วิวาห์ 365วัน - ตอนที่ 4 ชายผู้ไม่ยอมใกล้ชิดหญิงสาว
ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในพิธีหมั้นในค่ำคืนนี้ก็คือ งานเต้นรำ หลังจากที่จี้สุยเฟิงกับเฉินเยียนเต้นรำประเดิมงานกันเป็นคู่แรกแล้วนั้น หนุ่ม ๆ สาว ๆ จำนวนมากก็จะทยอยกันเข้ามาที่ฟลอร์เต้นรำ และนั่นก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในค่ำคืนนี้
ณ ห้องรับรองชั้น 2 พ่อแม่ของคู่รักชายหญิง นั่งอยู่ด้วยกันหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเพิ่งทะเลาะกันไป สีหน้าของพวกเขาต่างก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ในขณะที่เฉินซิงฉี ลูกชายคนที่ 2 ของตระกูลเฉิน ยืนพิงหน้าต่างมองดูงานเต้นรำด้วยความสนใจ
ท่ามกลางบรรยากาศเรียบ ๆ ที่ตกแต่งไปด้วยสีโทนอ่อน แต่ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงของสีชุดเดรสย้อนยุค และชายกระโปรงที่กระเพื่อมไปมานั้นก็สะดุดตาเขาในทันที
งานเต้นรำเพิ่งเริ่มขึ้นไม่ถึง 20 นาที แต่มู่เฉี่ยนกลับเปลี่ยนคู่เต้นไปแล้วถึง 5 คน โดยยังมีชายหนุ่มอีกหลายคนที่ยืนรออยู่ทั้งที่ใกล้และไกลจากฟลอร์เต้นรำ เพื่อรอเต้นรำกับสาวงามอย่างเธอ
แล้วประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออก โดยมีจี้สุยเฟิงกับเฉินเยียนเดินเข้ามาข้างใน แล้วนายเฉินผู้เป็นพ่อตาก็โยนถ้วยน้ำชาใส่เท้าของจี้สุยเฟิงทันทีด้วยความโมโห
เฉินซิงฉีหันไปดูทันทีที่ได้ยินเสียงดังขึ้นในห้องรับรอง
แล้วพ่อแม่ของชายหญิงจากทั้ง 2 ตระกูลก็ทะเลาะกันอีกครั้ง แต่ผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องอย่างเฉินเยียนและจี้สุยเฟิงกลับนิ่งเงียบ คนนึงก็นั่งลงด้วยสีหน้าที่เย็นชา ส่วนอีกคนก็ขมวดคิ้วพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ
จนกระทั่งประตูห้องรับรองถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง และเพื่อนเจ้าสาวของเฉินเยียนที่ชื่อว่ากู้พั่นพั่นก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
เฉินเยียนมองไปที่เธอด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะถามว่า “เธอหายไปไหนมา?”
“ฉัน…ฉันถูกขังอยู่ในห้องน้ำ แล้วเพิ่งออกมาได้” แล้วกู้พั่นพั่นก็ต้องตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องรับรอง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เฉินเยียนหัวเราะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ก่อนจะหันไปมองหน้ากับเฉินซิงฉี
เฉินซิงฉีเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะยิ้มตอบ “เอาล่ะ พอแล้ว วันนี้เป็นวันดี อย่ามัวแต่หน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่เลย มู่เฉี่ยนคนนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
เมื่อสิ้นเสียงของเฉินซิงฉี จี้สุยเฟิงก็เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่เศร้าหมอง
แต่เฉินซิงฉีก็หันหน้ากลับไปมองห้องจัดเลี้ยงอีกครั้ง
และคิดว่าบนฟลอร์เต้นรำแลดูมีชีวิตชีวาดีนะ แต่เหมือนมันจะขาดสีจัดจ้านอย่างสีแดงไป
*
นอกจากเสียงอึกทึกภายในงานแล้วนั้น ก็ยังมีสวนกลางแจ้งติดริมทางเดินที่สวยงามและเงียบสงบอีกด้วย
มู่เฉี่ยนยืนพิงทางเข้าสวน โดยที่ในมือของเธอนั้นถือบุหรี่ยี่ห้อดังสำหรับผู้หญิงอยู่ด้วย เพียงแต่มันยังไม่ได้จุดไฟ
และด้วยความที่เธอไม่ได้รีบร้อนอะไร เธอจึงยืนรออย่างเงียบ ๆ พลางใช้ปลายเท้าเขี่ยพื้นหินอ่อนเบา ๆ
ไม่นานนัก ก็มีชายรูปร่างสูงเพรียวในชุดสูทที่ดูดีทีเดียว เดินออกมาจากห้องน้ำ
“คุณคะ” มู่เฉี่ยนตะโกนเรียกเบา ๆ รอให้ชายคนนั้นหันกลับมา แล้วเธอก็ชูบุหรี่ในมือขึ้นเขย่า ๆ เล็กน้อย เพื่อส่งซิกขอไฟแช็ค “ขอยืมไฟแช็คหน่อยได้มั้ยคะ?”
