วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 297 เลี้ยงต้อนรับแขกที่มาจากแดนไกล
บทที่ 297 เลี้ยงต้อนรับแขกที่มาจากแดนไกล
หัวเหยาคิดแล้วคิดอีก “คาดว่าอยู่ไฟพักฟื้นสุขภาพหนึ่งเดือนเสร็จก็จะกลับล่ะ”
จิ่งหนิงอึ้งชะงัก “เร็วขนาดนี้หรือ?”
“อืม”
หัวเหยาดูเหมือนมีความในใจเล็กน้อย แต่ว่าเธอไม่ได้คิดว่าจะบอกกับจิ่งหนิง ยิ้มแล้วยิ้มอีก พูดว่า “ถึงเวลานั้นกลับมาแล้วค่อยไปหาแกรวมตัวกันหน่อย”
จิ่งหนิงพยักหน้า “ได้ งั้นถึงเวลานั้นฉันจะไปรับแก”
“อืม”
ทั้งสองคนวางสายลง
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน หัวเหยากลับมาจากประเทศฝรั่งเศสจริงๆ
วันนั้น เป็นจิ่งหนิงไปรับเธอ
ข้างกายเธอยังพาลูกมาด้วย เพราะว่ากลัวถูกถ่ายรูปได้ ดังนั้นแต่งตัวครบเครื่อง ทำตัวค้อมต่ำเหลือเกิน
หลังจากจิ่งหนิงรับเธอได้แล้ว ขึ้นรถไป ทันทีจึงพินิจพิเคราะห์เธออย่างละเอียดสักรอบ
โชคดีที่สีหน้าหัวเหยาดูไปแล้วยังดีมาก นอกจากเพราะว่าคลอดบุตรก็เลยเห็นว่าอวบอั๋นเล็กน้อย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นเลย
จิ่งหนิงนี่จึงโล่งอก
เธอขึ้นไป กอดหัวเหยากอดแล้วกอดอีก
“ในที่สุดแกก็กลับมาแล้ว ล้วนไม่รู้ว่าฉันคิดถึงแกมากเท่าไหร่”
หัวเหยาหัวเราะ “อิ ถ้าหากว่าคุณชายลู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จะต้องหึงหวงแน่นอน”
จิ่งหนิงก็อดไม่ได้ถูกเธอขู่เข็ญจนหัวเราะฉอเลาะโกรธพูดประโยคหนึ่งว่า “อย่าไปสนใจเขา”
หลังจากหัวเหยากลับมา ไม่ได้กลับไปเมืองจิ้น แต่คือพักอยู่ในเมืองหลวงโดยตรง
ที่พักเป็นจิ่งหนิงช่วยเธอหาไว้ล่วงหน้า เป็นคฤหาสน์เดี่ยวหลังเล็กห่างไม่ไกลจากวิลล่าเฟิงเฉียว
บ้านหลังนี้ เดิมทีอยู่ในภายใต้ชื่อของลู่จิ่งเซิน จากนั้นลู่จิ่งเซินโอนอสังหาริมทรัพย์หลายสิบอย่างที่อยู่ภายใต้ชื่อตนเองทั้งหมดให้กับจิ่งหนิง ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้ล้วนเป็นของจิ่งหนิง
หลังจากจัดหาที่พักอาศัยให้กับหัวเหยาแม่ลูกอย่างเรียบร้อย จิ่งหนิงให้เธอพักผ่อนสองวันก่อน จากนั้นจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กับเธอ
หัวเหยารู้ เธอกังวลว่าตนเองอยู่ที่นี่จะมีความรู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่เคยชิน ด้วยเหตุนี้จึงจะทำเช่นนี้
ดังนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเธอด้วย ก็รับปากในทันทีเลย
สองวันผ่านไป จิ่งหนิงเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงขึ้นมา เรียกเฟิงยี่และคนอื่นๆทั้งหมดล้วนเข้ามา ตอนเย็นไปกินข้าวร้องเพลงด้วยกัน
ตอนที่ไปถึง KTV คนอื่นๆล้วนมาถึงแล้ว
วันนี้เป็นวันหยุดอานอาน ด้วยเหตุนี้ จิ่งหนิงก็พาเธอออกมาด้วยกัน
เพิ่งลงจากรถ ก็เจอกันกับหัวเหยาที่อยู่หน้าประตู
หัวเหยาเห็นได้ชัดคือตั้งใจรอพวกเขาอยู่ตรงหน้าประตู อานอานรู้จักเธอ หลังจากเห็นเธอแล้ว ขึ้นไปกอดหนึ่งทีอย่างอบอุ่น ยิ้มหวานพูดว่า “น้าเหยาเหยา”
หัวเหยาดีใจจนทำตัวไม่ถูกจริงๆ เลย หัวเราะจนปากล้วนหุบลงไม่ได้แล้ว
อุ้มเธอพินิจพิเคราะห์อยู่สักพัก “อานอานเป็นเด็กดีมาก ทั้งหน้าตาสวยด้วย มา ให้น้าดูซิสูงขึ้นหน่อยหรือไม่”
พูดอยู่ ถอยก้าวหนึ่งดูไปหนึ่งที ยิ้มพูดว่า “สูงขึ้นแล้วจริงๆ ”
ลู่จิ่งเซินจับมือจิ่งหนิงเดินเข้าไป หัวเหยาจ้องมองทั้งสองคนหนึ่งที “นานแล้วไม่ได้เจอกับประธานลู่ ดูแล้วช่วงเวลานี้ท่านผ่านมาอย่างชุ่มชื่นนะ หน้าตาสดใส เป็นยังไง ทั้งคู่ความรักความผูกพันไม่เลวนะ?”
