วิวาห์ 365วัน - ตอนที่ 2 ไม่ใช่ความผิดฉันซะหน่อย ที่ฉันเกิดมาสวยได้ขนาดนี้
7 ปีต่อมา
เดือนมกราคม ณ นครฟิลาเดเฟีย ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน
ในขณะที่มู่เฉี่ยนที่กำลังจะออกจากอพาร์ตเมนต์ จู่ ๆ ก็ได้รับข้อความจากจี้สุยเฟิงว่าให้ออกมาเจอกันหน่อย พร้อมกับส่งที่ตั้งของร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ ๆ อพาร์ตเมนต์ของเธอมาด้วย
มู่เฉี่ยนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สไตล์ของจี้สุยเฟิงที่เธอรู้จักเลย เธอครุ่นคิดอยู่ซักพัก แล้วก้มดูนาฬิกา ก่อนจะตัดสินออกไปตามนัดของจี้สุยเฟิง
เมื่อเธอออกมาจากอพาร์ตเมนต์และเดินมาตามแผนที่ในโทรศัพท์ และไม่ถึง 5 นาที เธอก็ได้มาหยุดยืนอยู่ตรงที่หมาย แต่ตอนที่มู่เฉี่ยนเปิดประตูร้านเข้าไปนั้น เธอกลับไม่พบจี้สุยเฟิงอยู่ในร้านกาแฟแห่งนี้เลย
เธอจึงเดินไปหาที่นั่งแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะกดโทรหาจี้สุยเฟิง แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าเธอ
มู่เฉี่ยนเงยหน้าขึ้น ถึงได้รู้ว่าเป็นเฉินเยียน
สังคมคนจีนในนครฟิลาเดเฟียนั้นไม่ได้กว้างมากนัก ทั้งคู่ต่างก็เคยพบกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มู่เฉี่ยนรู้ว่าเฉินเยียนมาจากตระกูลเฉิน ที่มีชื่อเสียงมากในเมืองถง แถมเธอยังดูแลธุรกิจของครอบครัวในฟิลาเดเฟียอีกด้วย
เฉินเยียนนั่งลงตรงข้ามของมู่เฉี่ยนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันมาเจอเธอที่นี่แทนสุยเฟิง”
มู่เฉี่ยนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอก้มดูนาฬิกาแล้วตอบกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณเฉินเข้าประเด็นมาเลยดีกว่าค่ะ”
“สุยเฟิงจะกลับจีนกับฉัน” แล้วเฉินเยียนก็จ้องหน้ามู่เฉี่ยนก่อนจะพูดต่อ “เราสองคนจะแต่งงานกันภายในปีนี้”
สีหน้าของมู่เฉี่ยนไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใดใดอย่างที่เฉินเยียนหวังอยากจะเห็น แต่มู่เฉี่ยนกลับหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดต่อ ว่า “เพราะอย่างนั้น คุณเลยมาแจ้งให้ฉันทราบว่าเขานอกใจคุณ งั้นเหรอคะ?”
“เราต่างก็โต ๆ กันแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มันมากความ” แล้วเฉินเยียนก็หยิบเช็คเงินสดในกระเป๋าถือของเธอออกมาวางไว้ตรงหน้าของมู่เฉี่ยน “นี่ถือเป็นค่าชดใช้ที่สุยเฟิงมอบให้เธอ”
มู่เฉี่ยนหยิบเช็คเงินสดนั่นขึ้นมาและนับเลขศูนย์บนเช็คใบนั้น ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นและพูดกับเฉินเยียนว่า “สองล้านหยวน มันจะไม่น้อยไปหน่อยเหรอคะ ถ้าเทียบกับความก้าวหน้าของเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้”
แล้วเฉินเยียนก็ส่งสายตาดูถูกกลับมาที่มู่เฉี่ยน “ถ้าเทียบกับปูมหลังของคุณมู่แล้ว เงินก้อนนี้ก็คงไม่น้อยหรอกนะคะ และถ้าว่าด้วยความเฉลียวฉลาดของคุณมู่แล้วเนี่ย ก็น่าจะยังตะเกียกตะกายหาผู้ชายหน้าใหม่ ๆ มาได้อีกเรื่อย ๆ อยู่แล้ว โอกาสหาเงินง่าย ๆ สบาย ๆ แบบนี้คงจะยังมีอีกมาก”
“จริงด้วยสินะคะ” มู่เฉี่ยนทำท่าเห็นด้วยแบบประชดประชันไปในตัว “ถ้าอย่างนั้น ฉันคงจะต้องขอบคุณคุณเฉินมาก ๆ เลยค่ะสำหรับคำชม แถมยังชี้ให้เห็นถึงข้อดีในตัวของฉันอีก”