เธอยืนพิงผนังทางเข้าสวนเพื่อรับลม ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่าน ทำให้ชายกระโปรงสีแดงที่เธอสวมอยู่นั้นพลิ้วไหวไปตามลม แววตาดูเหมือนกำลังสับสนวนเวียนกับอะไรบางอย่าง
ชายคนนั้นยืนนิ่งอยู่พักนึง แล้วก็หันหลังเดินกลับมาที่เธออย่างช้า ๆ ทีละก้าว
ทำให้มู่เฉี่ยนเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้นเรื่อย ๆ เขาเป็นชายอายุราว ๆ 34-36 ปี ที่รูปร่างผอมและดูดีในชุดสูทสีดำหรู เขาสวมแว่นตากรอบบางสีดำ ผิวขาวมาก ๆ ด้วย แถมคิ้วของเขาก็เรียวได้รูป ดูสง่าและอ่อนโยนมากจริง ๆ
ทันทีที่เห็นหน้าเขา ประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอทันที “ชายหนุ่มที่นอบน้อม อ่อนโยนนุ่มนวลราวกับความงดงามของหยก”
“ที่แท้ก็คุณหลินนี่เอง” เธอยิ้มพลางพูดออกมาเบา ๆ
หลินซู่ดูเหมือนจะไม่แปลกใจที่เธอจะจำเขาได้ เขาเพียงแค่ยิ้มอ่อน ๆ ให้เธอด้วยแววตาที่ดูไม่มีความแปลกใจอะไร
เพราะมีไม่กี่คนในเมืองถง ที่จะไม่รู้จักนักธุรกิจที่ร่ำรวยเช่นเขาผู้นี้
ชิ๊ง~ เปลวไฟสีน้ำเงินถูกจุดขึ้นระหว่างนิ้วมือของหลินซู่
มู่เฉี่ยนยื่นศีรษะเข้าไปเล็กน้อยเพื่อจุดบุหรี่โดยการสูดหายใจเข้าลึก ๆ และดูดยาสูบที่เริ่มไหม้อย่างช้า ๆ จากนั้นเงยหน้าขึ้น และกล่าวกับชายตรงหน้าว่า “ขอบคุณนะคะ คุณหลิน”
“ไม่ต้องเกรงใจ” เสียงของหลินซู่สงบเหมือนกับใบหน้าของเขา พูดจบเขาก็เก็บไฟแช็คเข้ากระเป๋าเสื้อ และหันหลังเพื่อจะเดินจากไป
แล้วทันใดนั้นมู่เฉี่ยนก็คว้าแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็โอบแขนไปรอบตัวของหลินซู่ แล้วยิ้มกับเขาด้วยรอยยิ้มที่ดูสนิทสนมกัน
หลินซู่อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เขาหันไปมองหน้าเธอ แต่สายตาที่เขามองเธอนั้นดูอบอุ่นและปราศจากความรังเกียจ
แต่มู่เฉี่ยนก็เห็นเพียงแค่ด้านหลังของเขา
แล้วหลินซู่ก็ต้องรู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ริมทางเดินอีกฝั่ง ซึ่งก็คือเฉินซิงฉีที่กำลังเดินมาพร้อมกับคนอีก 2 คน
เมื่อเฉินซิงฉีเห็นหลินซู่ยืนอยู่กับมู่เฉี่ยนสองต่อสอง ก็ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาก็ยังยิ้มให้กับหลินซู่ “ผมก็งงอยู่ว่าทำไมในห้องจัดเลี้ยงถึงไม่เจอคุณหลินเลย ที่แท้ก็ออกมายืนสูดอากาศอยู่ตรงนี้นี่เองนะครับ”
หลินซู่ผู้ซึ่งสุภาพอ่อนโยนตอบกลับ “นี่ชายน้อยเฉินกำลังตามหาฉันอยู่เหรอ?”
