วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 399 ขายขี้หน้า
บทที่399 ขายขี้หน้า
จิ่งหนิงโกรธจัด
“เรื่องแบบนี้ยังกล้าเอามาพูดเป็นเรื่องตลกได้ คงจะเป็นสไตล์ส่วนตัวของคุณน่าหลันที่เห็นได้ชัดเลยนะคะ”
สีหน้าของน่าหลันยางยังคงเรียบเฉย หรือจะพูดได้ว่าเธอคงได้ยินแบบนี้มาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว เธอจึงไม่ได้สะทกสะท้านอะไรต่อคำพูดเหล่านั้น
สายตาคู่หนึ่งยังคงจับจ้องไปที่ลู่จิ่งเซิน
“คุณลู่จิ่งเซิน จะรับไว้พิจารณาไหมคะ?”
จิ่งหนิงโกรธมากจนแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปทึ้งหัวหล่อนสักทีสองที เธอกัดฟันแน่น คว้าแขนของลู่จิ่งเซินไว้และพูดว่า “ที่รักคะ ฉันชอบต่างหูคู่นั้นจังเลย”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย “อื้ม ได้สิครับ”
น่าหลันยางที่เห็นสถานการณ์ดังนั้น ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย
ในที่สุดลู่จิ่งเซินก็สบสายตาไปที่เธอตรงๆ แต่ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความเย็นชา พูดด้วยเสียงแข็งว่า “คุณน่าหลัน ผมรู้ว่าคุณต้องการอะไร แต่ต้องขอโทษด้วย นี่ไม่ใช่เหยื่อของคุณ สำหรับคนอย่างคุณแล้ว…”
ดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ เพื่อที่จะหาคำมาอธิบายความเป็นหล่อนได้อย่างถูกต้อง “สำหรับคนอย่างคุณแล้วก็เป็นแค่ผู้หญิงที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ผมไม่สนใจคนพรรคนั้น”
สีหน้าของน่าหลันยางเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ลู่จิ่งเซิน ที่พูดมาคุณหมายความว่าไง? ฉัน…”
“พอได้แล้ว คุณไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว ตระกูลน่าหลันเป็นตระกูลอย่างไรพวกเรารู้แล้ว วันนี้ที่คุณน่าหลันยางเข้ามาหาพี่รองของฉันเพื่อต่อรอง จริงๆแล้วไม่ใช่เพราะหยกนั่นหรอกและก็ไม่ใช่เพราะต่างหูคู่นี้ด้วย! เธอแค่ต้องการดึงความสนใจของพี่รองของฉัน เพราะเขาเป็นหนึ่งในรายชื่อที่เธอต้องตามล่าถูกไหม?”
ใบหน้าของน่าหลันยางดูแข็งทื่อไปทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับคนอย่างนี้ในรอบหลายปี มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ยอมรับสิ่งที่หล่อนเสนอต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เพราะมันทำให้เธอได้ขายขี้หน้าแบบนี้ยังไงล่ะ
ดูเหมือนว่าเฟิงยี่ยังคงไม่สะใจ พูดล้อเลียนต่อว่า “พี่สะใภ้ พี่สบายใจเถอะ พี่รองของพวกเราน่ะมีรสนิยมที่ดีพอ แม้แต่ผมก็ยังไม่ให้ค่ากับผู้หญิงแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาที่โดนเสนอตัวให้ถึงที่ขนาดนี้ ยังไงเขาก็ไม่มีทางเอาแน่นอน”
จิ่งหนิงหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร
สีหน้าของน่าหลันยางเปลี่ยนไปโดยพริบตา แต่ยังคงหลงเหลือยิ้มเจื่อนไว้บนใบหน้า
พูดว่า “คุณชายรองเฟิงทำไมถึงได้ชอบล้อเล่นขนาดนี้คะ เดี๋ยวไว้เราค่อยไปดื่มกันสักหน่อยดีกว่านะ กรุณาระมัดระวังในคำพูดและการกระทำของคุณในตอนนี้ไว้ให้ดี ฉันมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประมูลในนามของตระกูลน่าหลันของเรา แต่ไม่ได้มาเพื่อทำให้คุณรู้สึกอัปยศนะ”
เฟิงยี่เบะปาก ขี้เกียจจะยุ่งกับหล่อน
สุดท้ายแล้วน่าหลันยางก็เดินกลับไปที่นั่งเดิมของหล่อนด้วยท่าทางที่ผิดหวัง
ต่างหูคู่นั้น ก็เป็นลู่จิ่งเซินที่ประมูลได้ไปในท้ายที่สุด