เฉินเยียนยังคงมองหน้ามู่เฉี่ยนด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเดิม เพียงแต่เธอหายใจเข้าออกถี่ขึ้นเหมือนว่าเธอกำลังรู้สึกโมโห
มู่เฉี่ยนมีรูปร่างหน้าตาสะสวยมาตั้งแต่เกิด และความงามแบบนี้ก็ติดตัวเธอมาอยู่แล้วตั้งแต่เกิดจริง ๆ โดยไม่มีการแต่งเติมหรือศัลยกรรมอะไรทั้งนั้น และถึงแม้ว่าเธอจะแต่งหน้าทาปากมาบ้าง แต่สิ่งที่สะดุดตาต่อผู้พบเห็นก็คือใบหน้าที่พร่างพราวงดงามและดูสูงส่งอย่างชัดเจนจนทะลุเมคอัพ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เธอเป็นผู้หญิงที่มองยังไงก็สวย ไม่แต่งหน้าก็สวย หน้าสดก็รอด
เฉินเยียนเสียสติจนพูดอะไรไม่ออก จากนั้นประตูร้านกาแฟก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง และจี้สุยเฟิงก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับลมหนาวที่พัดเข้ามา
ทันทีที่จี้สุยเฟิงเห็นมู่เฉี่ยนกับเฉินเยียนนั่งอยู่ด้วยกัน ดวงตาคมกริบชวนหลงใหลของเขาก็กระพริบไม่ลง
มู่เฉี่ยนขยับตัวพิงโซฟาอย่างสบาย ๆ และนั่งมองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโดยไม่มีท่าทีกระวนกระวายใดใด
จี้สุยเฟิงรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามา และดึงตัวเฉินเยียนขึ้น “นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะ?”
เฉินเยียนตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่สงบและนิ่งเฉยมาก “นายมาช้าไปหน่อยนึง เพราะฉันได้พูดทุกสิ่งที่ควรจะพูดไปหมดแล้วล่ะ”
จี้สุยเฟิงบีบแขนเฉินเยียนแน่นด้วยความโกรธจัด จากนั้นเขาก็หันไปมองมู่เฉี่ยนอย่างไม่วางตา
มู่เฉี่ยนมองสองคนตรงหน้าประหนึ่งว่าเธอนั่งดูละครโทรทัศน์ และเมื่อเห็นสายตาของจี้สุยเฟิง เธอก็พยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะพูดว่า “เอาล่ะ สิ่งที่เธออยากจะพูดก็ได้พูดจบไปแล้ว ถึงตานายพูดแล้ว”
สายตาที่จี้สุยเฟิงมองไปที่มู่เฉี่ยน มันสื่อถึงอารมณ์ต่าง ๆ มากมายที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย นอกจากหายใจเข้าออกช้า ๆ แบบหนักหน่วง
มู่เฉี่ยนไม่สามารถทนอ่านความรู้สึกผ่านสายตาของเขาต่อไปได้อีก เธอก้มลงดูนาฬิกาแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เวลาของฉันเหลืออีกไม่มากแล้วนะ นายอยากจะพูดอะไรก็รีบ ๆ พูดมา หรือนายจะบอกฉันมาตรง ๆเลยก็ ได้ ว่าคุณเฉินรักนายข้างเดียว แล้วเธอก็มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับนายมาก เพราะฉะนั้นเธอก็เลยใช้วิธีนี้เพื่อจะแยกเราออกจากกัน”
เมื่อเฉินเยียนได้ยินดังนั้น เธอก็หัวเราะเยาะออกมาทันที ในขณะที่จี้สุยเฟิงยืนตัวแข็งทื่อ และสายตาที่ร้อนฉ่าของมู่เฉี่ยนก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
“งั้นนายก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่มั้ย?” มู่เฉี่ยนไม่อาจทนเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ เธอลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
ในขณะที่มู่เฉี่ยนกำลังจะเดินออกจากร้านกาแฟ จี้สุยเฟิงก็รีบเข้ามาคว้าแขนเธอไว้ “เฉียนเฉี่ยน!”
