วิวาห์ 365วัน - ตอนที่ 5 มารยาร้อยเล่มเกวียน
มู่เฉี่ยนได้จองห้องอาหารส่วนตัวไว้ที่ร้านอาหารชั้นเลิศที่สุดในเมืองถง ซึ่งก็คือ ฮัวจุ้ย เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณหลินซู่
แล้วเนื่องด้วยในเดือนเมษายนนั้ เป็นช่วงที่ดอกไม้นานาพันธุ์พากันผลิดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอม ดังนั้นสวนหย่อมของร้านอาหารแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง และส่งกลิ่นหอมเไปทั่วทั้งสวน สมกับชื่อ ฮัวจุ้ย ของร้าน ที่แปลว่า เมามายไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้
มู่เฉี่ยนในชุดกระโปรงสั้นสีเขียวเข้มเดินเข้ามายังฮัวจุ้ย ในค่ำคืนนี้เธอดูช่างงดงามดุจดอกไม้หายากแห่งเมืองถง
และในขณะที่บริกรนำทางเธอไปตามทางเดินของฮัวจุ้ย ที่ตกแต่งแบบสไตล์จีนดั้งเดิมเพื่อไปยังห้องอาหาร แต่แล้วโทรศัพท์มือถือของมู่เฉี่ยนก็ดังขึ้น
ทางเดินไปยังห้องอาหารส่วนตัวนั้นค่อนข้างที่จะคดเคี้ยว และตกแต่งไปด้วยไผ่ต้นเล็ก ๆ บาง ๆ ตลอดทาง และไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่านมากนัก ใต้ทางเดินสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบ ที่สะท้อนแสงจันทร์จากดวงจันทร์บนท้องฟ้าได้พอดี ช่างเป็นวิวทิวทัศน์ที่น่าอภิรมย์ยิ่ง
หลังจากมู่เฉี่ยนได้ยินเสียงของปลายสายที่พูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและนุ่มนวลนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงการผสมผสนามกันได้ดี ระหว่างเสียงที่นุ่มนวลของเขากับทัศนียภาพเบื้องหน้า
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ “ หลินซู่กล่าว “พอดีว่าที่บริษัทเกิดเรื่องด่วนต้องรีบเข้าไปจัดการน่ะ เกรงว่ามื้อค่ำนี้คงจะไปไม่ได้แล้วสิ”
“งี้นี่เอง…” มู่เฉี่ยนได้ยินดังนั้นก็ชะลอฝีเท้าลงอัตโนมัติและถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
เธอเงยหน้ามองไปที่ริมทะเลสาบ ก็เห็นเข้ากับชายรูปร่างผอมสูงคนหนึ่ง กำลังยืนพิงราวระเบียง แล้วก้มหน้าลงจุดบุหรี่
ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นแขกที่มารับประทานอาหารจากห้องไหนซักห้องหนึ่ง เพราะดูจากการที่เขาเดินออกมาโดยที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ ไม่มีเสื้อแจ็คเก็ตหรือเสื้อสูทคลุมอยู่ มันทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า เขาแค่ออกมาสูดอากาศข้างนอก ชายคนนั้นยกมือขึ้นทำท่าจะจุดไฟแช็ค และขณะเดียวกันกระดุมสีเงินที่แขนเสื้อก็สะท้อนวิบวับเข้ามาในตาของมู่เฉี่ยนด้วย เมื่อไฟแช็คถูกติดไฟขึ้น ก็ทำให้เห็นถึงมือทั้งสองข้างของเขาที่มีนิ้วมือเรียวยาว และรู้ได้ทันทีเลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะสำอาง ดวงตาคมเข้มสะท้อนกับประกายไฟที่ถูกติดอยู่ในมือ ทำให้เห็นถึงความนุ่มลึกภายใต้คิ้วหนานั้นของเขาได้อย่างชัดเจน
ทะเลสาบพลิ้วไหวไปตามลมฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ยังคงพัดพาความเย็นชื้นของฤดูหนาวครั้งก่อนผ่านมาอยู่บ้าง ทำให้รู้สึกถึงความหนาวเย็นเล็กน้อย
