บทที่ 21 : ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมา
ดวงตาของกู้เหนียนจื่อขยับอย่างรวดเร็วภายใต้เปลือกตาของเธอ ราวกับว่าเธอพยายามอย่างมากที่จะตื่นขึ้นมา แต่ไม่สามารถลืมตาได้
เธอไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน จิตใจของเธอติดอยู่ในความฝันอันไม่รู้จบ ในความฝัน เธอได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน นั่นคืออุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เธอประสบเมื่ออายุ 12 ขวบ
หญิงสาวจำไฟที่โหมกระหน่ำในรถได้ เธอยังจำได้ว่าฮัวเฉาเหิงเป็นคนที่ช่วยเธอออกมาจากรถที่อยู่ห่างจากการระเบิดเพียงครู่เดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าตอนนั้นเธอยังไม่รู้จักชื่อของชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรก แต่เธอจำเขาได้ เธอจำได้ว่าเขาช่วยเธอจากรถที่ไฟไหม้
ในตอนนั้นเธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน หรือกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เธอจำไม่ได้ว่าตนอาศัยอยู่ที่ไหนหรือพ่อแม่ของเธออยู่แห่งหนใด
รถที่เธอใช้อยู่คงจะเป็นเบาะแสที่สำคัญที่สุดหากมันไม่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านจากการระเบิดครั้งใหญ่นั้น บนพื้นบริเวณนั้นเหลือไว้เพียงหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากจนดูเหมือนเกือบจะจงใจ แต่กองทัพจักรวรรดิไม่สามารถตรวจสอบร่องรอยของวัตถุระเบิดจากที่เกิดเหตุได้เลย
แต่แน่นอนว่าการระเบิดของน้ำมันเบนซินธรรมดาไม่สามารถทำให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่แบบนี้ได้ใช่ไหม?
ตอนนั้นเธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนขับรถ
ในความฝัน เธอหวนคิดถึงโศกนาฏกรรมเมื่อ 6 ปีก่อน ตัวเธอเองในวัย 12 ขวบกำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง เธอพยายามหนีออกจากรถอย่างสิ้นหวัง ฮัวเฉาเหิงเป็นคนดึงเธอออกมาจากกองโลหะที่พังยับเยินและลุกไหม้ แล้วปกป้องเธอจากแรงระเบิด
เมื่อเด็กน้อยได้รับการช่วยเหลือ เธอก็เป็นเหมือนกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่กำลังหวาดกลัว เธอจะกัดใครก็ตามที่พยายามเข้าใกล้ เธอไม่ไว้ใจใครเลยและเมินเฉยทุกคน ยกเว้นชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอ นั่นก็คือฮัวเฉาเหิง
เขาเป็นคนเดียวที่เธอไว้ใจ
ตอนที่ฮัวเฉาเหิงพบกู้เหนียนจื่อครั้งแรก เขาอายุเพียง 22 ปี เขาเพิ่งถูกย้ายกลับไปยังประเทศของเขาหลังจากที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ ผู้บัญชาการมอบหมายให้เขาจัดตั้งกองกำลังปฏิบัติการพิเศษ
ในเวลานั้นเขาเป็นคนเดียวที่สามารถสื่อสารกับเธอได้ กองทัพจักรวรรดิตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้วให้เขาเป็นผู้ปกครองของเธอ
กู้เหนียนจื่อพึมพำด้วยสีหน้าไม่สบายใจในระหว่างที่นอนหลับ
ความทรงจำที่ลืมไปนานแล้วดูเหมือนกำลังวนเวียนอยู่ในหัวของเธอในขณะนี้ หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และหัวของเธอเริ่มเต้นตุบ ๆ
หญิงสาวกัดฟันแน่นพร้อมกับพยายามที่จะคิดให้ออกเพราะเวลานี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ตอนนี้มีภาพเครื่องบินโผล่เข้ามาในความทรงจำของเธอ
เครื่องบินลำนั้นบินอยู่เหนือท้องฟ้าสีคราม มันทะยานผ่านท่ามกลางเมฆสีขาว มีตัวอักษร “MH210” วาดบนลำตัวเครื่องบินด้วยตัวอักษรสีแดงสดขนาดใหญ่และโดดเด่น
เธอเคยเห็นเครื่องบินลำนี้ครั้งหนึ่ง ก่อนที่รถที่เธอนั่งจะระเบิด
ในตอนนี้เธออยู่ใกล้มันมากจนแทบจะทะลุม่านหมอกที่ปกคลุมความทรงจำของเธอจนเกือบจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเกิดอุบัติเหตุเมื่อ 6 ปีที่แล้วได้ แต่มันดูเหมือนจะทำให้สมองของเธอทำงานหนักมากเกินไป
มันไม่สมเหตุสมผลเลย
เธอจำได้ว่าเห็นเครื่องบินลงมาจากท้องฟ้าขณะที่เธอนั่งอยู่ในรถ ในเวลาเดียวกัน เธอจำได้ว่าเหตุการณ์รถชนเกิดขึ้นบนถนนในเมืองที่แออัด ซึ่งอยู่ห่างไกลจากสนามบินและไม่มีร่องรอยของเครื่องบินเลย
ในขณะนี้มือของกู้เหนียนจื่อกำแน่น เธอยังนอนหลับสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วของเธอกลับขมวดแน่น
เวลาต่อมาอุปกรณ์ตรวจสอบการทำงานของสมองของหญิงสาวส่งเสียงเตือนทันที
เฉินหลายเตรียมเข็มขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วและฉีดยากล่อมประสาทให้คนที่นอนอยู่บนเตียงเพื่อให้ตัวยาไปขัดขวางความฝันของเธอ แล้วเธอจะได้กลับไปนอนหลับลึก นี่คือการปกป้องสมองของเธอจากการได้รับความเสียหายจากการทำงานของสมองที่มากเกินไป เธอหมดสติไปได้ 1 สัปดาห์แล้ว เขาไม่คิดว่าร่างกายที่บอบบางของเธอจะสามารถทนต่อการทำงานของสมองที่ผิดปกติได้
สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้คือการนอนหลับพักผ่อน เธอจะตื่นขึ้นอีกทีคงประมาณเช้าวันรุ่งขึ้น
ผู้เป็นหมอมองดูตัวเลขบนจอมอนิเตอร์ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับเจ้านายของเขาอย่างมั่นใจซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายยังคงฟังอยู่ที่ปลายสายของโทรศัพท์ว่า “ผมมั่นใจว่าพรุ่งนี้เช้าเธอคงจะตื่นแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นฮัวเฉาเหิงก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขาเปลี่ยนมือที่ถือโทรศัพท์เป็นอีกมือหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น พาเธอกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ ฉันจะส่งคนไปดูแลเพิ่มเป็นสองเท่า ให้พวกเขายืนเฝ้าและบางส่วนให้ติดตามอย่างลับ ๆ” เขาหยุดพูดไปชั่วครู่แล้วเตือนอีกคนว่า “แล้วอย่าพูดถึงฉันแม้แต่คำเดียว บอกเธอว่าฉันไม่สามารถกลับไปได้และไม่ได้เจอเธอเลยตลอดทั้งสัปดาห์”
เฉินหลายหัวเราะและกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น? เจ้านาย คุณต้องการปิดทองหลังพระเหรอ ไม่อยากให้ใครรู้ถึงการกระทำอันสูงส่งของคุณหรือไง พูดตามตรง ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ผมเลยไม่เคยคิดที่จะพูดถึงเรื่องนั้นกับเธอ”
นอกจากนี้หมอหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายคงจะยกเรื่องลงนามในคำสั่งทหารขึ้นมาพูดอีก เขาพนันได้เลย
“นายไม่ควรพูดจะดีกว่า อย่าลืมว่านายได้ลงนามในคำสั่งทหารแล้ว” มันเป็นไปตามที่เฉินหลายคาดไว้ ท่านนายพลฮัวกำลังคุกคามเขาด้วยคำสั่งทหารอีกครั้ง
ชายหนุ่มกลอกตาขณะที่เขาคร่ำครวญว่า “ไม่ต้องเตือนผมทุกวันหรอกน่า! ความจำของผมดีพอ ๆ กับคุณแหละ!” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงลุกขึ้นและเรียกผู้บังคับบัญชาสองคนเข้ามาแล้วเก็บอุปกรณ์ทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน เขาขอให้อี้ซี่ถานช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าของกู้เหนียนจื่อ ก่อนที่จะพาเธอไปขึ้นรถ
คืนนั้นเองหญิงสาวถูกพากลับไปที่เพ้นท์เฮาส์ในเขตเฟิงหยางขณะยังนอนหลับอยู่
อาคารอพาร์ตเมนต์ของเธอมี 2 ยูนิตต่อชั้น แต่ชั้นบนสุดมีเพ้นท์เฮาส์เพียงห้องเดียว โดยมีลิฟต์ที่ขึ้นไปยังชั้นนั้นโดยตรง นอกจากมันจะปลอดภัยมากแล้วมันยังหลบสายตาของคนอื่นได้ด้วย
ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ กู้เหนียนจื่อลืมตาขึ้นในเช้าของวัน ดวงตาโตของเธอซึ่งยังไม่ชินกับแสงยามเช้าปิดลงอีกครั้งทันทีที่เปิดขึ้น
เธอยกมือขึ้นมาป้องตาของตนเองทันที สิ่งที่เธอต้องการก็คือการนอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียงให้นานขึ้นอีกนิด
ทันใดนั้นโทนเสียงนุ่มที่ไพเราะก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงเรียกที่คุ้นเคยที่เป็นของประธานรุ่นของเธอ เจ้าของเสียงนั้นก็คือเหม่ยเสี่ยวเหวิน “ตื่นแล้วเหรอ”
ในที่สุดกู้เหนียนจื่อก็ลืมตาขึ้น เธอมองไปรอบ ๆ อย่างละเอียด แล้วพบว่าตอนนี้เธออยู่ในอพาร์ตเมนต์ของเธอแล้วกำลังนอนอยู่บนเตียงตัวเอง
“ประธาน? นายมาทำอะไรที่นี่?” หญิงสาวจ้องมองผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ข้างเตียง
วันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าและกางเกงขายาวสีดำ เสื้อผ้าของเขาเรียบร้อยและเนี้ยบ ไม่มีรอยยับแม้แต่นิดเดียว
เหนือเสื้อเชิ้ตของเขาคือคาร์ดิแกนคอวีสีเทาเข้มที่ทำจากผ้าแคชเมียร์บาง ๆ บนใบหน้าอันชาญฉลาดของเขามีแว่นตาขอบทองคู่หนึ่ง ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มขี้เล่น เขายืนอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอด้วยท่าทางอ่อนโยน พลางสอดมือของเขาไว้ในกระเป๋า