มู่เฉี่ยนกะจะเดินออกไปโดยไม่หันกลับ แต่จี้สุยเฟิงก็ดึงเธอไว้ไม่ยอมปล่อยมือ แล้วฉวยเสื้อแจ็กเก็ตที่มู่เฉี่ยนคลุมไว้บนไหล่ทั้งสองข้างจนมันตกลงเล็กน้อย
ภายใต้เสื้อแจ็กเก็ตนั้น มู่เฉี่ยนสวมแค่เดรสสีดำเกาะอกสุดเซ็กซี่ ที่ยาวถึงต้นขาเท่านั้น พร้อมทั้งเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าของรูปทรงองเอวที่งดงามของเธอ บวกกับลำคอที่ขาวเนียนจนถึงเนินอก มันเข้ากันได้ดีกับสไตล์การแต่งหน้าที่เน้นการแต่งตาให้ดูเด่นกว่าส่วนอื่น และทำให้รู้สึกได้เลยว่าเธอเป็นคนที่มีสไตล์ในการแต่งตัวมาก ๆ
จี้สุยเฟิงตกตะลึงในความเซ็กซี่ของมู่เฉี่ยน จนทำให้เฉินเยียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแทรกขึ้นมา แล้วพูดกับมู่เฉี่ยนด้วยน้ำเสียงดูถูก “ฉันไม่ยักจะเคยเห็นนักข่าวสาวคนไหนเหมือนอย่างคุณมู่เลยนะคะ”
มู่เฉี่ยนได้ยินดังนั้นเธอก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นท่าทางหยิ่งผยองแต่ยังคงความมีเสน่ห์ไว้
“จะให้ทำยังไงได้ล่ะคะ?” มู่เฉี่ยนพูดพลางถอนหายใจประชด “เพราะมันไม่ใช่ความผิดของฉันซะหน่อย ที่ฉันเกิดมาสวยได้ขนาดนี้”
พูดจบ มู่เฉี่ยนก็ผละออกจากเสื้อแจ็กเก็ตที่จี้สุยเฟิงกำลังรั้งเอาไว้อยู่ แล้วผลักประตูเดินออกไปท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปราย
จี้สุยเฟิงที่กำลังจะก้าวเท้าตามเธอออกไป ก็ต้องถูกเฉินเยียนดึงแขนเอาไว้เสียก่อน แล้วเธอก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “จี้สุยเฟิง นายคงไม่ได้คิดจะกลับไปติดต่อกับเธออีกใช่มั้ย หลังจากที่นายต้องแต่งงานกับฉัน? นายคิดว่านายจะพ้นเงื้อมมือฉันไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”
จี้สุยเฟิงตัวแข็งทื่ออยู่พักนึง แต่สุดท้ายเขาก็สลัดแขนออกจากเฉินเยียนได้ แล้วเดินออกจากร้านกาแฟไป
สีหน้าของเฉินเยียนจากที่นิ่งเฉยก็เปลี่ยนไปทันที
แต่ทว่า แม้จี้สุยเฟิงจะเดินออกจากร้านกาแฟมาได้ เขาก็ทำได้เพียงแค่หยุดยืนอยู่หน้าประตูร้านและมองไปยังเส้นทางที่มู่เฉี่ยนเดินจากเขาไปเท่านั้น
ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกที่นครฟิลาเดเฟีย และเขาตามจีบเธออยู่ 2 ปี จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอยู่ 2 ปีเช่นกัน แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะทรยศต่อความสัมพันธ์มีเขามีกับเธอก็ตาม แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธและเสียใจอยู่ไม่น้อย
จี้สุยเฟิงมองมู่เฉี่ยนเดินจากไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำ สุดท้ายเขาก็ทนดูต่อไปไม่ไหวจนต้องหันไปทางอื่น
ตัดภาพมาที่มู่เฉี่ยน เธอเดินสวนกับผู้คนมากมายที่พากันจับจ้องมาที่เธอด้วยสายตาตกตะลึง เหมือนกับว่าเธอเป็นดั่งดอกไม้งามที่บานสะพรั่งในฤดูหนาว
และในปลายเดือนนั้นเอง จี้สุยเฟิงกับเฉินเยียนก็เดินทางออกจากนครฟิลาเดเฟียเพื่อกลับมายังประเทศจีน
ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ใน สหรัฐอเมริกา สำนักข่าว D เปิดเผยเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ในฟิลาเดลเฟีย ที่มีกลุ่มวัยรุ่นทายาทเศรษฐีกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันจัดปาตี้พี้ยาและสร้างความโกลาหลขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกรายงานโดยจากนักข่าวมู่เฉี่ยน
……
เมืองถง ในช่วงปลายปี
อาคารสำนักงานต่าง ๆ หลายแห่งในย่านธุรกิจใจกลางเมือง ถูกทิ้งร้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ทว่า อาคารฮั่วชั้นที่ 26 ยังคงดำเนินงานกันต่อไปได้อย่างเป็นระบบ
เลขาธิการผู้หนึ่งนามว่า จวงเหยียน ได้จัดเรียงเอกสารที่ส่งมาจากแผนกต่าง ๆ จนเสร็จสรรพ แล้วจึงเดินไปเคาะประตูห้องของผู้อำนวยการก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
ฮั่วจิ้นซีที่นั่งดูเอกสารอยู่หลังโต๊ะทำงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบทั้งวันแล้วที่เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการตรวจเช็คเอกสารต่าง ๆ แต่ชุดสูทที่เขาใส่อยู่ กับทรงผมที่เซทมาตั้งแต่เช้าก็ยังคงเนี้ยบอยู่เหมือนเดิม และเห็น ๆ อยู่ว่ารอบตัวของเขานั้นมีงานมากมายที่จะต้องเคลียร์ แต่สีหน้าของเขาก็มองไม่เห็นถึงความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย
จวงเหยียนที่ทำงานอยู่กับเขามาหลายปี รู้จักและคุ้นเคยกับนิสัยของคนตระกูลฮั่วที่มีความสุขุมรอบคอบในทุก ๆ เรื่อง
หากการทำงานไม่เป็นไปตามสไตล์ของเขาแล้วล่ะก็ เกรงว่าหัวเรือใหญ่ของตระกูลฮั่วจะจมดิ่งลงไปแล้ว ในช่วงขาลงของเศรษฐกิจเมื่อ 7 ปีก่อน ในตอนนั้นฮั่วจิ้นซีอายุได้เพียง 20 ปีเศษ ๆ เขาทุ่มสุดตัวเพื่อแบกธุรกิจของตระกูลฮั่วให้สามารถพ้นขีดอันตรายนั้นได้ อีกทั้งยังสามารถดันธุรกิจของตระกูลฮั่วให้หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของเมืองถงได้ในระยเวลา 7 ปี คนธรรมดาที่ไหนกันนะ ที่จะทำอะไรแบบนี้ได้
จวงเหยียนวางเอกสารทั้งหมดลงบนมุมโต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะรายงานให้ฟังทีละฉบับว่ามาจากแผนกไหนบ้าง
ฮั่วจิ้นซีฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้วางเอกสารที่อยู่ในมือลง
ทันใดนั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนอีเมลเข้าใหม่ ติ๊ง——
ฮั่วจิ้นซีเงยหน้าขึ้น และมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
และนั่นก็ทำให้เขาวางเอกสารในมือลงทันที
จวงเหยียนเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะเหล่ตามองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเจ้านายด้วย
บนหน้าจอปรากฏภาพหญิงสาวคนหนึ่ง และดูจากฉากหลังก็รู้เลยว่าเธอผู้นี้อยู่ต่างแดน เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเธอนั้นเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน และผู้คนรอบ ๆ ตัวเธอต่างก็สวมเสื้อผ้าหนากันหมด ยกเว้นเธอผู้นั้น ที่อยู่ในชุดเดรสสั้นสีดำ ยืนอยู่ข้างฟุตบาท โดยไม่สนใจสายตาคนอื่น หนำซ้ำยังส่งยิ้มให้กล้องที่กำลังแอบถ่ายภาพเธออยู่ด้วย
เธอดูงดงามเหมือนกับแม่มดน้อยในเทพนิยาย และยังเจิดจรัสราวกับดอกไม้ในฤดูร้อนอีก
จวงเหยียนดูภาพนั้นอย่างไม่ละสายตา แต่แล้วฮั่วจิ้นซีก็รีบปิดมันลงทันที เมื่อจวงเหยียนรู้สึกตัวว่าตนได้เสียมารยาทกับเจ้านายโดยไม่รู้ตัว เธอจึงรีบหันหลังเดินไปที่ประตูทันที
เมื่อเธอก้าวออกไปและหันกลับมาเพื่อจะปิดประตู เธอก็เห็นว่าเจ้านายของเธอนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปตรงหน้าต่างเพื่อจะสูบบุหรี่
เมฆหนานอกหน้าต่างทำให้วันนี้ดูเหมือนมีหมอกลอยอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ก็ยังมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์ส่องผ่านเมฆหมอกหนานั้นมาจากฟากฟ้าไกล
ฮั่วจิ้นซีคีบบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วของเขา ในใจก็อาลัยอาวรณ์ถึงมู่เฉี่ยน
ถึงเวลาแล้วที่ฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง และก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเสียที