รูมเมทของกู้เหนียนจื่อร้องเสียงแหลมพร้อมกับวิ่งกรูกันเข้ามากอดเธอไว้
เหม่ยเสี่ยวเหวินยืนอยู่ข้างประตูและมองดูพวกเธอกอดกันกลม เขารู้สึกประทับใจเหนียนจื่ออย่างมาก เนื่องจากรูมเมทสามคนของเธอแต่ละคนล้วนแต่มีชื่อเสียงและความสามารถ
คนที่อายุมากที่สุดในห้องนี้คือ ฟ่างเหวินซิน หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘ยัยหนูชาเขียวฟ่าง’ การถูกเรียกแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นเทพธิดาของผู้ชายทุกคนและเป็นศัตรูกับผู้หญิงทุกคน
คนถัดมาคือ เฉาหยุนซาน เธอมีฉายาว่า ‘คุณหนูผู้สูงส่ง’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘คุณหนูเฉา’ ว่ากันว่าบรรพบุรุษคนหนึ่งของเธอเป็นนางสนม เธอเป็นคนที่มีกิริยาที่สูงส่งและมีเกียรติ ไม่ว่าใครที่พบเห็นเธอก็จะรู้สึกยำเกรง อาจเพราะว่าเธอสืบทอดสายเลือดจากตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง
ส่วนคนที่สามคือ หวังจุนหยา เธอมีอายุน้อยที่สุดในสามคนนี้ เธอนั้นทั้งน่าทึ่งและมีเสน่ห์เหลือล้น เธอเป็นที่รู้จักในนามว่า ‘นางมารน้อย’ ชายใดก็ตามที่ได้มองเธอเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ชายผู้นั้นก็จะตกหลุมรักเธอได้ทันที และเสน่ห์เย้ายวนของเธอทำให้คนที่ได้พบเห็นต้องมองจนเหลียวหลัง
แต่แม้ว่ากู้เหนียนจื่อจะเป็นนักศึกษาที่เพิ่งย้ายมาและยังเป็นเด็กกำพร้าที่มีภูมิหลังเป็นครอบครัวระดับปานกลาง แต่หญิงสาวสามคนนี้ยังปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีและดูแลเธอเหมือนเป็นน้องสาวมาตลอด
“อะไรจะตื่นเต้นขนาดนั้น อย่าไปทำให้เหนียนจื่อของเรากลัวสิ” เหม่ยเสี่ยวเหวินถือกระเป๋าเป้สะพายหลังของกู้เหนียนจื่อและลากกระเป๋าเดินทางของเธอตามมาขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้อง
“นี่หัวหน้าไปรับเธอเองเลยเหรอ? เหนียนจื่อ เป็นเกียรติสุด ๆ ไปเลย!” นางมารน้อยแอบขยิบตาให้กู้เหนียนจื่อ
น้องเล็กของห้องกลอกตาแล้วพูดขึ้นมาว่า “พูดเหมือนกับหัวหน้าเหม่ยไม่เคยไปรับคนในชั้นเรียนที่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาลอย่างนั้นแหละ”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย สาวน้อย! เธอนี่เถียงฉันกลับได้ตลอดเลยนะ!” หวังจุนหยาตีไหล่ของเธอเบา ๆ แล้วเหลือบมองหัวหน้าหนุ่ม “หัวหน้าเหม่ย ฉันช่วยนายได้แค่นี้แหละ ถึงน้องสาวของเราอาจจะยังเด็ก แต่เธอไม่ใช่พวกที่โดนหลอกง่ายเหมือนเด็กปี 1 ปี 2 หรอกนะ!”
“ฉันจริงใจนะ ไม่ใช่ความรู้สึกปลอม ๆ สักหน่อย” เหม่ยเสี่ยวเหวินไม่ได้รู้สึกอายเลย
‘ดูเหมือนว่ารูมเมทของฉันจะรู้เรื่องเขามานานแล้ว’ กู้เหนียนจื่อเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด
ในขณะเดียวกันคุณหนูเฉาเดินไปช่วยกู้เหนียนจื่อนำกระเป๋าเป้สะพายหลังและกระเป๋าเดินทางจากชายหนุ่มไปวางไว้ที่โต๊ะของเธอเงียบ ๆ
ส่วนยัยหนูชาเขียวฟ่างเท้าแขนอยู่บนโต๊ะและยกยิ้มเจ้าเล่ห์มองไปที่เหม่ยเสี่ยวเหวิน “หัวหน้าเหม่ย ฉันเห็นว่าแก้มของนายแดงนิด ๆ นะ แล้วก็ใบหน้าของนายก็ดูเปล่งปลั่งขึ้น มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า เอางี้ไหม นายพาเราไปเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นการฉลองที่เหนียนจื่อหายป่วยดีไหม?”
