วิวาห์ 365วัน - ตอนที่ 3 ฉันโสดนะคะ จีบได้ด้วย
ณ เมืองถง ในเดือนเมษายน
เมื่อความมืดยามค่ำคืนย่างกรายเข้ามา แต่โรงแรมไห่หลานก็ยังคงสว่างไสวไปด้วยไฟรอบ ๆ ตัวโรงแรม รวมไปถึงป้ายงานแต่ง “จี้เฉินเวดดิ้ง” ที่แขวนอยู่บนผนังโรงแรมอย่างโดดเด่น
พิธีหมั้นระหว่างชายหญิงที่มาจากสองครอบครัวมหาเศรษฐีแห่งเมืองถง ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสะดุดต่อสายตาชาวเมือง
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่ม ณ ห้องจัดเลี้ยงที่ตกแต่งด้วยสีทองทั้งหมด คับคั่งไปด้วยแขกเหรื่อทั้งหลายที่กำลังปรบมือชื่นชมในขณะที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงกำลังสวมกอดแล้วก็จูบแสดงความรักต่อกัน
โดยมีลูกชายคนที่ 3 ของตระกูลลู่ นามว่าลู่อวี๋ฟานที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงาน หลังจากที่เขาหยอกล้อและกล่าวอวยพรแก่คู่รักเสร็จ เขาก็ดำเนินงานต่อตามขั้นตอน “ลำดับต่อไป ขอเชิญคุณกู้พั่นพั่นอนาคตเพื่อนเจ้าสาว ขึ้นมาแชร์ให้พวกเราได้ฟังถึงเรื่องราวความรักที่หอมหวานของคู่รักของเราในค่ำคืนนี้ด้วยครับ!”
แล้วแสงไฟก็ส่องไปยังที่นั่งของกู้พั่นพั่น เพียงแต่ว่าที่นั่งของเธอตอนนี้นั้นว่างเปล่า และไม่มีวี่แววของกู้พั่นพั่นอยู่ในระแวกนั้นด้วย
สีหน้าของเฉินเยียนเปลี่ยนไปในทันที
ลู่อวี๋ฟานส่งสัญญาณให้คนคุมไฟส่องไฟไปรอบงานเพื่อคนหาตัวกู้พั่นพั่น “กู้พั่นพั่น เธอทนความหวานของเพื่อนทั้งสองไม่ได้จนเป็นลมล้มตึงไปเลยเหรอ? อยู่ไหนเอ่ย?”
คนคุมไฟบังคับไฟไล่ไปตามจุดต่าง ๆ ในงาน เพื่อมองหากู้พั่นพั่น
และทันใดนั้นเอง ประตูห้องจัดเลี้ยงที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ผู้คุมไฟจึงรีบฉายไฟไปทางนั้นทันที ทำให้แขกทั้งงานหันไปมองที่ประตูใหญ่กันเป็นตาเดียว
แล้วผู้หญิงในชุดเดรสสีแดงก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในงาน
แต่ด้วยแสงไฟที่ส่องไปยังตัวเธอ มันทำให้เธอรู้สึกแสบตาจนต้องเอามือขึ้นมาบังหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ลดมือลงเมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพกับแสงไฟได้
ใบหน้าที่งดงามและสดใส ภายใต้ลำแสงสีขาวราวหิมะ
การปรากฏตัวของเธอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงเงียบสงัดลงทันที
มู่เฉี่ยนค่อย ๆ เดินเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดนั้น
เธอสวมชุดเดรสสีแดงย้อนยุคและเดินเข้ามาในงานด้วยรอยยิ้มที่สดใส ริมฝีปากของเธอถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด และผมหยักศกของเธอก็เข้ากับการแต่งหน้าสไตล์ย้อนยุคนี้ได้ดีมากทีเดียว เธอช่างงดงามเหมือนนางเอกภาพยนตร์นานาชาติที่หลุดออกมาเดินยังไงอย่างงั้น
สำหรับทุกคนในที่นี้แล้วนั้น รูปโฉมอย่างเช่นมู่เฉี่ยนนี้ ค่อนข้างจะแปลกประหลาดในหมู่คนเมืองถง แต่ในทางกลับกันก็เป็นใบหน้าที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องตกตะลึง เพราะความงดงามที่ไม่เหมือนใคร
และสำหรับเฉินเยียนนั้น วินาทีนี้มันเปรียบเสมือนฝันร้ายของเธอ
ทั้งที่วันนี้เป็นงานหมั้นของเธอแท้ ๆ แต่ ณ ตอนนี้ สายตาของแขกทุกคนล้วนจับจ้องไปที่มู่เฉี่ยนเพียงคนเดียว ไม่เว้นแม้แต่จี้สุยเฟิงที่จ้องมองมู่เฉี่ยนอย่างไร้สติ
“ลู่อวี๋ฟาน!” เฉินเยียนตะโกนเรียกลู่อวี๋ฟานเบา ๆ จนเรียกสติจี้สุยเฟิงให้กลับมาได้
ลู่อวี๋ฟานกระแอมออกทางไมโครโฟนเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าอนาคตเพื่อนเจ้าสาวของเราจะต้านทานความหวานไม่ไหวจนโคม่าไปเรียบร้อยแล้วนะครับ มีเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากจะขึ้นมาแชร์ประสบการณ์หวานชื่นของคู่รักของเราในค่ำคืนนี้มั้ยครับ?”
