วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 1085 อุ้มคุณไปเอง
หลังจากที่เข้าไปนั่งแล้ว ผู้หญิงทั้งสองคนก็กุมมือกันไว้อย่างดีใจและเริ่มพูดคุยกันขึ้นมา
หัวข้อเรื่องที่สนทนาก็ไม่แคล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกและครอบครัวอะไรพวกนั้น
โม่ไฉ่เวยก็เป็นเหมือนกับจิ่งหนิง เธอเป็นแม่บ้านคนหนึ่งที่ไม่มีความคิดเห็นอะไร
นิสัยอ่อนโยน ความคิดก็หัวโบราณ ทุกสิ่งในชีวิต ล้วนยึดถือตามหลักการที่ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ตอนนั้นก็คงจะไม่โดนจิ่งเซี่ยวเต๋อและหวังเสว่เหมยเจ้าเดนมนุษย์สองคนนั้นเอาจนอยู่หมัดหรอก
เมื่อก่อนจิ่งหนิงไม่เข้าใจเธอจริง ๆ
เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อก็ชั่วช้าถึงขั้นนี้แล้ว แต่แม่กลับยังไม่ขัดขืนมาตลอด
แต่ว่าต่อมาเธอมีลูกของตัวเองแล้ว ก็เหมือนกับว่าจะเริ่มค่อย ๆ เข้าใจความในใจของแม่ในตอนนั้นแล้ว
เธอโชคดีมาก ที่เจอกับผู้ชายที่ดีแบบนี้อย่างลู่จิ่งเซิน
และด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ที่แต่งงานกันแล้ว ก็แทบจะไม่เคยเจอกับความน้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลย
แต่ว่าบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถมีโชคที่ดีแบบนี้ได้
มีคนมากมาย กลับเหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่งจนไม่รู้จะธรรมดาแค่ไหนแล้ว มีความน้อยอกน้อยใจ และมีความสุข
ถึงแม้ว่าบางครั้ง รสชาติขมอาจจะมากกว่าหน่อยหนึ่ง แต่เพื่อที่จะสามารถมีครอบครัวที่สมบูรณ์ครอบครัวหนึ่งให้ลูกได้ ทุกคนต่างก็อดทนหน่อยแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว
ขอแค่สิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่มากเกินไป เพื่อลูกแล้ว ทุกอย่างก็สามารถที่จะไม่ถือสาได้
ถึงแม้ว่าจนถึงตอนนี้ จิ่งหนิงก็ไม่มีทางที่จะเห็นด้วยกันความคิดแบบนี้ง่าย ๆ
แต่ว่าไม่เห็นด้วย ก็ไม่ได้เท่ากับว่าจะไม่สามารถเข้าใจได้
เพราะว่ามีบางครั้งเธอลองถามใจตัวเองดูแล้ว ถ้าหากว่าเธอยืนอยู่ในจุดของโม่ไฉ่เวย เธอก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าโม่ไฉ่เวยหรอก
จนมาวันนี้ คนของตระกูลจิ่งต่างก็ไม่อยู่แล้ว ตัวโม่ไฉ่เวยเองก็มีชีวิตใหม่ที่เป็นของตัวเองแล้ว
ที่จริงเป็นแบบนี้ก็ดีนะ
ในใจของจิ่งหนิงคิดทบทวนไปรอบหนึ่ง โม่ไฉ่เวยกลับไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
โม่ไฉ่เวยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พูดคุยกันไปครู่หนึ่งนี่ ฉันก็ลืมเรื่องสำคัญไปเลย”
เธอพูดแล้ว ก็ตบหัวตัวเองอย่างรู้สึกผิดทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปอีกข้างหนึ่ง แล้วก็เอากระติกรักษาอุณหภูมิที่อยู่บนตู้ลงมา
“หนิงหนิง นี่คือซุปที่ฉันตุ๋นเองกับมือเลยนะ ข้างในนี้ใส่ของเยอะแยะที่เหมาะกับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกเสร็จดื่ม ล้วนเป็นยาสมุนไพรชุดที่คุณอาเชวของแกจัดเองทั้งนั้น แกต้องดื่มเยอะ ๆ นะ จะได้บำรุงเลือดลมให้มันดี ๆ สักหน่อย”
จิ่งหนิงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “แม่คะ แม่บำรุงหนูซะขนาดนี้ ไม่กลัวว่าจะบำรุงหนูจนกลายเป็นยัยอ้วนไปเหรอคะ”
ที่จริงเธอค่อนข้างเป็นกังวลว่ารูปร่างจะเปลี่ยนไปหลังคลอดนะ
และคิดไม่ถึง โม่ไฉ่เวยกลับถลึงตาใส่เธอทีหนึ่ง
“ฉันของเตือนแกนะ ตอนนี้แกเพิ่งคลอดลูกเสร็จ และครั้งนี้ก็เป็นการผ่าคลอดด้วย ร่างกายกำลังอ่อนแออยู่ อย่ามาอะไรนิดอะไรหน่อยก็คิดว่าจะลดน้ำหนัก ผอมกับสวยมันสำคัญกว่าร่างกายแข็งแรงเหรอ? ถ้าไม่มีร่างกายที่แข็งแรง แกจะไปทำอะไรได้?”