เหม่ยเสี่ยวเหวินหันกลับมาจ้องมองสายตาที่ช่างสังเกตของกู้เหนียนจื่อและสังเกตรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอซึ่งแตกต่างกับรูปลักษณ์ตอนที่อยู่ในที่สาธารณะอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูม่านตาที่ใหญ่และเป็นสีดำธรรมชาติของหญิงสาวตรงหน้า มันดึงดูดความสนใจของเขา ใบหน้าที่เล็กและวิจิตรงดงามของเธอเรียบเนียนไร้ที่ติ ประกอบกับสีดอกกุหลาบจาง ๆ ที่แก้มของเธอ ตอนนี้ดวงตาคู่สวยนั้นกำลังเบิกกว้างราวกับกวางเป็นประกายระยิบระยับ เธอดูเหมือนเพิ่งเดินออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น เขาเยาะเย้ยสาวขี้อิจฉาในมหาวิทยาลัยในใจของเขาซึ่งเธอมักจะแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับความงามของกู้เหนียนจื่ออย่างเกลียดชัง โดยกล่าวหาว่าเธอแต่งหน้าหนาเป็นนิ้วหรือสวมคอนแทคเลนส์
ประธานหนุ่มพยายมมบังคับตัวเองให้ละสายตาออกมาจากภาพที่สวยงามนั้น จากนั้นเขาก็หัวเราะ “เธอป่วยมา 1 สัปดาห์แล้ว ฉันก็เลยมาดูเธอในนามของประธานรุ่น”
“โอ้!” กู้เหนียนจื่อตอบรับ เธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ฉันป่วยมาทั้งสัปดาห์? จริงเหรอ? ทำไมฉันถึงได้หลับไปนานขนาดนี้”
เมื่อพูดอย่างนั้น เธอจำงานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านตระกลูเฟิงได้ทันที เธอนึกถึงสถานการณ์ที่น่าอับอายและน่าอึดอัดอย่างมากที่ตามมาหลังจากมีคนพยายามทำร้ายเธอระหว่างงานเลี้ยง เธอจำได้ว่าคนสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนจะสลบไปคือเฉินหลาย เธอเหลือบมองและถามว่า “ว่าแต่ประธาน ใครให้นายเข้ามาที่นี่”
เนื่องจากที่นี่คือห้องนอนส่วนตัวของเธอ
คนถูกถามกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง เขามองดูแก้มสีชมพูระเรื่อของเธอและยิ้มขณะที่เขาพูดว่า “ฉันคิดว่าเขาเป็นอาของเธอ”
“ฮัวเฉา?” หญิงสาวถามด้วยสีหน้ากังวล เธอทำท่าทางพลางบรรยายถึงเขาไปด้วย “คนที่สูง ๆ หล่อ ๆ หน้าตาดูเคร่งขรึมใช่ไหม?”
“เอ่อ…” เหม่ยเสี่ยวเหวินลังเลในขณะที่เขามองไปที่กู้เหนียนจื่อ เขาพยายามเดาสายตาของเธอ
คนที่ยอมให้เขาเข้ามามีใบหน้ากลม จมูกกลม และปากกลม เขาไม่ได้เตี้ยนัก แต่คงไม่มีใครเรียกเขาว่า ‘สูง’ ส่วนเรื่อง ‘หล่อ’ นั้น ไม่น่าถามเลย แต่ชายคนนั้นได้บอกนามสกุลของเขาแล้วด้วยและไม่ใช่ ‘ฮัว’
“เขาบอกนามสกุลว่า ‘เฉิน’ เธอรู้จักเขาไหม” ชายหนุ่มตอบอย่างระมัดระวังขณะที่เขาจัดผ้าห่มให้อีกฝ่าย
ปล.เราขอแก้เรื่องฉากบังหน้าที่ฮัวเฉาเหิงเป็นลุงของกู้เหนียนจื่อในบทที่ 11 เป็นอาแทนนะคะ
บทที่ 22 : ฉันไม่ได้มีฐานะสูงส่ง
“อ้อ” กู้เหนียนจื่อกล่าวเบา ๆ และผ่อนคลายทันที
สำหรับเฉินหลายเธอไม่รู้สึกกังวลเพราะเธอไม่ต้องการให้ฮัวเฉารู้ว่าเธอได้เจอกับสถานการณ์ที่อับอาย
“นั่นพี่เฉินของฉัน” หญิงสาวหัวเราะคิกคักขณะที่เธออธิบาย ก่อนจะถามต่อว่า “เขาอยู่ที่ไหน?’
“เขาบอกว่าเขามีบางอย่างที่ต้องไปทำ เขาเพิ่งออกไปเอง” เหม่ยเสี่ยวเหวินลุกขึ้นแล้วเทน้ำหนึ่งแก้วให้เธอ “หิวน้ำไหม?”
