วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 252 คิดไปเอง
บทที่ 252 คิดไปเอง
ใบหน้าที่อ่อนโยนของกวนเสว่เฟยก็ได้มีสายตาที่เป็นห่วงขึ้น
“เรื่องในคราวนี้ ถึงแม้ว่าคุณมั่นใจมากว่าสำเร็จ แต่ยังไงซะไม่มีอะไรที่ไม่ล้มเหลวเลย ที่ฉันกังวลก็คือ ขอแค่เรื่องของคุณถูกคนอื่นจับได้เข้า อีกฝ่ายก็จะสวนกลับ บอกว่านี่เป็นเป็นการสมรู้ร่วมคิดของพวกคุณ
ตำแหน่งของตระกูลลู่อยู่สูง ถึงแม้ว่ามีอำนาจมาก แต่ก็อ่อนไหวมากเหมือนกัน คำพูดของผู้คนนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัว บางครั้งคำพูดที่ไม่ได้เข้าใจความจริงก็สามารถที่จะแผ่กระจายได้ง่าย ถ้าถูกคนหลอกใช้ สุดท้ายก็เหมือนกับไม้โยก ที่มากระทบตระกูลลู่ทั้งตระกูล”
จิ่งหนิงเงียบไปสักพัก
เธอได้มองต่ำลง คิดไปพัก ก็ได้พูดขึ้น “ดูแล้วคุณกวนเป็นห่วงตระกูลลู่มากๆ?”
กวนเสว่เฟยอึ้งไป
เริ่มที่จะตามความคิดของเธอไม่ทัน
เวลานั้น ถึงตั้งสติได้ ใบหน้าก็ได้มีสีหน้าที่ทำตัวไม่ถูก
“ฉันกับพี่เซินได้เติบโตมาด้วยกัน คุณย่าลู่กับคุณน้าลู่ก็ดีกับฉันมาก แน่นอนว่าฉันไม่อยากที่จะเห็นตระกูลลู่เกิดเรื่อง”
จิ่งหนิงพยักหน้า
เธอได้นิ่งคิดไปไม่กี่วิ ก็ได้ถามต่อ “ฉันได้ยินมาว่า เมื่อก่อนพวกคุณนั้นได้มีสัญญาแต่งงาน? เหมือนว่า……ได้คบหากันสักพักด้วย?”
พูดถึงเรื่องนี้ หน้าของกวนเสว่เฟยก็ได้แดงทันที
เดิมทีหน้าตาของเธอก็ไม่ได้น่าเกลียด แต่ก็แค่ไม่ได้เป็นคนที่สวยมากๆ ขนาดนั้น ที่ชนะก็เพราะว่าผิวขาวเหมือนหิมะ ตอนที่หน้าแดงก็ได้ก้มหน้าเล็กน้อย ก็ได้มีท่าทางที่ขี้อายเป็นของตน
กวนเสว่เฟยได้ตอบเบาๆ “เคยค่ะ”
นิ่งไปพัก ก็ได้รีบอธิบาย “แต่ว่าคุณอย่าเข้าใจผิด ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันกับพี่เซินได้รู้สึกดีกันจริง แต่ว่านั่นเป็นเรื่องสมัยเด็กแล้ว ฉันกับพี่เซินได้เลิกกันไปเมื่อห้าปีก่อนแล้ว ต่อไปก็ไม่มีทางที่จะมีอะไร”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“ค่ะ ฉันรู้”
กวนเสว่เฟยก็ได้เงียบไปอีกครั้ง
จิ่งหนิงมองไปบนฟ้า ก็รู้สึกว่าเวลาก็ไม่เช้าแล้ว ก็ได้พูดว่า “ฉันจะเข้าไปแล้วค่ะ คุณกวนจะตากลมต่อไหมคะ?”
กวนเสว่เฟยก็ได้ฝืนยิ้ม “ฉันอยู่ต่อสักพักดีกว่า”
“ค่ะ ลมดึกข้างทะเลค่อนข้างที่จะหนาวอยู่ คุณกวนต้องระวังสุขภาพด้วย ไม่ต้องตากนานไปนะคะ”
“ฉันรู้ค่ะ ขอบคุณจิ่งที่เป็นห่วงนะคะ”
จิ่งหนิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ไม่นาน เรื่องที่ทั้งสองเจอกันเป็นการส่วนตัว ก็ได้ถูกลู่จิ่งเซินรู้เข้า
ตอนนั้นจิ่งหนิงพึ่งอาบน้ำเสร็จ ตอนที่ออกจากห้องน้ำ ก็ได้เห็นชายหนุ่มที่มีสีหน้าที่จริงจังเดินมา
เธอได้งงเล็กน้อย “เป็นอะไรเหรอคะ?”
