ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 30 : ทำตามที่ใจเรียกร้อง
“ไม่ ผมกลับมาเมื่อวานนี้ อีกอย่างวันนี้เหนียนจื่อต้องไปมหาวิทยาลัย” เฉินหลายอธิบายอย่างเร่งรีบ “คุณอยากเจอเธอไหม”
คนเป็นเจ้านายส่ายหัว “ไม่จำเป็น เราจะคุยกันที่ฐาน” ในขณะนี้ฝานเจี้ยนยืนตัวตรงอยู่ข้างรถที่จอดอยู่ข้างถนนเพื่อรอฮัวเฉาเหิง เจี้ยวเลี่ยงจื่อและหยินชือฉงขึ้นรถกลับไปที่ฐาน
เฉินหลายจึงไปรอนายพลหนุ่มอยู่ในห้องทำงานของเขา หลังจากที่เขาเดินเข้ามา เขาก็โยนกระเป๋าเป้สะพายหลังให้คนที่รอยู่ทันที “ลองดูว่ามีประโยชน์ไหม”
หมอหนุ่มเปิดกระเป๋าเป้สะพายหลังและหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมา เขาเปิดดูกล่องขวดยาหนึ่งกล่อง หัวใจของเขาเกือบจะวายตายเมื่อเขาเห็นขวดบรรจุของเหลวภายในกล่อง
“เจ้านาย! อะไร…นะ-นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”
“สำเนาไวรัสจากโอดะ มาซาโอะ ดูว่านายสามารถศึกษามันกับข้อมูลของเขาเพื่อค้นหาแอนติบอดี้และพัฒนาวัคซีนได้ไหม” ฮัวเฉาเหิงมองไปที่เฉินหลายด้วยสายตาจริงจังซึ่งทำให้อีกฝ่ายผงะไปครู่หนึ่ง
“เข้าใจแล้ว” ผู้เป็นหมอพยักหน้ารับแล้วครุ่นคิดก่อนที่เขาจะตอบอย่างมั่นใจว่า “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเหนียนจื่อ ผมจับตาดูอาการของเธออย่างใกล้ชิด ในตอนนี้ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย”
“ในตอนนี้? มันผ่านไปแค่สัปดาห์เดียวเองนะ” ผู้มีตำแหน่งนายพลจะไม่ละเลยแม้ในขณะที่เฉินหลายเฝ้าตรวจสุขภาพของเธอไปแล้ว ๆ พบว่ายังปกติดี “นายรับประกันอนาคตได้ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มเหลือบมองฮัวเฉาเหิงและพยายามคาดเดาการแสดงออกของเขา แต่ก็เป็นเหมือนเช่นเคย ท่านนายพลยังมีท่าทีห่างเหินเหมือนเดิม การจะบอกว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่นี่มันยากมากจริง ๆ
“ผมแน่ใจว่าได้ทำการตรวจสอบร่างกายของเหนียนจื่ออย่างละเอียดตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ผมบอกเธอว่าผมได้สร้างยาแก้พิษสำหรับยาปลุกเซ็กซ์ให้และเธอไม่จำเป็นต้องทำ…แบบนั้น… กับผู้ชาย” เฉินหลายพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงขณะที่เขาวางหลอดทดลองที่มีสำเนาไวรัสที่เจ้านายนำมากลับไปแช่เย็น “นอกจากนี้เหนียนจื่อขอให้ผมไม่บอกคุณเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเธอถูกวางยา เพราะฉะนั้นโอกาศดี ๆ แบบนี้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป”
ชายหนุ่มร่างสูงไม่ตอบแล้วเอื้อมมือเข้าไปข้างในเสื้อโค้ตของเขาเพื่อเอาไฟแช็คมาจุดบุหรี่และสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่เขาจะสูดควันเข้าไปเฮือกใหญ่
คนเป็นหมอกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นเขาเปิดภาพขึ้นมาเทียบกัน 2 ภาพ “อย่ากังวลไปเลยเจ้านาย ผมรู้สึกว่าอาการของเหนียนจื่อดีกว่าคนอื่นมาก ดังนั้นอาการของเหนียนจื่อคงไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิด”