จิ่งหนิงรู้สึกเขินเล็กน้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก จ้องเธอเขม็งทีหนึ่ง
ไม่รอลู่จิ่งเซินตอบ ก็พูดว่า “ใช่ไม่เลว ทำไมหรือ”
หัวเหยายิ้ม “จะเป็นอะไรได้ล่ะ ย่อมต้องแสดงความยินดีกับแกล่ะ ได้พบรักแท้”
จิ่งหนิงก็กะพริบตา กะพริบแล้วกะพริบอีก “พูดเหมือนดั่งแกไม่มี ฉันบอกกับแก คืนนี้รักแท้ของแกก็มาแล้วด้วย โอ้ว”
หัวเหยาอึ้งทันที ยังไม่ทันมีปฏิกิริยา เสียงเครื่องยนต์ของรถข้างหลังดังขึ้น
จากนั้นก็มองเห็นรถของจี้หลินยวนขับมายังฝั่งนี้
เธออึ้งชะงักเล็กน้อย สีหน้าขาวอย่างพรวดพราด
แท้ที่จริงแล้วจิ่งหนิงก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เช่นกัน จี้หลินยวนก็จะเข้ามาด้วยเช่นกัน
พูดแล้วก็บังเอิญจริงๆ เธอรู้จักกับจี้หลินยวนมานาน ก่อนหน้านั้นเพราะว่าหัวเหยาชอบคนคนนี้ เธอยังให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษหน่อย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนที่หลายคนนี้เรียนอยู่มัธยมปลาย ยังเป็นโรงเรียนเดียวกัน
กลับนึกไม่ถึง จี้หลินยวนจะเป็นหลานของนายหญิงจิ้น
ในปีนั้น จิ้นชิงซานหย่ากันกับอดีตภรรยา หลังจากหย่ากันแล้ว ภรรยาจึงพบเห็นว่าตนเองตั้งครรภ์แล้ว
เด็กคนนี้ ก็ถูกเธอพาไป อบรมเลี้ยงดูจนเติบโต จากนั้นภรรยาป่วย ก่อนตายจึงบอกความจริงของชีวิตตัวเองให้กับจี้หลินยวน
บัดนี้ นายหญิงจิ้นหาจี้หลินยวนกลับมาแล้ว ตระกูลจิ้นเคารพความเห็นของเขา ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลให้เขา เพียงหวังว่าเขาจะสามารถรองรับคนในบ้านได้
ที่จริงแล้ว ในปีนั้นตระกูลจิ้นก็เคยพยายามตามหาเขาด้วย แต่จิ้หยันมีใจจะปกปิด ไม่ว่าตระกูลจิ้นพยายามเช่นไรก็หาไม่เจอ เรื่องนี้โทษพวกเขาไม่ได้
ในเมื่อจี้หลินยวนเป็นหลานของนายหญิงจิ้น นายหญิงจิ้นกับนายหญิงหชินก็เป็นเพื่อนสนิทกันด้วย ดังนั้นจี้หลินยวนย่อมมีสิทธิพอที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งของพวกรุ่นเด็กในแวดวงภาพยนตร์ปักกิ่งด้วยอยู่แล้ว
อีกทั้ง เขากับเฟิงยี่ก่อนหน้านั้นเดิมทีก็รู้จักกัน ยังเป็นเพื่อนที่ดีมาก ด้วยเหตุนี้ทุกคนอยู่ด้วยกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าด้วย
จากนั้น หัวเหยามองเห็นผู้ชายที่อยู่ต่อหน้า กลับมึนงงแล้วทั้งตัว เหมือนอยู่ถ้ำน้ำแข็ง
จิ่งหนิงสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เอาใจใส่ถามว่า “เหยาเหยา แกไม่เป็นไรนะ?”
หัวเหยาเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา ส่ายหัวแล้วส่ายอีก
ให้ตายสิ เธอน่าจะต้องคิดได้ก่อนเขาจะมา!
