วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 636 ปีนหน้าต่างกลางดึก
วินาทีถัดมา เขาตอบโดยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปและใจที่ไม่สั่นว่า "ไม่เป็นไร ฉันมีญาติอยู่ที่นี่ และฉันจะค้างคืนที่บ้านเขา"
พนักงานอึ้งทันที เมื่อได้ยินแบบนั้น
“อย่างนี้นี่เอง แล้วญาติของคุณอาศัยอยู่ไกลไหม? พรุ่งนี้เราคงต้องตื่นแต่เช้าเลยนะ คุณจะมาที่นี่ทันเหรอ”
เฟิงยี่ตอบโดยสีหน้าที่เย็นชา: “ทัน”
คนคนนั้นฟังแล้วและไม่โน้มน้าวใจได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับเนิบๆ
“ก็ได้ งั้นคุณระมัดระวังความปลอดภัยระหว่างทางด้วยนะ”
เมื่อพูดจบ ก็เดินเข้าบ้านแล้ว
ถังลั่วเหยาที่กำลังจะเปิดประตูได้ยินบทสนทนานี้เข้า
หลังจากที่เธอได้เปิดประตู เธอมองย้อนไป และเห็นแค่ชายคนนั้นที่กำลังยืนอยู่ที่นั่น กับมือของเขาที่ล้วงกระเป๋ากางเกงไว้และยิ้มให้เธอ
ถังลั่วเหยามองเขาด้วยท่าทางเคร่งขรึมและจ้องมาที่เขา
แล้วก็ไม่ได้พูดคุยกับเขา เดินเข้าบ้านโดยตรงเลย
ปิดและล็อกประตู ทั้งหมดในครั้งเดียว!
หลังจากที่ได้ทำทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็ตบฝ่ามืออย่างภาคภูมิใจ
หึ ใครสั่งให้คุณำอะไรโดยพลการ ให้คุณตามมาขู่เธอ ดูสิว่าคุณจะทำยังไง ณ ตอนนี้
เธอโยนกระเป๋าทิ้งอย่างสบายใจ และได้เดินเข้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ
ในอีกด้านหนึ่ง เฟิงยี่ก็ไม่คาดคิดว่าเธอถึงกับจะล็อกประตู
เดิมที เขาได้เตรียมการ์ดห้องสำหรับห้องของเธอไว้เป็นพิเศษ เพื่อที่จะมาตอนที่ไม่มีใครอยู่
แต่ไม่คาดคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กคนนี้เพียงแค่ไม่เห็นด้วยก็ล็อกประตูเลย
ประตูถูกล็อก ถึงใช้คีย์การ์ดเปิดจากข้างนอกก็ไม่สามารถเปิดได้
เฟิงยี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หันหลังเดินออกไป
เขารู้ดี ว่าการที่ตัวเองมีการกระทำที่ฆ่าก่อน รายงานทีหลังนั้น จะทำให้เธอนั้นโกรธแน่นอน
ในเวลานี้ ถ้าตัวเขาเองบังคับให้เธอเปิดประตู มันจะยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้นไปอีก
เพื่อไม่ให้ภรรยาของเขาโกรธ คุณชายรองเฟิงตัดสินใจใช้กลวิธีอ้อมค้อมแทนที่จะเผชิญหน้างัดข้อกัน
ดังนั้น ในขณะที่ถังลั่วเหยาทำตัวผ่อนคลายและร้องเพลงหลังจากอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ เธอก็เห็นเงาดำๆ ลับๆ ล่อๆ ย่องขึ้นมาจากขอบหน้าต่างห้องของเธอ
เธอยืนแข็งอยู่ที่นั่น กลัวจนร่างกายของเธอแข็งทื่อเลย
ทันใดนั้น เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้น
“อ๊า…ผี…”
เพราะเสียงกรีดร้อง ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร ชายที่อยู่บนขอบหน้าต่างก็รีบกระโดดลงมาปิดปากเธอ
“อย่าร้อง อย่าร้อง นี่ผมเอง”
เสียงที่คุ้นเคย ถังลั่วเหยาเธอตกตะลึง พอได้ตั้งสติ ก็ได้เห็นหน้าชัดเจนว่าคนที่มาคือใคร ทันในนั้นเธอทั้งโกรธทั้งโมโห
“เฟิงยี่!คุณเป็นบ้าอะไร!คุณปีนระเบียงอะไรกลางดึกอย่างงี้ คุณรู้ไหมว่าคนที่หลอกคนสามารถทำให้คนตายได้”
เฟิงยี่ถูกด่าจนหน้าจ๋อย
“ที่รัก ผมก็ไม่อยากหรอก แต่เพราะคุณล็อกประตูจนผมเข้าไปไม่ได้ ก็เลยต้องจำใจปีนหน้าต่างน่ะสิ”
ขณะที่เขาพูดเขาก็ทำตากะพริบอย่างน่าสงสาร
ถังลั่วเหยาหยุดนิ่งทันที
จู่ๆก็ไม่รู้จะต้องพูดอะไร
เพราะยังไง เฟิงยี่ก็พูดถูก
ประตูถูกเธอล็อต และเขาก็เข้ามาไม่ได้ มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากปีนหน้าต่าง
