านเกินใคร เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมใครง่าย ๆ ด้วย ทั้งสองคนวิ่งลงไปข้างล่าง แล้วชี้ไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทางขึงขังทันทีที่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหญิงที่อยู่ข้างล่าง “เธอคิดว่าเธอกำลังพยายามทำอะไรอยู่” นางมารน้อยถาม
ซ่งหรูยวี่เงยศีรษะขึ้นและไม่ยอมถอยกลับ “อะไรนะ ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้สารภาพรักกับหัวหน้าห้องหรอกเหรอ? พวกเธอเป็นใครไม่ทราบ? เขาไม่ใช่แฟนของเธอสักหน่อย!”
“ซ่งหรูยวี่!” ยัยหนูชาเขียวฟ่างจ้องหน้าเธอ “เขาไม่ใช่หัวหน้าห้องของเธอ! เธออยู่ห้อง 2 เธอไม่มีสิทธิ์มาเรียกเขาว่าหัวหน้า ฉันเดิมพันได้เลยว่าถ้าหัวหน้าห้องของเธอได้รู้เรื่องนี้ เขาคงจะร้องไห้ในการกระทำที่น่าอับอายนี้ ละอายใจบ้างไหมที่พูดแบบนั้นออกมา!”
นางมารน้อยดึงผู้หญิงคนนั้นออกมาจากเหม่ยเสี่ยวเหวิน “อย่าไปยืนใกล้เขา เขาไม่ได้สนิทกับเธอ!”
ฝ่ายที่ถูกลากออกมาแอบเหลือบมองชายหนุ่ม ตอนนี้เขายังคงมีท่าทีสงบ เหมือนไม่สนใจความโกลาหลตรงหน้าเลย มันยิ่งทำให้เธอหน้ามืดตามัว เธอรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรักเขามากขึ้น เธอหันหลังกลับมาทำหน้าบึ้งใส่คนที่ดึงตัวเธอและพูดด้วยความโกรธ “ยัยนางมารร้าย! เหม่ยเสี่ยวเหวินไม่ได้เป็นแฟนของเธอสักหน่อย! เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้? โอ้ ฉันรู้แล้ว! ฉันพนันได้เลยว่าเธอแอบชอบหัวหน้าห้องของเธอเอง!”
ฉายาของหวังจุนหยา คือ ‘นางมารน้อย’ แต่ซ่งหรูยวี่ได้จงใจเปลี่ยนคำเป็น ‘นางมารร้าย’ เพื่อเป็นการดูถูก
ตอนนี้เจ้าของฉายารู้สึกโกรธจัด แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ยัยหนูชาเขียวฟ่างได้ก้าวเข้ามาข้างหน้าเธอพร้อมกับพูดเยาะเย้ยใส่อีกฝ่ายว่า “ทุกคนในคณะของเรารู้ว่าหัวหน้าเหม่ยมีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว นี่เธอโง่จริง ๆ หรือแค่แกล้งโง่กันแน่?”
“ดูสินี่ใคร! ใช่ ฉันรู้ว่าหัวหน้าเหม่ยกำลังสนใจกู้เหนียนจื่อ เด็กกำพร้าตัวน้อยที่เป็นรูมเมทของพวกเธอ! แต่เธอไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมพวกเธอถึงมาเดือดร้อนแทนเธอล่ะ?”
“ว้าย ยัยหน้าด้าน ที่เธอพูดก็ถูกนะ! เธอจะทำทุกอย่างเพื่อขโมยผู้ชายไปจากคนอื่นใช่ไหม!” ฟ่างเหวินซินรู้สึกปรี๊ดแตกเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และเมื่อถูกต่อว่า ซ่งหรูยวี่ก็กรีดร้องเสียงดัง “จะเอายังไงห้ะ?! ยัยชาเขียวแรด!”