ต่อมาเฟิงยี่ก็ซื้อเครื่องประดับที่สวยงาม มันคือสร้อยข้อมือปะการังสีแดง และจากการถามว่าทำไมเขาถึงซื้อสิ่งนี้ แต่เขากลับบอกว่ามันดูลึกลับน่าค้นหา
จู่ๆจิ่งหนิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของถังลั่วเหยา เธอจึงเข้าใจเรื่องนี้
แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงยี่ เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามไปตรงๆ
ในเมื่อคนเค้าไม่ได้เต็มใจที่จะพูดให้ชัดเจน คิดว่าคงไม่อยากให้ทุกคนรู้ จิ่งหนิงเลยไม่ได้พูดอะไรมาก
การประมูลจบลง ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังจะแยกย้ายกัน ตอนนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนเดินมาหาพวกเขา
“ลู่จิ่งเซิน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ทั้งสามคนชะงักฝีเท้า พบชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าปี แต่งกายด้วยชุดสูทสีเทาเงิน ให้อารมณ์ที่สง่างาม ผิวพรรณขาวผ่องและรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ความรู้สึกแรกของจิ่งหนิงก็คือ คนคนนี้จะต้องมีตำแหน่งสูงมากเป็นแน่
เพราะว่าแม้ว่าใบหน้าของเขานั้นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ความสูงส่งและน่าเกรงขามที่ไม่ยอมให้ใครบุกรุกล้ำเส้นเข้ามาได้นั้นก็เป็นอะไรที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าให้เขาอย่างเบาๆ “ท่านจูเก่อ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้ท่านจะมาด้วยตัวเอง”
จูเก่อยิ้มและพูดว่า “นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับประเทศจีน พอดีใช้โอกาสนี้แวะมาสักรอบ ต้องบอกว่าประเทศจีนนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ ในหลายๆที่ฉันแทบจำไม่ได้แล้วว่าคือที่ไหน”
ลู่จิ่งเซินยิ้มบางพูดว่า “ในช่วงกี่ปีมานี้การพัฒนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หากท่านจูเก่อสนใจ ก็อยู่ในประเทศให้นานกว่านี้สักหน่อยสิครับ”
จูเก่อหลิวเฟิงพยักหน้า “จริงๆแล้วฉันก็กะไว้แบบนั้นเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเวลานั้นคุณชายลู่จะพอมีเวลาว่างหรือเปล่า กลัวว่าจะต้องไปรบกวนที่บ้านสักครั้ง”
“ถ้าท่านจูเก่อมาทั้งที แน่นอนว่าก็ต้องต้อนรับอยู่แล้วครับ”
ทั้งสองคนยิ้มและกล่าวคำต้อนรับ มีคนมาหาเขา จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผมยังมีธุระต่อ ต้องขอตัวก่อนครับ”
จูเก่อหลิวเฟิงพยักหน้า เขายิ้มให้จิ่งหนิงและเฟิงยี่ก่อนจะเดินจากไป
รอจนเขาจากไป เฟิงยี่ถามอย่างตกใจว่า “พี่รอง เขาคือผู้ถือหางเสือคนปัจจุบันของตระกูลจื่อจินคนนั้นใช่หรือเปล่า? ”
ลู่จิ่งเซินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “ไม่ใช่ เขาคือ จูเก่อหลิวเฟิงลูกชายคนที่สี่ของจูเก่อหลิงชาง ผู้ที่ถือหางเสือคนปัจจุบันคือลูกชายคนที่สองของจูเก่อเย่”
เฟิงยี่พยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยหูลอยแทรกเข้ามา
“จิ่งเซิน เฟิงยี่ พวกเธออยู่ที่นี่นี่เอง”
ทั้งสามคนหันไปมอง นั่นคือท่านกวนและกวนจี้หมิง
“ปู่กวน คุณลุง”
“อ่า หนิงหนิงก็มาด้วย”
ท่านกวนมองไปที่จิงหนิงอย่างเอ็นดูด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและแววตาที่อบอุ่น
จิ่งหนิงมีความรู้สึกเหมือนได้รับความรัก เธอรีบพูดขึ้นว่า “ใช่ค่ะ ช่วงนี้สุขภาพของปู่กวนดูขึ้นบ้างยังคะ?”