“กวนเสว่เฟยไปหาคุณ?”
จิ่งหนิงถึงได้รู้สึกตัว แล้วก็ขำออกมา “ใช่ค่ะ คุณทำไมตื่นเต้นแบบนี้?”
“เขาได้พูดอะไรกับคุณ”
จิ่งหนิงหมุนดวงตาเล็กน้อย
เห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นแบบนี้ของชายหนุ่ม อยู่ๆ ก็อยากที่จะแกล้งเขาขึ้นมา
เธอได้คิดไปสักพักแล้วพูด “เธอบอกว่าคุณเป็นแฟนเก่าของเขา แล้วก็เคยรักกันมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้ได้เลิกกันไปแล้ว แต่ก็ยังที่จะมีโอกาส”
ลู่จิ่งเซิน “……”
จิ่งหนิงก็ได้ถอนหายใจ
“เห้อ! คุณว่าฉันนับว่าได้แย่งของรักของคนอื่นมาหรือเปล่า?”
ลู่จิ่งเซินก็ได้หน้าเครียด “พูดบ้าๆ! ผมกับเขาไม่เคยที่จะคบกัน ผมไม่เคยที่จะตกลงที่จะคบกับเขา นี่เป็นเรื่องที่พวกผู้ใหญ่ในตระกูลคิดไปเองก็เท่านั้น”
จิ่งหนิงได้จึปากส่ายหน้า “ลู่จิ่งเซิน เป็นผู้ชายก็อย่าทำตัวไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ คนอื่นเขานั้นคิดว่าคุณเป็นแฟนของเขาแล้วนะคะ คุณกลับบอกว่าไม่เคยคบหากัน ทำไมฟังแล้วรู้สึกว่าเลวจัง?”
พูดไป เธอก็ได้ไปตบบ่าของเขาเบาๆอย่างใจกว้าง
“คุณวางใจเถอะ ฉันเป็นคนใจกว้างนะ เรื่องก็ได้ผ่านไปตั้งห้าปีแล้วฉันไม่โวยวายกับคุณหรอก เพราะงั้นพูดออกมาตรงๆ อะไรแบบนั้นไม่มีอะไรหรอก”
ลู่จิ่งเซินโมโหจนเจ็บกระเพาะ
“บอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องคุยกับผม นอกจากอันนี้แล้ว กวนเสว่เฟยยังพูดอะไรกับคุณอีก?”
จิ่งหนิงหน้าได้แข็ง
เธอได้หัวเราะอย่างทำตัวไม่ถูก “ยังจะมีอะไรอีกล่ะ เรื่องระหว่างผู้หญิง ก็มีแค่นั้น”
“คุณแน่ใจนะ?”
สีหน้าของจิ่งหนิงได้ไม่ปกติเล็กน้อย
พูดตามตรง เรื่องคราวนี้ ถึงแม้ว่าเธอได้วางแผนอย่างรอบคอบ แต่เธอไม่ได้เอาเรื่องของตระกูลลู่เขาไปคิดด้วย
ถึงแม้ว่าเธอได้อยู่กับลู่จิ่งเซินก็ถือว่านานแล้ว แต่เธอก็ได้รู้สึกที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องการแข่งขันพวกนั้นในเมืองหลวงอยู่ตลอด
เหมือนได้เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ ปกติลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้พูดอะไรพวกนี้ต่อหน้าเธอ เพราะงั้น เรื่องของตระกูลลู่ในเมืองหลวงนั้น เธอรับรู้ไม่ค่อยเยอะ
และเพราะแบบนี้ ในบางช่วง เธอไม่ได้คิดถึงขั้นเรื่องของผลกระทบของตระกูลลู่ที่จะโดยด้วย
ครั้งนี้ ไม่พูดไม่ได้ว่า เธอได้ละเลยไป
ในใจของจิ่งหนิงได้รู้สึกผิด ถ้าเกิดว่าลู่จิ่งเซินได้โดนไปด้วยเพราะเรื่องของเธอ เธอต้องเสียใจมากแน่ที่ทำแบบนี้
ยังไงซะ ถึงแม้ว่าการล้างแค้นมันสำคัญ แต่ว่าความปลอดภัยของคนรอบข้างสำคัญกว่า
เหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร ลู่จิ่งเซินก็ได้ถอนหายใจ
จับมือของเธอ ไว้ในมือของเขา ก็ได้พูดออกมา “อย่าไปฟังที่เขาพูด และก็อย่าไปคิดอะไรมาก ผมเป็นสามีของคุณ ถ้าเกิดว่าปัญญาแค่นี้ก็ยังไม่มี ยังมีหน้าอะไรมาปกป้องคุณ?”