เฉินซิงฉีมองมู่เฉี่ยนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังหลินซู่ ก่อนจะยิ้มและตอบคำถามเขา “ใช่สิครับ ผมอยากจะดื่มกับคุณหลินซักแก้วสองแก้วน่ะครับ!”
ในขณะที่หลินซู่ยังไม่ได้ตอบกลับเฉินซิงฉี มู่เฉี่ยนก็ขมวดคิ้วแน่นเล็กน้อยเพื่อคิดหาวิธีช่วยหลินซู่ “คุณหลินบอกกับฉันแล้วว่าจะไปส่งฉันที่บ้านน่ะค่ะ เกรงว่าจะไม่สามารถดื่มต่อได้แล้วนะคะ”
หลินซู่หันหน้าไปมองตากับเธออยู่ครู่หนึ่ง และดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่เธอทำไปเมื่อสักครู่ จึงยิ้มและพยักหน้าตอบรับมู่เฉี่ยน
หลินซู่หันไปอำลาเฉินซิงฉี แล้วเขาก็พามู่เฉี่ยนเดินออกจากที่นั่นไปอย่างช้า ๆ
“หลินซู่คนนี้…เคยพูดแล้วไม่ใช่เหรอ หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไป เขาจะไม่อยู่ใกล้ผู้หญิงคนไหนอีก” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินซิงฉีพูดขึ้น
เฉินซิงฉีกัดบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากจนแน่น และจ้องมองไปที่ด้านหลังของสองคนนั้นที่กำลังเดินจากไป มุมปากของเขากระตุกยิ้มขึ้น แต่คิ้วของเขากลับเลิกขึ้นจนดูเจ้าเล่ห์ “นั่นมันขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้หญิง…”
……
มู่เฉี่ยนพาหลินซู่เดินมาจนถึงประตูทางออกของโรงแรม และหันไปดูด้านหลังอยู่ตลอดว่ามีใครตามมาหรือไม่
หลินซู่เดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น และพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “งานเต้นรำเพิ่งเริ่มไปได้ไม่นาน คุณมู่แน่ใจแล้วเหรอว่าจะกลับ?”
มู่เฉี่ยนถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น แล้วก้มลงมองที่เท้าของตัวเอง
เพราะเนื่องจากการเคลื่อนไหวไปมาเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ส้นเท้าของเธอเกิดแผลรองเท้ากัดขึ้นมา
“ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ยอมแพ้ แต่รองเท้าคู่นี้มันใส่ไม่ค่อยพอดีน่ะค่ะ ก็เลยเต้นได้ไม่ค่อยสะใจเลย”
หลินซู่มองตามสายตาของเธอ และพูดขึ้นว่า “ในเมื่อรองเท้าใส่ได้ไม่พอดี ก็แค่ทิ้งมันไป ทำไมถึงจะต้องทรมานตัวเองด้วยล่ะ?”
มู่เฉี่ยนได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “งั้นเราไม่ควรจะให้ค่ามันหน่อยเหรอคะ? ยิ่งมันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายเท้ามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งต้องเหยียบพวกมันไว้ ให้มันขยายออกให้ได้”
หลินซู่ฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่มู่เฉี่ยนก็หันมาที่เขาแล้วพูดต่อว่า “สุภาพบุรุษผู้แสนอ่อนโยนอย่างคุณหลิน ไม่มีทางเข้าใจความแค้นในใจของผู้หญิงได้หรอกค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซู่ก็กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
และเมื่อรถของหลินซู่มาถึง หลินซู่ก็กระซิบอะไรบางอย่างกับคนขับรถ ไม่นานหลังจากนั้น คนขับรถก็ไปเปิดท้ายรถหยิบรองเท้าแตะออกมาหนึ่งคู่ แล้วส่งให้กับหลินซู่
หลินซู่วางรองเท้าแตะนุ่ม ๆ คู่นั้นลงข้างปลายเท้าของมู่เฉี่ยน “เปลี่ยนก่อนเถอะ”
มู่เฉี่ยนมองลงไปที่รองเท้าแตะคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมามองหน้าหลินซู่ ก่อนจะพูดกับหลินซู่ด้วยแววตาที่เปล่งประกายว่า “คุณหลินคะ เจอกันครั้งแรกคุณก็ดูแลเอาใจใส่ฉันดีขนาดนี้ ไม่กลัวว่าฉันจะคิดไม่ดีกับคุณ หรือว่าปีนเกลียวอะไรทำนองนั้นเลยเหรอคะ?”