ฮัวเฉาเหิงเดินไปยืนอยู่ข้างหลังอีกคน เขามองไปที่จอมอนิเตอร์ ระหว่างที่มือข้างหนึ่งถือบุหรี่และอีกข้างไขว้ด้านหลังของเขาพลางฟังอีกฝ่ายอธิบายไปด้วย
“ด้านซ้ายเป็นภาพข้อมูลจากการทดลองของโอดะ มาซาโอะ ดูนี่สิ สถิติสำคัญทั้งหมดน้อยกว่าสถิติของคนปกติถึงครึ่งหนึ่ง ภาพข้อมูลทางด้านขวาคือผลลัพธ์ของเหนียนจื่อในสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณเห็นไหม เธอมีสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้แต่คนธรรมดาก็ยังไม่มีสถิติที่ดีขนาดนี้”
ดวงตาของฮัวเฉาเหิงจ้องจอมอนิเตอร์ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับ เขาเดินไปนั่งบนโซฟาตรงหน้าเฉินหลายที่อยู่ติดกับผนังห้อง แล้ววางศอกข้างหนึ่งไว้ที่เท้าแขนของโซฟาและถือบุหรี่ที่คุกรุ่นอยู่ในมือ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดว่า “พัฒนาวัคซีนให้เร็วที่สุด ฉันจะกลับมาตรวจสอบภายใน 3 วัน” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป
“3 วัน?!” เสียงของผู้เป็นหมอดังขึ้น “ท่านครับ ไม่มีใครกำหนดเวลาที่แน่นอนสำหรับการพัฒนาวัคซีนได้หรอกนะ! คุณคิดว่านี่เป็นภารกิจของทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณหรือไง? นี่คือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์! ผมพูดถึงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อยู่นะ!” เฉินหลายจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายและเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความหงุดหงิด
นายพลหนุ่มออกจากห้องที่เฉินหลายอยู่ และกลับไปที่ห้องพักของตัวเองพอดีกับที่เห็นหยินชือฉงวางโทรศัพท์ลง
ฮัวเฉาเหิงเหลือบมองเลขาหนุ่มที่รายงานเขาอย่างรวดเร็วว่า “ท่านครับ กู้เหนียนจื่อกลับไปมหาวิทยาลัยและถามว่าคุณจะกลับมาเมื่อไหร่”
ชายหนุ่มยกแขนแล้วโยนก้นบุหรี่ มันหมุนคว้างไปในอากาศก่อนที่จะลงในถังขยะอย่างแม่นยำ “ฉันต้องกลับไปที่กองบัญชาการทหาร เลี่ยงจื่อจะมากับฉัน ส่วนนายอยู่ที่นี่ไปก่อน มันจะสะดวกกว่าถ้านายอยู่ใกล้ ๆ ในกรณีที่เหนียนจื่อต้องการความช่วยเหลือ”
“ครับท่าน” หยินชือฉงตอบรับอย่างรวดเร็วและกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองในสำนักงาน เขาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบตารางเวลาและขมวดคิ้ว “แล้วการสัมภาษณ์ของเหนียนจื่อล่ะครับ?”
“นายไปจัดการซะ” ฮัวเฉาเหิงกล่าวและเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
….
ช่วงเช้าของวันจันทร์ กู้เหนียนจื่อสะพายเป้และกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เธอจะเดินทางออกจากเขตเฟิงหยางโดยการเรียกแท็กซี่ แต่แล้วเธอก็เจอหัวหน้าเหม่ยในชุดเทรนช์โค้ทสีเทาอ่อนยาวปานกลาง เขากำลังนั่งพิงรถบิวอิคก์ที่จอดอยู่ข้างถนนตรงทางเข้าเขตและยิ้มให้เธอขณะที่เธอเดินเข้ามาหาเขา
“หัวหน้า?” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เจออีกฝ่าย “นี่นาย…?”