“ดีขึ้นมากแล้ว เป็นปัญหาสุขภาพเดิมๆของฉัน ตายไม่ได้หรอกหนูไม่ต้องมาห่วงหรอก ครั้งก่อนหนูได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ดีขึ้นยัง?”
จิ่งหนิงรีบตอบกลับ “หนูดีขึ้นตั้งนานแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่ปู่กวนเป็นห่วง”
ท่านกวนพยักหน้า “งั้นก็ดีแล้วล่ะ หนูเป็นเด็กดีจริงๆ”
สายตาของเขาเปลี่ยนทิศทางการมองไปทางด้านข้าง และมองที่แผ่นหลังของชายที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อสักครู่ ก่อนถามว่า “นั่นคือใคร?”
ลู่จิ่งเซินตอบว่า “จูเก่อหลิวเฟิง คนของตระกูลจื่อจิน ”
“จูเก่อหลิวเฟิง?”
สีหน้าของท่านกวนเปลี่ยนไป
จิ่งหนิงเกิดความสับสน “ท่านเป็นอะไรไปคะ?”
“อ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”
แววตาของชายชราเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับรีบตอบปัดให้ผ่านไปอย่างนั้น “จริงสิ พรุ่งนี้ฉันเตรียมอาหารค่ำไว้ที่บ้าน เพื่อเป็นการขอโทษพวกเธอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นพิเศษ ต้องมาให้ได้นะ”
ลู่จิ่งเซินมองไปที่จิ่งหนิง
จิ่งหนิงลังเลใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะปู่กวน ความปรารถนาดีของท่านหนูรับรู้ได้แล้ว แต่ว่าเรื่องนั้นก็ได้ผ่านไปนานแล้ว หนูไม่ได้ถือสาอะไรตั้งนานแล้วค่ะ ดังนั้นเรื่องงานเลี้ยงอาหารนั้นคงจะช้าไปหน่อยแล้วล่ะค่ะ ”
ท่านกวนรีบพูดต่อว่า “ไม่เพียงแต่จะเป็นการขอโทษหนูแทนเขาแต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฉัน ฉันอยากพูดต่อหน้าหนู”
จิ่งหนิงมองไปที่เขา “เรื่องอะไรคะ? ท่านพูดมาตอนนี้ก็ได้นะคะ”
“เอ่อคือ…”
กวนจี้หมิงอธิบายว่า “หนิงหนิง มีบางเรื่องที่ไม่สะดวกจะคุยที่นี่ เห็นแก่ลุงเถอะ เย็นพรุ่งนี้ต้องมาให้ได้นะ”
จิ่งหนิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
บอกตามตรง เธอไม่อยากที่จะไปที่ตระกูลกวน
ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เรื่องของจิ่งเสี่ยวหย่าและกวนจี้หลี่ เธอรู้สึกมาตลอดว่าท่าทีของตระกูลกวนนั้นดูแปลกๆ มีเสียงแจ้งเตือนเล็กๆดังก้องอยู่ในใจของเธอ
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงแข็งว่า “สองสามวันนี้หนิงหนิงไม่มีเวลาว่าง เรื่องของทั้งสองท่านคงต้องรอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน!”
ท่านกวนและกวนจี้หมิง เห็นสถานการณ์ดังนั้น ทั้งสองก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่ลู่จิ่งเซินพูดมาขนาดนี้แล้ว จะดีกว่าถ้าพวกเขาไม่บังคับต่อไป
ท่านกวนมองไปที่จิ่งหนิง เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่ยังอาลัยอาวรณ์
“โอเค! ในเมื่ออาเซินพูดแบบนั้นแล้ว งั้นก็ไม่บังคับแล้วกัน แต่ว่าหนิงหนิง ถ้าหากอยู่ที่เกียวโตเกิดมีปัญหาอะไรล่ะก็ อย่าลืมบอกปู่นะ ยังมีปู่อยู่ข้างๆไม่มีใครกล้าเข้ามารังแกหนูแน่”