“พบกันครั้งแรก คุณมู่ก็เชื่อใจฉันมากขนาดนี้ และยังไม่รังเกียจที่จะขึ้นรถของฉันอีก ไม่กลัวว่าฉันจะคิดไม่ดีบ้างเหรอ?” หลินซู่ถามกลับ
มู่เฉี่ยนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ คุณหลินถูกขนานนามว่าเป็นนักธุรกิจขงจื๊อ คนที่เป็นสุภาพบุรุษในทุก ๆ สถานการณ์อย่างคุณหลิน จะมาอะไรกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันได้ยังไงล่ะคะ?”
หลินซู่ยังคงยิ้มออกมา “คุณมู่ก็ชมเกินไปแล้ว”
“เรียกฉันว่ามู่เฉี่ยนก็พอแล้วค่ะ“ จากนั้นเธอก็โน้มตัวลงเปลี่ยนรองเท้า “ยังไงซะ วันนี้คุณหลินก็ช่วยฉันไว้เยอะมากจริง ๆ วันหลังฉันจะต้องเลี้ยงข้าวคุณหลินแทนคำขอบคุณแน่นอนค่ะ”
หลินซู่นั่งมองเธอโน้มตัวลงไปเปลี่ยนรองเท้าอย่างเงียบ ๆ
“ไม่รู้ว่าวันหลังนี่ จะเป็นวันไหนกันนะ?” จู่ ๆ หลินซู่ก็เอ่ยถามขึ้นลอย ๆ
มู่เฉี่ยนที่เพิ่งเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินหลินซู่พูดมาแบบนั้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองหลินซู่แล้วพูดกับเขาว่า “ถ้าเป็นพรุ่งนี้ ไม่ทราบว่าคุณหลินพอจะให้เกียรติมาทานข้าวกับฉันซักมื้อได้มั้ยคะ?”
*
มู่เฉี่ยนกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ของเธอ และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ต้องเจอกับเพื่อนรักของเธอ ซึ่งก็คือเยี่ยซี ที่ก้าวเข้ามาตรงหน้าเธอแล้วรีบดึงมือเธอเข้าห้องไป
มู่เฉี่ยนตกใจสุดขีด “เธอทำฉันตกใจแทบแย่แหนะ”
“เธอโอเคใช่มั้ย?” เยี่ยซีตรวจเช็คร่างกายเพื่อนรักด้วยความกังวลใจ “ไปยั่วโมโหคนตระกูลเฉินเนี่ย ไม่ง่ายเลยนะ ฉันกลัวแทบแย่ว่าเธอจะไม่รอดกลับมา! ทุกอย่างราบรื่นดีใช่มั้ย?”
มู่เฉี่ยนยิ้มและตบหน้าเพื่อนเบา ๆ “ไม่ต้องห่วงน่า ราบรื่นดีสิ”
“แล้วนี่ใครเป็นคนมาส่งเธอ?”
มู่เฉี่ยนจ้องมองไปที่รองเท้าแตะผ้าฝ้ายนุ่ม ๆ คู่นั้นที่เธอเพิ่งเปลี่ยนมา ด้วยสายตาที่อ่อนโยน ก่อนจะตอบกลับไปว่า “หลินซู่”
เยี่ยซีได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก “นี่เธอ…อยากจะเข้าไปใกล้ชิดหลินซู่จริง ๆ เหรอ?”
“ฉันได้ใกล้ชิดเขาแล้วล่ะ” มู่เฉี่ยนเงยหน้าขึ้นมองหน้าเยี่ยซี พร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์บนใบหน้าอีกครั้ง “แล้วอีกอย่าง นี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่ทำให้ฉันกลับมาจีนในครั้งนี้ด้วย ไม่ใช่เหรอ?”