แต่สำหรับมู่เฉี่ยนแล้วนั้น เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่กลัวความหนาวเย็น และลมฤดูใบไม้ผลิแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้อยู่แล้ว แต่ในวินาทีนั้น มู่เฉี่ยนกลับสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นสุดขีด เธอยังรู้สึกถึงเลือดในร่างกายที่กำลังหยุดนิ่ง และจู่ ๆ ก็ตัวสั่นจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
ผ่านไปพักใหญ่กว่าเธอจะรู้สึกดีขึ้น เธอจึงรีบวนกลับมาให้ความสนใจกับบุคคลปลายสายทันที แล้วตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ยังไงซะ คืนนี้ฉันก็จะเลี้ยงตอบแทนคุณค่ะ ถ้าหากว่าคุณไม่มาตามนัด ฉันจะถือว่าคุณติดค้างฉันนะคะมื้อนี้”
ด้านของบุคคลปลายสายได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา เบา ๆ ก่อนจะตอบกลับ “ได้เลย”
แล้วมู่เฉี่ยนก็กดวางสายก่อนจะหันไปมองหน้าบริกร แล้วบอกกับเขาไปว่า “เพื่อนของฉันคงไม่มาแล้วล่ะค่ะ รบกวนช่วยยกเลิกการจองห้องอาหารทีนะคะ”
พูดจบ มู่เฉี่ยนก็พร้อมที่จะเดินออกจากร้านอาหารทันที แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่เธอ พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา เบา ๆ แต่นั่นก็ยังเสียงดังพอที่เธอจะได้ยินอยู่
“นี่ใช่คุณมู่รึเปล่าครับ?” เฉินซิงฉีมองหน้าเธอ และยิ้มให้ด้วยสีหน้าที่เหมือนกับว่า ยินดีที่ได้พบ “ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าเราจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่น๊า คิดไม่ถึงเลยครับว่าจะได้พบกันที่นี่ ดูท่าเราสองคนจะมีวาสนาต่อกันนะครับ”
พูดจบ เฉินซิงฉีก็โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อพูดกับมู่เฉี่ยนใกล้ ๆ “ในเมื่อวันนี้เราได้พบกันแล้ว เรามาทานข้าวด้วยกันซักมื้อดีมั้ยครับ?”
มู่เฉี่ยนมองไปที่เขาก่อนจะยิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” เฉินซิงฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางมือบนไหล่ของมู่เฉี่ยน แล้วรวบปอยผมของเธอขึ้นมาจับไว้ ก่อนจะพูดต่อว่า “กลัวว่าผมจะกินคุณเหรอ?”
มู่เฉี่ยนเห็นแววตาที่ดูยั่วยุแกมเจ้าเล่ห์ของเขา ก็ต้องรีบเชิดหน้าขึ้นแล้วดึงผมของเธอกลับคืนมา ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่แฝงความหมายบางอย่าง “มันขึ้นอยู่กับว่าคุณชายน้อยเฉินจะหิวมากแค่ไหนต่างหากล่ะค่ะ”
เฉินซิงฉีหัวเราะออกมา ก่อนจะรวบเอวมู่เฉี่ยนแล้วพาเธอเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่สนว่าเธอจะสมัครใจหรือไม่
แต่หลังจากที่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เฉินซิงฉีก็เจอเข้ากับใครบางคนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ ทำให้เขารีบเดินเข้าไปที่ชายผู้นั้น “คุณฮั่วครับ ทำไมถึงออกมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ?”