ผู้เป็นหัวหน้าห้องหมุนกุญแจรถในมือเล่นขณะยืนอยู่ที่ประตูแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา คืนนี้ฉันจะจัดการเอง แต่…” เขาหันไปมองกู้เหนียนจื่อก่อนจะพูดกับเธอว่า “เหนียนจื่อ ฉันคิดว่าเธอควรไปรายงานตัวที่คณะก่อน”
หญิงสาวรีบเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเป้สะพายหลังเพื่อหาใบรับรองแพทย์ที่เฉินหลายเขียนให้เธอ “ฉันกำลังจะไป”
“ไปพร้อมกันเลยสิ ฉันมีเรื่องจะไปจัดการที่สำนักงานสมาคมนักศึกษาคณะนิติศาสตร์อยู่เหมือนกัน” นอกจากเป็นหัวหน้าห้องแล้ว เหม่ยเสี่ยวเหวินยังเป็นนายกสมาคมนักศึกษาคณะนิติศาสตร์อีกด้วย เขาเดินไปวางมือบนไหล่ของอีกฝ่ายและเดินนำเธอออกไป
กู้เหนียนจื่อเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพยายามปั้นหน้านิ่งแต่สับขาเร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงมือที่กำลังใกล้เข้ามาของชายหนุ่ม “หัวหน้าเหม่ย ฉันยังต้องไปพบอาจารย์หลายคนเพื่อรายงานตัว พวกเขาคงจะไม่พอใจที่ฉันขาดเรียนไปนานถึง 1 อาทิตย์”
เหม่ยเสี่ยวเหวินเดินตามเธอออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
รูมเมทสาวทั้งสามขยิบตาให้กันแล้วหัวเราะ “ดูเหมือนว่า สาวน้อยของเราจะเติบโตขึ้นแล้ว!”
…
ในขณะที่เหม่ยเสี่ยวเหวินและกู้เหนียนจื่อเดินออกมาจากหอพัก จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “เธอไม่จำเป็นต้องเอาใบลาไปให้อาจารย์เพราะว่าครอบครัวของเธอได้แจ้งทางมหาวิทยาลัยไว้แล้ว”
“ห้ะ?” หญิงสาวรู้สึกสับสน “แล้วนายบอกให้ฉันไปรายงานตัวที่คณะทำไม”
“ฉันจะให้เธอไปแก้ตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้คือไปหาศาสตราจารย์เฮอเพื่อขอโอกาสสัมภาษณ์อีกครั้ง” หัวหน้าหนุ่มพาเธอไปที่รถของเขาและเปิดประตูให้ “ฉันรู้มาว่าศาสตราจารย์เฮออยู่ในตึกผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัย ฉันจะพาเธอไป เธอเอาใบรับรองแพทย์ของเธอไปให้เขาแล้วขอโอกาสสัมภาษณ์อีกครั้งเถอะ”
กู้เหนียนจื่อไม่คิดว่าเธอจะได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เธอนับถืออย่างเฮอจือชูทันทีที่เธอกลับมา จู่ ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าจนกำใบรับรองแพทย์ในมือแน่นแล้วพูดตะกุกตะกัก “หัวหน้าเหม่ย เอ่อ… ศะ-ศาสตราจารย์เขาเป็นคนคุยด้วยง่ายไหม”
“เธอเรียกฉันว่าหัวหน้าเหม่ยอีกแล้วนะ ถ้าเธอไม่เรียกชื่อฉัน ฉันจะไม่บอกอะไรเธอเลย” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่พอใจ แล้วทำหน้ามุ่ยใส่เธอ
หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาจนทำให้ใจเขาละลาย “อย่าใจร้อนสิ หัวหน้าเหม่ย ฉันต้องถามครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องนี้และขอความเห็นจากพวกเขาก่อน”
“ยังไม่เรียกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร” เหม่ยเสี่ยวเหวินหมุนพวงมาลัยเพื่อกลับรถ เขาไม่ได้เซ้าซี้อะไรเธออีก เขามั่นใจว่าเขาจะเอาชนะใจเธอได้
กู้เหนียนจื่อหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและคิดทบทวนชั่วครู่ “งั้นฉันจะลองดู”
เธอโทรหาฮัวเฉาเหิงครั้งแรก เธอถือสายรอเป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่รับสาย
จากนั้นเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโทรหาเฉินหลาย ในทางกลับกัน เฉินหลายรับสายทันที
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เขาก็รีบถามทันทีว่า “เหนียนจื่อ มีอะไร เธอไม่สบายหรือเปล่า เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะไปรับเธอทันที!”