จิ่งหนิงนิ่งไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมา
ใต้แสงไฟ ชายหนุ่มสีหน้านิ่งเรียบ สายตาจริงจังมากๆ
“ผมอนุญาตให้คุณทำตามความคิดของคุณ แต่ว่าข้อแม้นั้น คือห้ามปิดบังผม และไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ผมลำบากแล้วก็เปลี่ยนความคิด”
“แต่ว่าตระกูลลู่……”
“ตระกูลลู่จะไม่เป็นอะไร”
“กวนเสว่เฟยบอกว่ามีคนจะต่อกรกับตระกูลลู่? ถ้าเกิดว่าเรื่องนี้เกิดอะไรผิดขึ้น ตอนนั้นตระกูลลู่จะทำยังไง”
ลู่จิ่งเซินได้ขำออกมาอย่างเย็นชา
สายตาที่อ่อนโยนคู่นั้น ก็ได้มีความเย็นหลุดมาเล็กน้อย
"คุณดูถูกผู้ชายของคุณขนาดนี้เลยเหรอ? ขนาดเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ งั้นตระกูลลู่ก็ล้มไปตั้งนานแล้ว!”
พูดจบ เขาก็ได้ลูบหัวของเธอ
“วางใจเถอะ ทั้งหมดนี้ยังมีผมอยู่ ต้องไม่เป็นไร คุณก็แค่วางใจที่จะทำเรื่องที่คุณอยากจะทำก็พอ”
จิ่งหนิงมองเขา ผ่านไปอยู่นาน ก็ได้พยักหน้า
“ขอบคุณนะคะ ลู่จิ่งเซิน”
ชายหนุ่มได้ยินก็ได้ยิ้มเจ้าเล่ห์
“งั้นเปลี่ยนวิธีที่จะขอบคุณผมดีกว่าไหม?”
จิ่งหนิงมองสายตาของเขา ก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ก็ได้จ้องเขาอย่างดุๆ “ห้ามคิดเลยนะ! คุณย่ากับอานอานก็อยู่นะ ไม่แน่ว่าจะมาตอนไหนไม่รู้ ถ้าเกิดมาเจอ……”
ลู่จิ่งเซินก็ได้มีสีหน้าที่น่าสงสาร
“ที่รัก ผมก็แค่อยากจะจูบหน่อยก็แค่นั้น คุณคิดอะไรอยู่? หรือว่าคุณกำลังคิด……”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งไป
พึ่งจะรู้สึกตัว ว่าตัวเองนั้นถูกผู้ชายคนนี้แกล้งแล้ว
ก็ได้โมโหขึ้นมาทันที ก็ได้กำหมัดไปตีที่ตัวเขา
“ลู่จิ่งเซิน คนผีทะเล!”
……
คืนวันนั้น ตอนตีสาม
จิ่งเสี่ยวหย่าที่นอนอยู่ที่สถานีตำรวจก็ได้ถูกเสียงที่ดังขึ้นทำให้ตื่น
เธอลืมตา ในความมึนๆ นั้นก็ได้มีคนรีบเดินออกมา และประตูเดิมที่ได้ปิดไว้อย่างแน่นหนาก็ได้เปิดอยู่ ข้างเตียงขอตัวเองก็ได้มีโทรศัพท์แล้วก็กุญแจพวงหนึ่ง
เธอได้ตื่นเต้น สติก็ได้ตื่นแบบเต็มตัวเลยทันที
ข้างนอกได้เงียบเหงามากๆ เหมือนว่าคนทั้งหมดนั้นก็ได้ถูกไล่ไปจนหมด เธอได้ลังเลไปสักพัก ได้เอาโทรศัพท์กับกุญแจ แล้วเดินออกไป
แล้วพบว่าทางเดินข้างนอกไม่มีใครสักคน มีแค่ในห้องรปภได้มีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่แต่ก็นั่งง่วงนอนอยู่ตรงนั้น
เธอได้ตกใจจนเหงื่อเย็นได้ผุดขึ้น แต่ว่าก็แค่ลังเลไปสักพัก แล้วก็กำโทรศัพท์กับกุญแจแล้ววิ่งออกไป