มู่เฉี่ยนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินซิงฉี ก็มองไปที่ฮั่วจิ้นซีเช่นกัน
ฮั่วจิ้นซีที่ในมือกำลังคีบบุหรี่อยู่นั้น ก็ยังคงท่าทางที่เย็นชาและเคร่งขรึมอยู่เหมือนเดิม เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแลคสีดำที่เขาสวมอยู่นั้นสะท้อนแสงจันทร์ที่สว่างอยู่เบื้องหลังของเขา จนทำให้เขาดูเหมือนหลุดออกมาจากห้วงเวลาที่หาความอบอุ่นจากตัวเขาไม่ได้เลย
และในทันทีที่ฮั่วจิ้นซีได้เจอกับเฉินซิงฉี เขาก็ยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืน ๆ บวกกับความว่างเปล่าในดวงตาของเขา เนื่องจากความอ่อนเพลียที่ฮั่วจิ้นซีต้องเจอมาทั้งวัน “ข้างในคนเยอะเกินไป เลยออกมาสูดอากาศข้างนอกซักหน่อยน่ะ”
หลังจากพูดจบ สายตาของฮั่วจิ้นซีก็มองมาที่มู่เฉี่ยนทันที แต่สีหน้าของเขากลับนิ่งเฉยและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใดเกิดขึ้นต่อจากนั้นเลย
มู่เฉี่ยนสบตากับเขา และยิ้มออกมาอย่างเป็นกันเอง
“นี่คุณมู่เฉี่ยนครับ” เฉินซิงฉีกล่าวพลางหันไปยักคิ้วกับมู่เฉี่ยน แล้วพูดต่อว่า “เพื่อนใหม่ผมเอง”
มู่เฉี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะทักทาย “สวัสดีค่ะ คุณฮั่ว”
ฮั่วจิ้นซียังคงจ้องมองมู่เฉี่ยนเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์อย่างค่อย ๆ โดยไม่ละสายตา
เฉินซิงฉีเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงคิดในใจว่ามู่เฉี่ยนคนนี้มารยาร้อยเล่มเกวียนจริง ๆ
ขนาดหลินซู่ เศรษฐีใหม่แห่งเมืองถง ที่ว่ากันว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างกะทันหัน และตัวเขาเองก็ประกาศตนว่าจะไม่คบหากับผู้หญิงคนไหนอีกเลย แต่เมื่อคืนนี้เขากลับพลาดท่าโดนมู่เฉี่ยนคนนี้แตะเนื้อต้องตัวและขึ้นรถของเขากลับบ้านไปอีก
ส่วนฮั่วจิ้นซี บุตรชายคนเดียวของตระกูลฮั่วคนนี้ เป็นคนที่มีนิสัยเย็นชาและไม่ค่อยจะสนใจผู้หญิงซักเท่าไหร่ จนทำให้มีข่าวลือต่าง ๆ นานา เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของเขา ว่าเขาอาจจะเป็นเกย์ แต่ถึงอย่างไรเสีย แววตาที่เขาจ้องมองมู่เฉี่ยนอยู่ในตอนนี้ มันทำให้อดสงสัยไม่ได้เลยว่า นี่น่ะเหรอที่ลือกันนักหนาว่าเขาผู้นี้อาจจะเป็นเกย์?
เฉินซิงฉีอดพล่ามขึ้นมาในใจไม่ได้
ตระกูลฮั่วเป็นครอบครัวใหญ่ และธุรกิจของตระกูลฮั่วเองก็เป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของเมืองถงอีกด้วย ส่วนตระกูลเฉินนั้นเป็นเพียงดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมาใหม่ และต้องการจะผูกมิตรกับตระกูลฮั่วมาโดยตลอด แต่ฮั่วจิ้นซีนั้นมักจะเย็นชาและไม่ค่อยไว้หน้าตระกูลเฉินซักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดพิศดารอะไรขึ้นมา ผู้ทรงศีลผู้นี้ถึงยอมมารับประทานอาหารร่วมกับตระกูลเฉินได้ ทำให้เฉินซิงฉีไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามมากเกินไปในคืนนี้
และถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่เต็มใจ ถ้าหากว่าฮั่วจิ้นซีถูกใจมู่เฉี่ยนขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรมากมายได้หรอก จริงมั้ย?
“คุณฮั่วครับ?” เฉินซิงฉีแสร้งเรียกฮั่วจิ้นซีขึ้นเพื่อให้เขาได้สติ “เราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในดีกว่ามั้ยครับ?”