ทันทีที่ลู่อวี๋ฟานพูดจบ เพื่อน ๆ ในงานก็ช่วยกันให้ความร่วมมือจนงานเลี้ยงสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติได้ในที่สุด
และท่ามกลางบรรยากาศงานหมั้นที่แสนอบอุ่นนั้นเอง มู่เฉี่ยนก็ปรากฏตัวที่หน้าเวทีและเข้ากล้องถ่ายภาพบรรยากาศในงานด้วย
ทำให้หน้าจอโปรเจคเตอร์ในงานต้องฉายภาพรูปร่างเพรียวบางของเธอ และคนคุมจอก็ซูมภาพเธออยู่หลายครั้ง
แขกทั้งงานจ้องมองเธอก้าวเดินขึ้นบนเวทีอย่างช้า ๆ ชุดเดรสสีแดงย้อนยุคทำให้สามารถมองเห็นเอวที่โค้งเว้าของเธอได้อย่างชัดเจน และเมื่อเธอหันหน้ามา ดวงตากลมโตที่สดใสคู่นั้นของเธอ ก็สะกดคนทั้งงานได้ในชั่วพริบตา
เธอหันมองไปที่จี้สุยเฟิงกับเฉินเยียน แล้วยิ้มให้เบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ฉันมาร่วมงานด้วยได้รึเปล่า?”
ลู่อวี๋ฟานถึงกับผงะ และลังเลว่าจะยื่นไมโครโฟนให้เธอดีหรือไม่
เฉินเยียนและมู่เฉี่ยนมองหน้ากัน ก่อนที่เฉินเยียนจะยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็นให้มู่เฉี่ยน แล้วฉวยไมโครโฟนจากมือของลู่อวี๋ฟานมา
“ความรักระหว่างฉันกับสุยเฟิงเนี่ย ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาเล่าให้ฟังหรอกค่ะ แล้วเราสองคนก็คงไม่ต้องพูดเยอะหรอกนะคะ ว่าเรารักกันมากแค่ไหน?”
สิ้นเสียงของเฉินเยียน เธอก็กอดเอวจี้สุยเฟิงเข้ามาแล้วจูบไปที่ริมฝีปากของจี้สุยเฟิงทันที
ผู้คนในงานต่างพากันส่งเสียงยินดีกันยกใหญ่
จี้สุยเฟิงยืนตัวแข็งเล็กน้อย สายตาของเขามองข้ามเฉินเยียนและมองไปที่มู่เฉี่ยน โดยที่เธอยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยิ้มและปรบมือให้กับฉากที่เฉินเยียนแสดงให้ทุกคนดูอยู่ตอนนี้
หัวใจของจี้สุยเฟิงหดตัวอย่างฉับพลัน
เฉินเยียนเห็นดังนั้นจึงกัดที่ริมฝีปากของจี้สุยเฟิงไป 1 ที แล้วค่อย ๆ ละริมฝีปากออกมาจากปากของเขา
และกระซิบถามเบา ๆ ว่า “นายตื่นรึยัง?”
จี้สุยเฟิงจึงค่อย ๆ ถอนสายตาจากมู่เฉี่ยนกลับมาที่เฉินเยียน
แต่เฉินเยียนก็หันไปจ้องหน้ามู่เฉี่ยนต่อ และพูดออกไมโครโฟนไปว่า
“ต้องขอขอบคุณคุณมู่เฉี่ยนที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลเพื่อมาร่วมงานหมั้นของฉันกับสุยเฟิงในวันนี้นะคะ ฉันกับสุยเฟิงรู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ” เฉินเยียนยังพูดต่ออีกว่า “มู่เฉี่ยน คุณช่วยอวยพรให้เราทั้งสองคนหน่อยได้มั้ยคะ?”