ฝ่ายที่ถูกถามเลียริมฝีปากที่แตกแห้งแล้วรับแก้วน้ำมาด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนที่เธอจะจิบน้ำแล้วกล่าวขอบคุณเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นั่งก่อนเถอะ ประธาน นายเป็นแขกฉัน มันจะไม่หยาบคายไปหน่อยเหรอที่ฉันต้องให้นายเสิร์ฟน้ำให้ฉัน”
ประธานหนุ่มเม้มปากด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่สง่างามของเขาดูอ่อนโยน เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “เหนียนจื่อ เธออาศัยอยู่ที่นี่เหรอ? เราทุกคนคิดว่า…”
ทุกคนในคณะรู้ดีว่ากู้เหนียนจื่อเป็นเด็กกำพร้าและมีอาที่มีฐานะปานกลางเป็นผู้ปกครอง ปกติเธอชอบแต่งตัวสบาย ๆ แม้ว่าเธอจะเป็นคนสวย แต่นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่มีดวงตาแหลมคมที่มหาวิทยาลัย C จะมองรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับแรก เช่น สิ่งที่เธอสวมใส่ แบรนด์รองเท้าและกระเป๋าของเธอ ตลอดจนสถานที่ที่เธออาศัยอยู่ หญิงสาวมักจะอยู่ในหอพัก เธอไม่มีสินค้าแบรนด์เนมและไม่อยู่ในหอพักในช่วงสุดสัปดาห์ มีคนว่ากันว่าเธอทำงานนอกเวลาเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเรียนของเธอ ทุกคนคิดว่าเธอมีปัญหาด้านการเงินแล้วรู้สึกสงสารเธอ
ในขณะที่เหม่ยเสี่ยวเหวินเป็นลูกชายของครอบครัวที่ร่ำรวยและสถานะของพวกเขาสูงกว่าตระกลูเฟิง เขาสามารถบอกได้ว่าอพาร์ตเมนต์ของกู้เหนียนจื่อ ในเขตเฟิงหยางนั้นไม่ใช่ถูก ๆ หากเธอเป็นเด็กกำพร้าที่มีฐานะปานกลางจริง ๆ เธอจะไม่สามารถซื้อบ้านแบบนี้ได้ เครื่องเรือนนั้นหรูหราและปราณีต แม้แต่ตัวเหม่ยเสี่ยวเหวินก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้มาจากไหน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะประมาณค่าของพวกมันไม่ได้
กู้เหนียนจื่อเอียงศีรษะพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เธอไม่สะทกสะท้านและพูดอย่างเฉียบขาดว่า “อ่า นายกำลังพูดถึงบ้านหลังนี้เหรอ? ไม่ใช่ของฉันหรอก ฉันช่วยดูแลแทนน่ะ นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นยังไง”
“ดูแลแทน?” ชายหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ หรือบ้านของญาติเธอเหรอ”
เขาคิดว่าถ้าญาติของหญิงสาวสามารถซื้อบ้านแบบนี้ได้ เธอน่าจะมีฐานะที่ค่อนข้างดี
คนถูกถามโบกมือไปมา “ไม่ ๆ นี่ไม่ใช่บ้านญาติของฉันด้วย บอกตามตรง บ้านหลังนี้เป็นของคนอื่น ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศ พวกเขาไม่ต้องการปล่อยให้บ้านว่างหรือให้เช่า พวกเขาก็เลยหาคนที่พวกเขาไว้ใจมาดูแล ฉันเจอกับพวกเขาตอนที่ฉันทำงานอยู่ พวกเขาเลยให้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อช่วยทำความสะอาด เช็คจดหมาย ชำระค่าธรรมเนียมการจัดการทรัพย์สินและค่าสาธารณูปโภค ดูสิ ห้องนอนใหญ่ตรงนั้นล็อกอยู่ นั่นคือห้องของพวกเขา เข้าไปไม่ได้นะ ส่วนใหญ่ฉันอยู่แต่ในห้องนอนที่เล็กที่สุด อีกอย่าง ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนด้วย”