จิ่งหนิงยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนสั่งสอนไปรอบหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะแตะจมูกเล็กน้อย
แล้วก็พูดขึ้นอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่ายและรู้สึกขำเล็กน้อยว่า “ได้ ได้ ได้ หนูจะฟังแม่ทุกอย่าง หนูดื่มแล้วโอเคไหมคะ?”
พอโม่ไฉ่เวยเห็นเธอตอบตกลงแล้ว ถึงได้ยื่นซุปที่เทเสร็จแล้วไปให้อย่างพึงพอใจ
จิ่งหนิงถือถ้วยไว้ แล้วก็ค่อย ๆ ดื่มไป
จะไม่พูดก็ไม่ได้ ว่าฝีมือของโม่ไฉ่เวยนั้นดีไม่เคยตกเลยจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่เป็นยาบำรุงพิเศษ แต่กลับไม่ได้ทำให้คนรู้สึกมันเลี่ยนกลิ่นฉุน ดมแล้วกีมีแต่กลิ่นหอมจาง ๆ กลิ่นหนึ่ง
ในตอนที่ดื่มเข้าไปในปากนั้น ยังสามารถรู้สึกได้ถึงความหวานได้เสี้ยวหนึ่ง
คนที่รู้ก็คือกำลังดื่มซุปอยู่ แต่ถ้าคนไม่รู้อาจจะนึกว่ากำลังดื่มเครื่องดื่มอะไรอยู่ก็ได้
น้ำซุปแบบนี้ ได้เปลี่ยนความคิดก่อนหน้านี้ของจิ่งหนิงที่เกี่ยวกับของที่กินในช่วงอยู่ไฟว่าต้องเลี่ยนและบำรุงมากไป
เพราะว่ารสชาติของน้ำซุปนั้นไม่เลวจริง ๆ จิ่งหนิงก็เลยดื่มรวดเดียวไปสามถ้วยไม่หยุด
เพียงแต่ว่าที่น่าเขินอายคือ อาจจะเป็นเพราะว่าดื่มซุปมากเกินไป พอวางถ้วยลง เธอก็รู้สึกถึงความรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาระลอกหนึ่ง
อู้ว์……อยากเข้าห้องน้ำ
โม่ไฉ่เวยกลับไม่รู้ว่าเธออยากจะไปเข้าห้องน้ำ พอเห็นว่าเธอดื่มซุปไปมากขนาดนั้น ยังดีอกดีใจมากและพูดพร่ำเรื่องทั่วไปกับเธออยู่ข้าง ๆแล้วรีบวิ่งมาดู
“หนิงหนิง แกเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
โม่ไฉ่เวยตื่นเต้นจนแทบไม่ไหวแล้ว
ในเมื่อเมื่อกี้เพิ่งจะดื่มน้ำซุปของเธอไป แล้วตอนนี้ก็มากุมท้องไว้ นี่มันยากมากจริง ๆ ที่จะไม่ให้คนคิดไปทางอื่น
จิ่งหนิงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อยขึ้น
“แม่คะ หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูก็แค่……ปวดฉี่นิดหน่อย หนูอยากเข้าห้องน้ำค่ะ”
พอโม่ไฉ่เวยได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“ที่แท้อยากจะเข้าห้องน้ำหรอกเหรอ แกรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปตามพยาบาลมาให้นะ”
จิ่งหนิงนั้นผ่าคลอด จึงต้องลำบากกว่าคลอดธรรมชาติหน่อย บาดแผลก็ฟื้นตัวได้ช้ากว่าเล็กน้อยด้วย
เพราะเหตุนี้ ตอนนี้ยังเป็นช่วงที่นอนพักรักษาบาดแผลอยู่ เรื่องเข้าห้องน้ำอะไรพวกนั้น จึงต้องการพยาบาลเฉพาะทางมาประคองเธอไปเข้าถึงจะได้
ถึงแม้โม่ไฉ่เวยเองก็สามารถประคองหล่อนไปได้ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ เรี่ยวแรงก็ไม่มากพอ ยังไงก็กลัวว่าจะทำให้จิ่งหนิงเจ็บตัวได้
โม่ไฉ่เวยลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก
คิดไม่ถึงว่าพอเดินมาถึงประตู ก็ปะทะเข้ากับลู่จิ่งเซินที่เพิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก
เมื่อกี้เห็นโม่ไฉ่เวยและจิ่งหนิงพูดคุยกันได้อย่างมีความสุข ลู่จิ่งเซินจึงไม่อยากรบกวนพวกเธอแม่ลูกคุยกัน ก็เลยเดินออกไปข้างนอกเลย
พอนี่เพิ่งกลับมา ก็เห็นโม่ไฉ่เวยที่มีท่าทีตื่นเต้นและจะเดินออกไปข้างนอก จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “แม่ครับ มีอะไรเหรอครับ?”
โม่ไฉ่เวยพูดขึ้น “หนิงหนิงอยากจะเข้าห้องน้ำ ฉันจะไปตามพยาบาลมาให้เธอ”
ลู่จิ่งเซินอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มขึ้นมาเลย
“ในห้องมีกริ่ง จะเรียกพยาบาลแค่กดกริ่งก็พอแล้วครับ ไม่ต้องออกไปตามเป็นพิเศษหรอกครับ”
พอเขาพูดแบบนี้ โม่ไฉ่เวยถึงได้เพิ่งตั้งสติกลับมาได้
ใช่ซิ เมื่อกี้พอเธอร้อนใจขึ้นมา ก็เลยลืมไปว่ามีกริ่งอยู่
ชั่วขณะหนึ่งโม่ไฉ่เวยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกว่าน่าขำด้วย
ลู่จิ่งเซินกลับไม่ได้หยุดรออีก แล้วก็ก้าวเท้าใหญ่ ๆ เดินเข้าไปข้างใน
แล้วเอาของที่อยู่ในมือวางลง แล้วเดินไปถึงข้างเตียง แล้วก็อุ้มตัวจิ่งหนิงขึ้นมา
จิ่งหนิงโดนการกระทำของเขาทำให้ตกใจสะดุ้งเฮือกใหญ่ แล้วถามขึ้นว่า “คุณจะทำอะไรคะ?”
ในขณะเดียวกัน มือก็จับคอเสื้อของเขาไว้อย่างแน่นอัตโนมัติ
การกระทำของลู่จิ่งเซินนั้นระมัดระวังเป็นอย่างมาก แถมยังหลบหลีกบาดแผลของเธอออกไปได้อย่างสมบูรณ์ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “อยากเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ? ผมอุ้มคุณเอง”
พอเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าของจิ่งหนิงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
“ไม่ ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”
ลู่จิ่งเซินยักคิ้วเล็กน้อย
“คุณไปเองได้เหรอ?”
จิ่งหนิง “……”
ผู้ชายคนนี้นี่ เห็นได้ชัดเลยว่ารังแกเธอที่ไปไม่ไหวในตอนนี้!
“เดี๋ยวฉันรอพยาบาลมาก็ได้ค่ะ”
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องลำบากพยาบาลหรอก ต่อไปผมอุ้มคุณไปก็พอแล้ว”
ถึงแม้ว่าพยาบาลก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ลู่จิ่งเซินก็ไม่ค่อยชอบให้คนอื่นมาเห็นท่าทางตอนเข้าห้องน้ำของจิ่งหนิง
ทำไมจิ่งหนิงจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ จึงอับอายจนแทบจะเอาหน้าทั้งหน้าซุกเข้าไปในอกแล้ว
และที่หน้าประตู โม่ไฉ่เวยที่เตรียมกำลังจะเดินกลับมานั้น ก็ได้ยินคำพูดของลู่จิ่งเซินเข้า บนใบหน้าก็เกิดรอยยิ้มที่มีความสุขขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
และก็ไม่อยากจะให้จิ่งหนิงรู้สึกเขินอายอยู่ที่นี่ ก็เลยออกไปก่อนเลย
ลู่จิ่งเซินอุ้มจิ่งหนิงมาถึงห้องน้ำ แล้วก็วางตัวเธอลงบนชักโครกอย่างระมัดระวัง
จิ่งหนิงโดนเขาจ้องมองตรง ๆ อยู่ ยังจะไปฉี่ออกได้ยังไงกัน?
อดกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “คุณออกไปก่อนซิ”
ลู่จิ่งเซินยักคิ้วเล็กน้อย ที่จริงก็ไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่