กู้เหนียนจื่อคิดทันทีว่าหมอหนุ่มได้รับอิทธิพลจากอาชีพของเขามากเกินไป เขาคิดว่าเธอจะป่วยเวลาที่เธอโทรหาเขา
เธอส่ายหัวก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไร พี่เฉินโอเคหรือเปล่าเนี่ย?”
“เธอสบายดีใช่ไหม? ดีมาก! แล้วโทรมามีอะไรหรือเปล่า” เฉินหลายถอนหายใจด้วยความโล่งอกมากจนปลายสายได้ยินผ่านทางโทรศัพท์
คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยขณะที่เธอลดเสียงลงและหันไปคุยทางหน้าต่างรถ เธอถามอย่างลังเลว่า “พี่เฉิน คือว่า พี่… พี่รู้เบอร์โทรศัพท์ของอาฮัวไหม”
ในขั้นต้นกู้เหนียนจื่อต้องการถามความคิดเห็นเฉินหลายเรื่องหัวหน้าเหม่ย แต่เธอไม่รู้จะเริ่มต้นพูดว่ายังไง เธอจึงถามเบอร์ของฮัวเฉาเหิงแทน
คนเป็นหมอหัวเราะ “อะไรกัน ทำไมเธอถึงถามหาเบอร์ของเจ้านาย เกิดอะไรขึ้น? ต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า” เขาพูดพลางมองดูกำหนดการของท่านนายพล “ตอนนี้เขากลับไปที่ฐาน เขาจะติดต่อได้ยากหน่อย”
“อ่า” ฝ่ายที่ได้ยินอย่างนั้นรู้สึกผิดหวัง เธอตั้งใจจะวางสาย แต่เห็นเหม่ยเสี่ยวเหวินเหลือบมองมาอีกครั้ง เธออายเกินกว่าจะมองหน้าเขา เธอจึง ใช้เวลาหายใจเข้าลึก ๆ และบ่นว่า “พี่เฉิน เอ่อ พอดีว่า..เพื่อนร่วมชั้นของฉันมาขอจีบ แล้วถามว่าจะให้โอกาสเขาได้ไหม ฉันเลยอยาก… ฉันอยากจะถาม… ความคิดเห็นของพวกพี่น่ะ…”
“ปล่อยให้เขาจีบไปเหอะ ทำไมต้องขออนุญาตด้วย” เฉินหลายทำหน้าบูดบึ้งแล้วถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า “เพื่อนร่วมชั้นที่ว่าคือหัวหน้าเหม่ยหรือเปล่า?”
กู้เหนียนจื่อกะพริบตาปริบ ๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก
“ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ถือว่าสำคัญมาก นี่เป็นแฟนคนแรกของเหนียนจื่อเลย เราต้องระวัง ฉันขอเจ้านายแทนเธอได้นะ ยังไงเขาก็เป็นผู้ปกครองของเธอ”
หญิงสาวพยักหน้า แล้วจู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอและเธออดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “พี่เฉิน ช่วงนี้อาฮัวยุ่งเรื่องงานมากไหม”
“ก็น่าจะไม่เท่าไหร่ สองสามวันก่อนเขายุ่งมาก แต่ตอนนี้เขาเคลียร์งานจบแล้ว มีอะไรเหรอ?”
“แล้ว…เขามีแฟนหรือยัง” กู้เหนียนจื่อถามด้วยความสงสัย
ครั้งสุดท้ายที่ฮัวเฉารับโทรศัพท์ เขาให้เธอเรียกเขาว่าอา และห้ามไม่ให้เธอเรียกเขาว่าฮัวเฉาเหมือนที่เธอเคยเรียกอีก ราวกับว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อนึกย้อนกลับไปในวันที่ชายหนุ่มเรียกเธอว่า ‘ที่รัก’ โดยไม่ได้ตั้งใจ กู้เหนียนจื่อรู้สึกว่าเขาอาจจะ…ถึงเวลาแล้วที่…เขาจะมีแฟน
“ห้ะ? อันนี้ฉันไม่แน่ใจ” เฉินหลายอ้าปากค้าง “เธอถามอย่างนั้นทำไม?”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่ถามเฉย ๆ ถึงเวลาที่อาฮัวจะมีแฟนได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าแม้แต่หมอหนุ่มก็ไม่รู้ กู้เหนียนจื่อก็ไม่พูดอะไรอีก แต่เธอไม่สามารถลืมท่าทีของฮัวเฉาเหิงได้เลย
MANGA DISCUSSION