กู้เหนียนจื่อไม่อยากให้ใครรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฮัวเฉาเหิง เธอไม่อยากใช้ชื่อเสียงอันทรงเกียรติของเขา หรือเธอไม่อยากชินกับความหรูหราทั้งหมดนี้ เธอคิดอยู่เสมอว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเธอ เมื่อเธอฟื้นความทรงจำของเธอกลับคืนมาแล้ว เธอจะบอกลาฮัวเฉาเหิงและกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เธอเคยเป็นมากับผู้คนที่เธอรู้จัก
ตอนนี้อพาร์ตเมนต์อยู่ภายใต้ชื่อของผู้ปกครองหนุ่มและห้องนอนใหญ่ก็เป็นของเขาด้วย แต่เขายุ่งมากและใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานทัพปฏิบัติการพิเศษ เขาจะอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในช่วงสุดสัปดาห์เมื่อกู้เหนียนจื่อกลับมา เพราะเขากังวลว่าเธอจะอยู่คนเดียวตามลำพัง สำหรับชั้นสองนั้นเป็นที่ตั้งของสตูดิโอ สนามยิงปืนและยิมของชายหนุ่ม เธอรู้สึกเกลียดสนามยิงปืนและยิมตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะเขาได้ฝึกฝนและคอยจับตาดูนาฬิกาจับเวลาเพื่อควบคุมการฝึกของเธอ
สำหรับคนที่เกลียดการวิ่งระยะไกล การเห็นลู่วิ่งในยิมก็เหมือนเห็นศัตรูตัวฉกาจของตนเอง
“ไม่แปลกใจเลยที่เธอไม่ได้อยู่ที่หอทุกวัน” เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้มและพยักหน้า เขาเชื่อคำพูดของหญิงสาวหมดใจ
เป็นเพราะพวกเขารู้ว่ากู้เหนียนจื่ออาศัยอยู่ในหอพักสตรีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย C เธอจะมาที่นี่แค่วันหยุดสุดสัปดาห์และมีคนบอกว่าเธอทำงาน เธอได้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรื่องราวที่เธอเล่าสอดคล้องกับข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอแล้ว
กู้เหนียนจื่อพยักหน้ายิ้ม ๆ “นั่นแหละ”
เธอก้มหน้ามองตัวเองและเห็นว่าเธอไม่ได้สวมชุดราตรี แต่เธอกลับอยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายอียิปต์ลายดอกเชอร์รี่สีชมพู แขนยาวและกางเกงขายาวเต็มตัว และปกเสื้อที่เรียบร้อย เธอรีบยกผ้าห่มบาง ๆ ออกทันทีเพื่อลุกจากเตียงแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่กะพริบตา “ประธาน ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว ขอบคุณนะที่มาเยี่ยมฉัน”
เมื่อเห็นว่าอีกคนตั้งใจจะสื่อว่าเขาควรกลับไปได้แล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็จำเหตุผลหลักที่เขามาที่นี่ได้ เขาเอียงศีรษะด้วยความกังวลเพื่อมองดูใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของหญิงสาวตรงหน้า “เหนียนจื่อ เรื่องการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายของเธอสำหรับการสมัครเข้าเรียนปริญญาโทน่ะ…”
“สัมภาษณ์เข้าเรียนปริญญาโท? โอ๊ย! แย่แล้ว! ฉันลืมไปได้ยังไงเนี่ย!” คนถูกทักสติแตกอย่างกะทันหัน เธอตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ ใบหน้าของเธอเหยเกด้วยความเจ็บปวด “ฉันควรทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี? การสัมภาษณ์ของฉัน!”
นี่ก็ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว เธอพลาดการสัมภาษณ์ไปนานแล้ว!
ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยค เธอได้ยินเสียงคลิกของตัวล็อคประตู ก่อนที่ศีรษะกลม ๆ ของเฉินหลายจะโผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “เหนียนจื่อ ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้ว!” ต่อมาเขาตกใจที่เห็นกู้เหนียนจื่อกระโดดไปมารอบห้อง เขากำลังตกใจและกังวลว่านี่เป็นอาการผิดปกติสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งตื่นจากอาการโคม่านาน 1 สัปดาห์หรือเปล่า
ถ้าหมอหนุ่มไม่ได้ดูแลอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เขาคงไม่เชื่อว่าเธอเป็นผู้ป่วยที่มีอาการโคม่านานถึง 1 สัปดาห์มาก่อน
“พี่เฉิน! มันผ่านไป 1 สัปดาห์แล้วจริง ๆ เหรอ?” กู้เหนียนจื่อรู้สึกประหม่าเล็กน้อยขณะที่เธอขยับเข้ามาใกล้เขา “ฉัน… การสัมภาษณ์ของฉัน…”
เฉินหลายอยากจะให้กำลังใจเธอ แต่เขาหันกลับมาเห็นเหม่ยเสี่ยวเหวินมองดูพวกเขาด้วยความสนใจระหว่างที่พวกเขาคุยกัน มันจึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขากระแอมก่อนจะพูดว่า “อะแฮ่ม ประธานเหม่ยใช่ไหม? ขอบคุณที่มาเยี่ยมเหนียนจื่อของเรา เธอเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ฉันเลยอยากพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อย คุณอยากไปด้วยไหม?” เขาจงใจเดินออกไปโดยหวังว่าคู่สนทนาจะเข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ
ประธานหนุ่มเข้าใจอีกฝ่ายและพูดอย่างรวดเร็วว่า “ผมแค่แวะมาเยี่ยมเหนียนจื่อ ผมดีใจที่รู้ว่าเธอดีขึ้นแล้ว” เขาพูดพลางหยิบกล่องของขวัญที่เขานำมาด้วยออกมา “นี่คือของขวัญที่ฉันอยากให้เธอในงานวันเกิดของเฟิงอี้ซี ฉันซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ เก็บไว้ใช้เมื่อมีโอกาสนะ”
กู้เหนียนจื่อรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเหม่ยเสี่ยวเหวิน เธอจะมาพาลโกรธเขาไม่ได้ เธอยิ้มขณะที่เธอรับของขวัญมาด้วยมือทั้งสองข้าง “ประธาน นายใจดีเกินไปแล้ว ไว้ฉันจะตอบแทนนายหลังจากที่ฉันกลับไป”
ชายหนุ่มมองเธอแล้วนึกถึงงานเลี้ยงวันเกิดของเฟิงอี้ซีเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ในตอนนั้นทุกคนยังคงพูดคุยและหัวเราะกัน แต่ตอนนี้พวกเขาเหมือนอยู่กันคนละโลก หัวใจของเขารู้สึกเหนื่อยล้าในขณะที่เขาถอนหายใจและพูดว่า “อ่า เธอยังไม่รู้ใช่ไหม? เพื่อนร่วมรุ่นของเราโด่งดังมากในโลกออนไลน์เมื่อเร็ว ๆ นี้”
“โด่งดัง?” หญิงสาวถามพร้อมกับเปิดของขวัญไปด้วย “นายกำลังจะบอกว่ามีคนในรุ่นของเรามีชื่อเสียงในตอนนี้เหรอ?”
“ใช่ คนดัง เป็นเพราะเพื่อนสนิทของเธอ เฟิงอี้ซีดังเป็นพลุแตกเลย”
กู้เหนียนจื่อชะงักไปชั่วคราว มือของเธอเลื่อนไปเปิดกล่องของขวัญบางส่วน เธอยิ้มแห้ง ๆ แล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นเหรอ? ฉันต้องไปแสดงความยินดีกับเธอแล้วสิ แต่ฉันจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอได้ยังไง อย่าเข้าใจผิดสิ เราสองคนมันละชั้นกันเลย”
MANGA DISCUSSION