แต่ตราบใดที่นึกได้ ว่าข้างนอกนั้นเป็นตึกสูงหลายสิบชั้นนั้น ก็ไม่รู้ว่าเขาปีนขึ้นมาได้ยังไง แต่ไม่ว่าปีนขึ้นมาด้วยวิธีอะไรก็ตาม ก็คงจะอันตรายมาก
ใบหน้าของถังลั่วเหยาไม่ค่อยดีนัก
เฟิงยี่ก็รู้ดี ว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้มันเกินไป
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอโกรธ เขาจึงรีบเอาใจอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ โอเค โอเค ฉันผิด ฉันผิดไปแล้ว คุณไม่โกรธได้ไหม”
ถังลั่วเหยารู้ดี ถึงจะโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์
มันเป็นเพียงแค่การปรับเข้าหากันของทั้งสองเท่านั้นเอง
และตอนนี้คนก็ได้ขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะอันตรายหรือไม่ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว
ถึงเธอจะโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้น เธอทำได้เพียงจ้องมองเขา กล่าว: "ครั้งนี้ยกเว้นให้ ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ"
เมื่อเฟิงยี่ได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้ว่าเธอให้อภัยตัวเองแล้ว
เขาพูดและยิ้มตาหยี : "ผมสัญญา จะไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน"
ถังลั่วเหยาค่อยโล่งใจ
ในช่วงค่ำคืน ทั้งสองคนได้นั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกันอยู่ในห้อง
หลังจากดื่มไปสักพัก มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำในเรื่องคนเป็นสามีภรรยาเขาทำกัน
โชคดีที่เขารู้ว่าเธอนั้นต้องไปถ่ายแบบในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนร่างกายของเธอ
ฉะนั้นผู้ชายคนนี้จึงดูอ่อนโยนเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้
ถังลั่วเหยารู้สึกว่าเธอกำลังจะละลายลงในแอ่งน้ำอันอ่อนโยนนี้
จนถึงเที่ยงคืน ความบ้าบอเรื่องนี้ก็ได้จบลงในค่ำคืนนี้
วันที่สอง
เมื่อถังลั่วเหยาตื่นขึ้นมา เฟิงยี่ก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องแล้ว
เธอเดินดูรอบๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาในห้องนี้ คิดว่าคงจะจากไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาออกจากห้องกี่โมง เพราะเธอหลับลึกเกินไป ไม่รับรู้อะไรเลย
ถังลั่วเหยาเดินเข้าไปที่ห้องอาบน้ำ หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เสียงกริ่งของประตูก็ดังขึ้น
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รีบไปเปิดประตู ก็เห็นเฟิงยี่ที่ถืออาหารเช้าไว้และยืนอยู่หน้าประตู
วันนี้เขาเปลี่ยนกลับไปเป็นผู้ช่วยที่ปลอมตัวมีหนวดมีเครา และนำอาหารเช้ามาให้เธอด้วยรอยยิ้มแก้มปริ "อรุณสวัสดิ์ ทานอาหารเช้ากัน"
ถังลั่วเหยาผงะ ด้วยท่าทางยิ้มของชายคนนี้ ทำให้เธอมึนงงเล็กน้อย
เหมือนอย่างกับว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ต่างประเทศ แต่อยู่ในประเทศ และใช้ชีวิตเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน
แต่ ความมีสติได้ย้ำเตือนเธอ บอกเธอว่านี่ไม่ใช่
ข้างนอกเต็มไปด้วยผู้คน และตึกชั้นนี้มีแต่คนในกองถ่ายที่อาศัยอยู่ ถ้าประมาทไปหน่อย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็จะเห็น
เพราะฉะนั้น ใบหน้าของเธอไม่ได้แสดงลักษณะพิเศษมากเกินไป
เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ และหลีกให้เขาเพื่อให้เขาเข้าไป
"ขอขอบคุณ."
หลังจากที่เฟิงยี่ให้อาหารเช้ากับเธอแล้ว เขาก็ไปเก็บข้าวของส่วนตัวของเธอสำหรับการถ่ายทำในวันนี้
เช่น ลิปสติกและแก้วน้ำของตัวเอง
ถังลั่วเหยานั่งอยู่ที่นั่น ขณะรับประทานอาหารเช้า เธอเฝ้าดูเขาที่ช่วยเก็บข้าวของให้ตัวเอง
จู่ๆก็รู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้พอได้ทำเรื่องพวกนี้แล้ว ก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่
และไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาของเธอหรือเปล่า ที่มักจะรู้สึกว่ามีเขาอยู่เคียงข้างตอนนี้ มันรู้สึกดีกว่าถ้าเทียบกับความรู้สึกเมื่อก่อนที่ฉันออกมาถ่ายงานคนเดียวกับเสี่ยวฉิงที่คุ้นเคยเยอะเลย
อย่างน้อยก็สบายใจขึ้นเยอะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็ยิ้มมุมปากอย่างไม่ตั้งใจ
เพื่อแสร้งทำเป็นเหมือนผู้ช่วยของเธอ เฟิงยี่ได้เรียนรู้ว่าต้องทำอะไรในฐานะผู้ช่วยมาก่อนเป็นพิเศษ
ดังนั้นพอได้ทำงานจริงจึงราบรื่นมาก
เมื่อถังลั่วเหยากินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย เธอจึงไปเก็บข้าวของด้วยตัวเองที่เขานั้นยังเก็บไม่เสร็จ
แม้ว่าตอนนี้ผู้ชายคนนี้จะทำได้ดีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ลืมว่าเขาคือคุณชายรองของตระกูลเฟิง
เขาคนนี้ที่ชินกับการที่มีคนมารับใช้ตั้งแต่เด็กจนโต แต่ตอนนี้กลับมาช่วยเธอเก็บข้าวของ
รู้สึกสยองขวัญเมื่อมองภาพนี้
ฉะนั้น เธอเลยขอเก็บเองดีกว่า
และผู้ชายทำงาน ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ละเอียดเท่าผู้หญิงอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ในเรื่องของความเข้าใจกัน
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของใช้ส่วนตัวที่คุณมักจะต้องใช้ ถ้าไม่ใช่คนรู้จักเราดีพอ โดยทั่วไปแล้วก็เก็บได้ไม่ดีสักเท่าไหร่
เฟิงยี่รู้จักเธอเพียงพอในบางแง่มุม แต่สำหรับในแง่ของชีวิตส่วนตัวและสิ่งของจำเป็นของเด็กผู้หญิงแล้ว เขาคือผู้ชายซื่อๆ คนหนึ่ง ถ้าอยากรู้ให้สุดก็คงยังเข้าใจยากอยู่สักหน่อย