“ใช่ ฉันรอเธออยู่และอยากจะเซอร์ไพรส์เธอ” เหม่ยเสี่ยวเหวินเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางจากเธอด้วยท่าทางสบาย ๆ “เหนียนจื่อจะเอากระเป๋าเดินทางกลับไปที่หอพักด้วยเหรอ? เธอควรโทรหาฉันก่อนถ้าเธอมีของที่เอาไปด้วยมากขนาดนี้”
กู้เหนียนจื่อเงยหน้าขึ้นมองเขา ภายใต้แสงแดดยามเช้า ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาหล่อเหลาเพียงใด ดวงตาของเขาเป็นประกายจ้าอยู่หลังแว่นตากรอบทองและเสียงของเขาก็อ่อนโยนในขณะที่เขาพูดว่า “เธอมองฉันทำไม? จู่ ๆ ก็จำฉันไม่ได้เหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น…” คนถูกทักส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “นายนี่สมกับเป็นหัวหน้าห้องจริง ๆ ถ้าฉันมีโอกาสได้เรียนชั้นเดียวกับนายอีกครั้ง ฉันจะเลือกนายเป็นหัวหน้าห้องของฉันอย่างแน่นอน”
เหม่ยเสี่ยวเหวินหัวเราะออกมา “เหนียนจื่อ ฉันไม่ได้มารับเธอเพื่อเรียกเสียงคะแนนนะ”
จากนั้นเขายื่นมือไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย “เข้าไปสิ”
กู้เหนียนจื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขึ้นไปนั่งในรถ แล้วเธอก็ยิ้มให้เขา “บอกฉันมาซิหัวหน้า นายมีจุดประสงค์อะไร? ต้องดูก่อนว่าฉันจะจ่ายไหวไหม!”
ชายหนุ่มยิ้มขณะเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยและพูดว่า “เหนียนจื่อ เธอไม่เข้าใจเหรอว่าฉันกำลังตามจีบเธออยู่”
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อทันที “หัวหน้า…นายไม่ควรล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันแอบชอบเธอมา 2 ปีแล้ว แต่เธอไม่เคยยอมรับมันเลย ฉันก็เลยตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องสารภาพออกมาตรง ๆ” เหม่ยเสี่ยวเหวินขยิบตาให้เธอก่อนที่เขาจะสตาร์ทรถแล้วเหลือบมองไปที่คนข้าง ๆ
กู้เหนียนจื่อยังอายุไม่ถึง 18 ปี ซึ่งเธออายุน้อยกว่าคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน 4-5 ปี เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วเธอยังเด็กมาก แน่นอนว่าเพื่อนร่วมชั้นทุกคนรู้ว่าเธอยังเด็ก ดังนั้นนักศึกษาชายส่วนใหญ่จึงปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นน้องสาวและดูแลเธออย่างดี แต่ไม่เคยมีใครเข้าหาเธอในฐานะแฟน
ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องใหม่และน่าตื่นเต้น ใบหน้าที่สวยหวานและละเอียดอ่อนของเธออดไม่ได้ที่จะแดงขึ้นจนเป็นสีชมพู ภาพนั้นมันทำให้พวงแก้มดูเย้ายวนราวกับลูกพีชสุก
“ทำไมเธอไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ เธอไม่เชื่อฉันเหรอ?” หัวหน้าหนุ่มหัวเราะ “เมื่อวานฉันสารภาพกับอาของเธอไปแล้ว แต่เธอยังไม่เชื่อฉันอีกเหรอ?”
ในที่สุดหญิงสาวก็นั่งนิ่งกะพริบตาปริบ ๆ ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นและดูขุ่นมัว “หัวหน้า ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่านายกำลังจีบฉัน”
“เธอไม่รู้จริง ๆ เหรอ? ก่อนหน้านี้ถ้ามีข่าวการฝึกงานในบริษัทขนาดใหญ่ ฉันจะบอกเธอก่อนเสมอ ฉันจะบอกคนอื่นในชั้นเรียนของเราถ้าเธอไม่ต้องการ เธอไม่ชอบวิ่งออกกำลังกายเก็บแต้มตอนเช้า ฉันเลยช่วยเธอ เวลาที่เธอกลับดึกหลังเลิกเรียน ฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องเพื่อรอเธอและพาเธอกลับไปส่งที่ทางเข้าหอพักก่อนจะกลับ เธอชอบนอนตื่นสายแล้วไม่ทันกินมื้อเช้าก่อนไปเรียน ฉันเลยซื้อเค้กนมน้ำผึ้งมาให้เธอในช่วงพัก เหนียนจื่อ ที่ฉันบอกเธอทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อให้เธอมาชื่นชมอะไรฉัน แต่นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังจะจบการศึกษา ถ้าเธอยังไม่รู้ว่าฉันชอบเธอและกำลังจีบเธออยู่ แสดงว่าฉันล้มเหลวมากในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง”