วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 665 ความเข้าใจ
ไม่นานต่อมา ก็มีอาหารอร่อยๆมากมายหลายอย่างถูกยกออกมา
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่อาหารตรงหน้าและถามพี่เวินว่า "ของคุณล่ะคะ?"
ชายเเซ่เวินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ผมกินแล้ว”
เขาพูด จากนั้นนั่งลงตรงข้ามกับเธอ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
เมื่อหญิงสาวเห็นท่าทางของเขาเช่นนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อและเริ่มลงมือกิน
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาเก็บตะเกียบกับชาม จากนั้นหันไปกำชับกับพนักงานในร้านก่อนจะพาเธอเดินจากไป
ระหว่างนั้น เนื่องจากเขารูปร่างของหญิงสาวอันงดงาม เดินคู่กับเขาที่ดูซอมซ่อ จึงทำให้สายตาของใครหลายๆคนจับจ้องมาทางทั้งสอง
เมื่อหญิงสาวรู้สึกได้ถึงแววตาเหล่านั้นก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ จึงดึงชายเสื้อของชายหนุ่มแล้วพูดขึ้นเบาๆว่า”พี่เวิน พวกเขา……”
สีหน้าของชายหนุ่มดูเยือกเย็นลง สายตาของเขาหันไปทางผู้คนเหล่านั้นแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “มองอะไรกัน? ถ้ายังมองอีกฉันจะควักลูกตาของพวกแกออกมา!”
ผู้คนที่เดินทางมากินข้าวในร้านอาหาร ส่วนมากแล้วถ้าไม่ใช่พวกเศรษฐีก็เป็นพวกมีตำแหน่ง
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปต่อให้มีเงินก็ไม่อาจมาที่นี่ได้
ดังนั้นเมื่อคำพูดของชายเเซ่เวินได้กล่าวออกไป ก็ทำให้มีคนไม่พอใจขึ้นมา
“ใครมองแก หืม? น้องผู้หญิงเขายังไม่พูดอะไรเลย แกทำเป็นกร่างอะไรกัน……”
อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ทันจะพูดจบ ชายแซ่เวินก็ทำสีหน้านิ่งเงียบลงไปทันที
ท่าทางของเขานั้นกำลังจะก้าวขึ้นไปหาเรื่อง แต่กลับถูกหญิงสาวรั้งเอาไว้
เธอขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับไม่อยากให้ชายหนุ่มไปมีเรื่องกับใคร และจึงได้ดึงชายแซ่เวินเบาๆ “ช่างเถอะค่ะ"
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสื่อถึงความเข้าใจ
“คุณผู้ชายคะ เพื่อนของฉันเพียงแค่ลุกออกมาพูดปกป้องฉันเท่านั้น หากคำพูดของเขาทำให้คุณไม่พอใจต้องขออภัยด้วย!”
ที่จริงชายวัยกลางคนคนนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไร้เหตุผลเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าเขาไม่ต้องการให้ชายเเซ่เวิน คนนี้ทำท่าทางเก่งกาจใส่
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหนึ่งพูดเช่นนั้น เขาก็ยิ้มขึ้นทันที
จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “อืมๆ ช่างมันเถอะ ในเมื่อคุณเอ่ยปากพูดขนาดนี้แล้วผมก็ไม่ใส่ใจอะไรหรอก ว่าแต่ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรกัน? ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยพบคุณมาก่อน?”
ชายเเซ่เวิน พูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ผู้หญิงบนโลกนี้มีตั้งมากมาย คุณเคยเห็นทุกคนเลยหรือไง?”
ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งถึงกับชะงักลง
เมื่อพบว่าสีหน้าของเขาไม่ดีนัก หญิงสาวจึงได้รีบดึงชายแซ่เวินมาอยู่ด้านหลังตน ก่อนจะยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างอบอุ่นว่า “พอดีก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้พักอยู่ที่นี่ค่ะ เพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศ ดังนั้นพวกเราจึงไม่เคยพบกันมาก่อน สวัสดีค่ะฉันชื่อซูหว่าน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ซูหว่าน ชื่อเพราะดีนี่ครับ คุณซู ผมชื่อหลี่เฉียงนะครับ เป็นผู้จัดการทั่วไปของหลี่ซื่อกรุ๊ป ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
พูดจบเขาก็หยิบนามบัตรส่งให้
ซูหว่านก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆเธอรับมาแล้วมองอย่างตั้งใจก่อนจะหยิบลงใส่กระเป๋า”
“พอดีฉันยังมีธุระต่อ ไม่รบกวนการพักผ่อนของคุณหลี่แล้วค่ะ”
คุณหลี่หัวเราะขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่รบกวนหรอกครับ ไม่ได้เป็นการรบกวนเลย ใช่สิ ผมพักอยู่ที่ห้องทางด้านนั้นถ้าคุณว่างจะมาเที่ยวเล่นที่ห้องก็ได้นะครับ การได้พบกันถือว่าเป็นพรหมลิขิต เราอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้”
ซูหว่านพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร เธอไม่ได้บอกว่าจะไปหรือไม่ไป
ส่วนคุณหลี่ก็เป็นคนฉลาดเฉลียว เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ทั้งสองคนจึงได้โบกมืออำลากัน
หลังจากออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ชายเเซ่เวินก็บ่นออกมาว่า “ไอ้พวกหวังผลประโยชน์!”
ซูหว่านมองไปทางเขาแล้วถอนหายใจออกมา
“ขอโทษนะคะพี่เวิน เป็นเพราะฉันคนเดียวเลย”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ชายเเซ่เวินก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า “คุณหมายความว่ายังไงกัน? ระหว่างเรา จำเป็นต้องพูดเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
ซูหว่านยิ้มออกมาเบาๆ เธอเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “หลายปีมานี้ คุณคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอไม่เคยจากไปไหน คอยดูแลเอาใจใส่และปกป้องฉัน หากไม่ใช่พระคุณ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนฉันก็คงไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว ฉันยังจะมีชีวิตมาอยู่จนถึงวันนี้ได้เหรอ?”
เธอพูดจบก็หยุดลงมองดูดอกไม้ข้างทาง ก่อนจะยื่นมือออกไปสัมผัสกับกลีบดอกไม้นั้น
สายตาของเธอมองไปยังดอกไม้อันแสนน่าชื่นชม แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่ ราวกับว่าเธอกำลังมองออกไปด้านหน้าอันว่างเปล่าเสียมากกว่า
“บางทีฉันก็คิดนะคะว่า ถ้าในตอนนั้นคุณไม่ได้ช่วยฉันเอาไว้ และฉันก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่มาจนวันนี้ 20 กว่าปีมานี้ คุณอาจจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขกว่านี้และสุขสบายกว่านี้ก็ได้?”
เวินเหวินจวิน ได้ยินดังนั้นเขาก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที
จากนั้นเดินขึ้นมาด้านหน้า คว้าข้อมือของซูหว่านเอาไว้ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ที่แท้ในใจคุณคิดแบบนี้เองเหรอ? คุณกำลังไม่พอใจที่ผมช่วยคุณไว้ในตอนนั้นหรือไง? หรือว่าในใจของคุณยังคงมีผู้ชายคนที่แซ่เฟิงคนนั้นอยู่? เขาทำให้คุณเจ็บปวดไม่มากพอหรือไง? เวลาล่วงเลยมาแม้กระทั่งตอนนี้ คุณก็ยังเอาแต่ปกป้องเขา?”
ซูหว่านชะงักลงทันที เธอมองไปยังผู้ชายที่อารมณ์เสียอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาดูกังวลเล็กน้อย
เธอพูดออกมาเบาๆว่า “พี่เวิน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ ฉันเพียงแค่……”
“พอเถอะ!”
เวินเหวินจวิน ตะคอกออกมาเสียงดัง เขามองไปทางซูหว่านด้วยความผิดหวังอย่างสุดหัวใจ “คุณไม่ต้องโกหกผมอีกต่อไปแล้ว คุณคิดว่าผมไม่รู้หรือไง? เมื่อสักครู่ ที่ป่าพีช ชายหนุ่มหญิงสาวที่คุณพบเมื่อสักครู่ ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนเขาใช่ไหม?
เป็นเพราะว่าคุณเห็นเขา จึงทำให้คิดถึงผู้ชายคนนั้นใช่ไหม? จึงทำให้จิตใจของคุณไม่สงบสุข เนื่องจากคุณไม่เคยลืมเขาได้เลย!”
ซูหว่านกัดริมฝีปากของตัวเอง เธอนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เธอไม่ได้ตอบว่าใช่ และไม่ได้ตอบว่าไม่ใช่
มือของเธอยังคงถูกมือของเวินเหวินจวิน กุมเอาไว้ มืออันขาวผ่องถูกชายคนนั้นกำเอาไว้เสียจนเป็นรอยแดง
เวินเหวินจวิน มองดูเธอ หน้าอกของเขากระเพื่อมตามแรงโกรธ
จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นข้อมือของเธอที่ถูกตนกำจนแดงเรื่อ เขาดูเหมือนถูกน้ำร้อนลวก จึงสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีและรีบปล่อยมือเธอ
“มือของคุณ……”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
ซูหว่านรีบดึงมือของเธอกลับ
เนื่องจากเธอได้สวมเสื้อคลุมแขนยาวเอาไว้ แขนเสื้อนั้นค่อนข้างยาว เมื่อเธอดึงมือกลับไปจึงทำให้เขาไม่เห็นรอยแดงนั้นแล้ว
สายตาของเธอช่างสงบนิ่ง เธอไม่ได้มองเขา แต่กลับมองไปยังด้านหน้ากว้างใหญ่
ไม่รู้ว่าเธอไม่ต้องการเห็นเขา หรือกำลังหลบเลี่ยงอะไรกันแน่
เธอพูดออกมาเบาๆว่า”พี่เวิน ขอบคุณมากนะคะ ที่ครั้งนี้คุณพาฉันกลับประเทศ ส่วนเรื่องที่คุณพูดมาสักครู่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ คุณคิดมากไปเอง”
เมื่อพูดจบเธอก็ก้มหน้าลงแล้วไอออกมา
เวินเหวินจวิน ได้ยินเสียงไอของเธอเขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ความเสียใจเอ่อล้นออกมาจากใจ
เขาไม่ควรอารมณ์เสียเลย
หลายปีมานี้ เขาคิดว่าตนได้ขัดเกลาอารมณ์ไปเสียสิ้นแล้ว
เพียงแค่สามารถได้อยู่ข้างกายเธอ เขายินยอมที่จะเก็บกรงเล็บและอารมณ์ร้ายเหล่านั้นเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ให้มันโผล่ออกมาอีก