ฮั่วจิ้นซีถอนสายตากลับมาทันที แล้วพยักหน้ากับเฉินซิงฉีก่อนจะเดินเข้าห้องอาหารที่อยู่ด้านหลังมู่เฉี่ยน
ในขณะที่เขาเดินผ่านหน้ามู่เฉี่ยนไปนั้น เธอเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นไฝเล็ก ๆ หลังใบหูของฮั่วจิ้นซี
เมื่อก่อนไหล่กว้างนั้นของเขาจะตรงกับระดับสายตาของมู่เฉี่ยนพอดี แต่ด้วยความที่เธอสูงขึ้นมากกว่าเดิม จึงทำให้เห็นได้ถึงใบหูของเขาแล้วในตอนนี้
เมื่อสติของมู่เฉี่ยนกลับมาจากภวังค์ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอเมื่อสักครู่นี้
หลังจากนั้นเฉินซิงฉีก็พาเธอเข้าไปในห้องอาหารด้วย แต่คราวนี้เขาไม่กล้าจะฉวยเอวของเธอเหมือนทีแรกอีก
ภายในห้องอาหารนั้นมีผู้คนมากมาย ประมาณ 10 กว่าคน และบรรยากาศก็ดูคึกครื้นดีอีกด้วย ฮั่วจิ้นซีผู้ซึ่งเป็นเจ้าภาพในวันนี้ นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร โดยที่นั่งทางด้านซ้ายมือของเขาก็คือเฉินมู่เฉิน ลูกชายคนโตของตระกูลเฉิน แต่ที่นั่งทางด้านขวาของเขายังคงว่างอยู่
เฉินซิงฉีจึงพามู่เฉี่ยนไปส่งถึงข้างกายฮั่วจิ้นซี แล้วแสร้งพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเป็นคนคุ้นเคยกันว่า “เฉียนเฉี่ยน นั่งตรงนี้นะ”
คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ เป็นคนของตระกูลเฉิน และทุกคนในที่นี้(ยกเว้นฮั่วจิ้นซี) ยังเข้าร่วมงานหมั้นของเฉินเยียนกับจี้สุยเฟิงอีกด้วย สีหน้าของแต่ละคนดูประหลาดใจเล็กน้อยที่มู่เฉี่ยนปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งที่นี่ แม้แต่เฉินมู่เฉินเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและจ้องมองไปที่เธอ แต่มู่เฉี่ยนกลับทำสีหน้าเหมือนว่าประทับใจที่เธอได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง
แล้วมู่เฉี่ยนก็เริ่มแผนการหักหน้าเฉินซิงฉีทันที โดยที่เธอลุกจากที่นั่งข้างฮั่วจิ้นซี แล้วเดินไปเลือกที่นั่งที่ยังคงว่างอยู่ข้างเฉินซิงฉี แล้วนั่งลงก่อนจะมองหน้าเขา และพูดว่า “ในเมื่อวันนี้คุณพูดแล้วว่าจะเลี้ยงข้าวฉัน ฉันก็ต้องนั่งข้าง ๆ คุณสิคะ มันจะมีความหมายอะไรถ้าคุณผลักไสให้ฉันไปนั่งข้างคนอื่น? ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย! แต่ถึงจะใจง่ายยังไง ฉันก็ไม่ใช่ตัวล่อที่ตระกูลของคุณจะมาใช้ต่อรองธุรกิจได้หรอกนะ!”
เสียงของมู่เฉี่ยนนั้นดังพอที่จะทำให้คนทั้งห้องอาหารได้ยินเต็มสองรูหูของทุกคน ทำให้คนตระกูลเฉินทุกคนรู้สึกอับอายและทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว
เฉินซิงฉีลุกขึ้นยืน และกำลังจะหันไปหามู่เฉี่ยนด้วยความโมโห แต่ไม่ทันที่เขาจะได้หันไปมองเธอ ก็ต้องเอียงหัวลงไปฟังเฉินมู่เฉินกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างเสียก่อน
เฉินซิงฉีใจเย็นแล้วยอมนั่งลงข้าง ๆ มู่เฉี่ยน ก่อนกัดฟันพูดข้าง ๆ หูเธอว่า “เธอนี่มันนางมารชัด ๆ! “
“แล้วนายกลัวเหรอ?” มู่เฉี่ยนถามกลับก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ “กลัวก็ไล่ฉันไปเลยสิ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยากจะกินข้าวมื้อนี้กับคุณซะหน่อย”
เฉินซิงฉีจ้องมองเธอด้วยความโมโหสุดขีด แล้วหันไปมองทางฮั่วจิ้นซีเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับมู่เฉี่ยนเบา ๆ ว่า “ได้ ถ้าไม่อยากกินข้าว งั้นเราก็มาดวลกัน!”