คนที่ตระกูลจิ้นกลับประเทศ เขาย่อมกลับมาด้วยเช่นกันอยู่แล้ว!
จิ่งหนิงเห็นสีหน้าของเธอซีดเซียวเล็กน้อย ถามว่า “แกไม่สบายใช่หรือไม่? ถ้าไม่งั้นฉันกลับไปเป็นเพื่อนแกก่อนล่ะ?”
“ไม่ต้องแล้ว”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามวันนี้จิ่งหนิงจัดงานนี้ ก็เป็นเพราะว่าจะต้อนรับเธอกลับมา และมีความหมายที่จะแนะนำเพื่อนเหล่านี้ให้เธอรู้จักด้วย
เธอเป็นเจ้าของงาน ไม่ว่ายังไงก็ออกไปล่วงหน้าไม่ได้ มิฉะนั้นก็เสียมารยาทเกินไปแล้ว
หัวเหยาเก็บรวบรวมสภาพจิตใจรวบรวมแล้วรวบรวมอีก นี่จึงพูดว่า “ฉันไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปเถอะ”
“อืม”
จิ่งหนิงดึงเธอไว้เดินไปยังข้างในด้วยกัน โชคดีที่จี้หลินยวนเพียงมองหัวเหยาแค่หนึ่งที ไม่ได้ทำอย่างอื่นมากกว่านี้อีกเลย
คนทั้งหมดเข้าไปในห้องพิเศษ จิ่งหนิงช่วยแนะนำให้ทุกคนทีละคน วันนี้ไม่เพียงแค่เฟิงยี่ แม้แต่ถังลั่วเหยาก็ถูกเรียกเข้ามาด้วย
จิ่งหนิงรู้ หัวเหยากับบิดาแตกคอกัน ไม่อยากกลับเมืองจิ้น เกรงว่าจะอยู่เมืองหลวงเป็นเวลานาน
ตัวเธอเองอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนที่ไหน ตนเป็นเพื่อนสนิท แม้ว่าจิ่งหนิงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเธอบ่อยๆ แต่บางทีก็ไม่แน่ว่าจะมีเวลามากขนาดนั้นด้วย
แม้ว่าหัวเหยาคลอดลูกเสร็จแล้ว แต่คิดว่าน่าจะคงยังไม่กลับไปทำงานใหม่เร็วขนาดนี้ ในช่วงเวลานี้ เธอก็ต้องการมีเพื่อนเช่นกันบางครั้งบางคราวก็ได้มีคนพูดคุยด้วย
หลังจากจิ่งหนิงแนะนำทีละคนแล้ว หัวเหยาก็ทักทายกับพวกเขาทีละคนด้วย ยิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างเป็นมิตร
เพราะว่าคนค่อนข้างเยอะ จิ่งหนิงชอบความคึกคัก รู้สึกว่าทำอาหารอื่นก็ไม่ได้อะไรมาก ถือโอกาสก็ทำหม้อไฟเลยละกัน ทุกคนล้อมรอบกินหม้อไฟด้วยกัน
สิ่งที่บังเอิญคือ เพิ่งกินไปไม่นาน ตอนที่จิ่งหนิงคิดที่จะออกไปเข้าห้องน้ำ ก็พบเจอกับกวนเยว่หวั่นเลย
วันนี้กวนเยว่หวั่นสวมใส่ชุดเดรสสีราบเรียบตัวหนึ่ง ดูแล้วสะอาดสดชื่นสวยเรียบๆทั้งตัวเทียบกับความสุขุมเป็นผู้ใหญ่ก่อนหน้านั้น กลับเพิ่มกลิ่นอายนักศึกษาที่สวยสะอาดบริสุทธิ์เล็กน้อยออกมา
จิ่งหนิงประหลาดใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงจะเจอเธออยู่ที่นี่
เธอต่อกวนเยว่หวั่นไม่มีเจตนาร้ายอะไร ก็เลยโพล่งออกมาถามประโยคหนึ่งว่า “คุณก็กินข้าวที่นี่ด้วยหรือ?”
กวนเยว่หวั่นยิ้มอย่างเกรงใจ “เดิมทีใช่ล่ะ อยู่ดีๆคนที่นัดมีธุระมาไม่ได้แล้ว กำลังคิดที่จะออกไป”
จิ่งหนิงอึ้งชะงัก พินิจพิเคราะห์เธอหนึ่งที สังเกตถึงความเงียบเหงาเล็กน้อยที่อยู่นัยน์ตาของเธออย่างฉลาดหลักแหลม โพล่งออกจากปากโดยจิตใต้สำนึกว่า “งั้นจะอยู่ด้วยกันไหม? พวกเราที่นี่คนเยอะมาก คึกคักมากนะ”
คำพูดเพิ่งพูดจบ ก็แทบจะเสียใจภายหลังจนไม่ได้กัดลิ้นของตนเองทิ้งเท่านั้น