“แล้วไง ถึงฉันจะแรด แต่ฉันก็ไม่เคยไปแย่งแฟนเพื่อนหรอกนะ แล้วเธอล่ะ? เธอชอบไปแย่งผู้ชายที่มีเจ้าของแล้วตลอด นั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนเรียกเธอว่าตอแหล!” ยัยหนูชาเขียวฟ่างแก้เผ็ด เธอยังคงยืนเชิดหน้าอย่างสง่างามแม้ว่าตอนนี้เธอจะกำลังถูกผู้หญิงอีกคนด่าทออยู่
เธอรู้ว่าฉายา ‘ยัยหนูชาเขียว’ ของเธอนั้นไม่ได้เป็นคำชม แต่เธอจะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำเธอ
ซึ่งการโต้เถียงที่เกิดขึ้นนั้นทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร ทำให้เกิดการทะเลาะกันเสียงดัง กู้เหนียนจื่อและคุณหนูเฉาที่ยังคงยืนอยู่บนระเบียงสามารถได้ยินทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน
สาวน้อยประจำกลุ่มปิดหน้าของเธอและพูดอย่างสิ้นหวัง “ได้โปรด หยุดเถอะ นี่มันน่าอายมาก!”
“เธอจะกลัวอะไร? อีกไม่นานเราก็จะเรียนจบแล้ว เราคงไม่มีโอกาสได้เจอคนส่วนใหญ่ที่นี่อีกแล้ว นี่เป็นโอกาสที่เราจะฉีกหน้ากากและพูดอะไรก็ได้ที่เราอยากพูด ฉันแสดงเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบมาตลอด ฉันต้องรักษาภาพพจน์ไว้ถึง 4 ปี!” เฉาหยุนซานพูดขณะที่มองดูพวกเธอจากระเบียงและเพลิดเพลินกับการทะเลาะวิวาทด้านล่างทุกนาทีพร้อมกับจับกู้เหนียนจื่อไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เธอหลบเข้าไปซ่อนตัวในห้อง
ซ่งหรูยวี่รู้สึกอับอายมากกับสิ่งที่ยัยหนูชาเขียวฟ่างพูด แต่เธอไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ ที่จริงเธอไม่อยู่หอร่วมกับรูมเมทของเธอเพราะเธอเคยนอนกับแฟนเก่าของรูมเมททั้งสาม ไม่แปลกใจที่ไม่มีใครออกมาช่วยเธอเลย เธออยู่คนเดียวและกลายเป็นคนไร้ค่า แต่ตอนนี้เธออยู่ในสังเวียนที่เผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ฮอตมากสองคนจากห้อง 1 ซึ่งเธอไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย
ในขณะนี้เธอเริ่มหมดหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นฝูงชนที่ทยอยกันมาดูเหตุการณ์มากขึ้น ในที่สุดเธอก็กัดฟันและพูดเสียงดังกับเหม่ยเซียวเหวินว่า “เสี่ยวเหวิน! บอกฉันที ตอนนี้นายมีแฟนหรือยัง! ถ้านายมีแฟนแล้ว ฉันจะไม่ยุ่งกับนาย ฉันจะหายไปจากสายตาของนายทันที! ฉันไม่ใช่คนชอบแย่งแฟนคนอื่น! ฉันไม่รับข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผลพวกนี้!”
หัวหน้าห้องหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ก่อนจะมองตรงไปที่กู้เหนียนจื่อซึ่งยังคงเฝ้าดูอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “กู้เหนียนจื่อ เธอจะเป็นแฟนของฉันไหม” เขาเอ่ยถามพร้อมกับนำดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ออกมาจากรถของเขาและค่อย ๆ คุกเข่าหันหน้าไปทางระเบียงพร้อมยกดอกกุหลาบเข้าหาเธอ
“พวกเขากำลังสารภาพรักกัน!”
“ว้าว พวกเขาจะเป็นคู่รักแห่งปี!”
“ตกลงๆๆๆๆๆ!”
ผู้ชมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในรุ่นที่กำลัจะสำเร็จการศึกษา พวกเขาปรบมือและเชียร์ออกมาด้วยความตื่นเต้นกับฉากสารภาพรักตรงหน้า