“แน่นอนสิคะ” มู่เฉี่ยนตอบกลับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เป็นเกียรติของฉันจริง ๆ ค่ะที่ได้มาเห็นช่วงเวลาอันแสนหวานของพวกคุณในวันนี้ด้วยตาตัวเอง ขอให้คุณสองคนรักกันจนแก่เฒ่า และจดจำพิธีหมั้นที่แสนหวานชื่นในวันนี้ไว้นะคะ”
เมื่อมู่เฉี่ยนเริ่มกล่าวอวยพรขึ้น บรรยากาศในงานก็เปลี่ยนไป ผู้คนในงานนั่งชมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนเวทีอย่างเพลินตา ประหนึ่งนั่งดูละครโทรทัศน์
เฉินเยียนไม่ค่อยเข้าใจว่ามู่เฉี่ยนกำลังจะสื่อถึงอะไร เธอเพียงแต่ยิ้มให้และตอบกลับว่า “ฉันจะจดจำมันไว้ตลอดไปเลยค่ะ ว่าในช่วงเวลานี้ ณ ที่แห่งนี้ คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็คือฉันเอง และในทุกช่วงชีวิตของเขาหลังจากนี้ก็จะมีแค่ฉันคนเดียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา แค่ฉันคนเดียวเท่านั้น ใช่มั้ยคะ สุยเฟิง?”
แล้วแขกทั้งหลายในงานก็ส่งเสียงเชียร์กันอย่างคึกคัก ส่วนจี้สุยเฟิง เมื่อเจอกับคำถามนั้นของเฉินเยียน เขาก็ทำได้แค่ก้มศีรษะลงแล้วจูบเธอทั้งที่ยังตัวแข็งอยู่
“สุยเฟิง เรามอบช่อดอกไม้นี้ให้มู่เฉี่ยนดีมั้ยคะ?” จู่ ๆ เฉินเยียนก็พูดขึ้นมา
เฉินเยียนพูดจบก็มองไปที่มู่เฉี่ยนพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ในมือให้เธอ ในขณะที่จี้สุยเฟิงยังคงงุนงงและทำอะไรไม่ถูก “แม้ว่าวันนี้จะยังไม่ใช่งานแต่งอย่างเป็นทางการ แต่ฉันก็อยากส่งต่อความสุขและความหวานชื่นนี้ให้คุณค่ะ ช่อดอกไม้ในมือของฉันนี้แทนคำอวยพรจากฉันกับสุยเฟิง มู่เฉี่ยน เราขอให้คุณได้พบเจอกับความสุขเร็ว ๆ นะคะ”
บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงเงียบลงในทันที แขกในงานจ้องมองไปที่เฉินเยียนกับมู่เฉี่ยนที่ยืนอยู่บนเวที
แม้ว่ามู่เฉี่ยนจะเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีมากจนดึงดูดสายตาของทุกคนได้ แต่ในวินาทีนี้ คนที่อับอายจนทำตัวไม่ถูกที่สุด กลับกลายเป็นเธอเอง
ถึงอย่างไรเสีย มู่เฉี่ยนก็ยังคงส่งยิ้มและกล่าวขอบคุณเฉินเยียน พร้อมกับรับช่อดอกไม้นั้นมาไว้ในมืออย่างนอบน้อม
และลู่อวี๋ฟานก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้าในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี “คุณมู่เฉี่ยนได้รับคำอวยพรจากคู่รักคู่ใหม่ของเราไปแล้ว มีอะไรอยากจะบอกกับพวกเขาอีกมั้ยครับ?”
“ในเมื่อฉันได้รับช่อดอกไม้นี้มาแล้ว ฉันก็จะไม่ทำให้ทั้งคู่ผิดหวังค่ะ คงจะไม่ถือสาอะไรใช่มั้ยคะถ้าฉันจะถือโอกาสนี้ทำอะไรซักอย่างนึง?” มู่เฉี่ยนหันไปถามเฉินเยียน
เฉินเยียน มองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชาราวกับว่าต้องการจะดูต่อไปว่าเธอจะมาไม้ไหนอีก
มู่เฉี่ยนหันไปมองแขกที่นั่งอยู่ด้านล่าง และชูช่อดอกไม้ในมือขึ้นมา ก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและมีเสน่ห์ “สภาพบุรุษทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ฉันขอประกาศว่า ฉันโสดนะคะ เข้ามาจีบกันได้เลย และขอบอกว่าฉันจีบง่ายด้วยล่ะค่ะ”
แล้วหนุ่ม ๆ ในงานก็ส่งเสียงเป่าปากปรบมือกันอย่างกึกก้อง จนทำให้บรรยากาศในงานนั้นคึกคักกว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้เป็นไหน ๆ