วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 131 หนามยอกเอาหนามบ่ง
บทที่ 131 หนามยอกเอาหนามบ่ง
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว ตามสัญชาตญาณเธอต่อต้านรูปแบบการสนทนาที่แข็งกร้าวของเขาและท่าทางของทั้งสอง
“แต่ว่าปกติคุณก็ยุ่งมากนี่คะ! อีกอย่างฉันก็ยุ่งแค่ช่วงเดียวเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งตลอดสักหน่อย”
“นั่นก็ไม่ได้”
ในบางมุม ผู้ชายคนนี้ก็เอาแต่ใจตัวเองเหลือเกิน
เขากล่าวเสียงเข้ม : “เพราะว่าผมเป็นผู้ชาย มีหน้าที่รับผิดชอบคนในครอบครัว นั่นคือสิ่งที่ผมควรทำ แต่คุณไม่ใช่ คุณมีหน้าที่แค่เป็น คุณนายลู่ ที่ดี ถ้าคุณชอบอะไร ก็สามารถทำมันเป็นงานอดิเรกหรืออาชีพได้ แต่ไม่ใช่ทุ่มเทหัวปักหัวปำแบบนั้น”
เขาพูดแบบนี้ จิ่งหนิงไม่เห็นด้วย
“คุณหมายความว่า งานของคุณสำคัญมากสินะ ส่วนงานของฉันก็แค่ทำไปเล่นๆ! ลู่จิ่งเซิน คุณสำคัญตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า!
ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ฉันไม่ใช่นกน้อยในกรงทองของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องเอามาตรฐานของคุณมาเทียบกับฉัน
ใช่สิ บางทีงานของฉันอาจไม่สำคัญในสายตาของคุณก็ได้ แต่ว่ามันสำคัญกับฉันมากเลยคะ ฉันไม่อยากเป็นแค่เครื่องประดับของใคร และจะไม่ยอมเลิกอาชีพของฉันเด็ดขาด!
ผู้หญิงยิ่งพูดยิ่งโมโห จนถึงที่สุดแล้วเธอจึงพูดประโยคนั้นออกมา
พูดจบ เธอก็สะบัดสะบิ้ง ทำหน้าบึ้ง และหันหน้าหนี
ลู่จิ่งเซินสายตามืดมน
“ผมบอกให้คุณเลิกทำอาชีพของคุณเมื่อไหร่ครับ?”
“ก็เมื่อกี้คุณบอกนี่คะ? ว่าให้เป็น คุณนายลู่ ที่ดี ถ้ามีเวลาว่าง! ค่อยพัฒนาอาชีพของตัวเอง”
เธอเน้นย้ำคำว่า “ถ้ามีเวลาว่าง” หนักแน่น ราวกับจะเตือนเขา ว่าคำพูดของเขาเมื่อกี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยทำร้ายจิตใจของคนอื่น
ลู่จิ่งเซินมองดูผู้หญิงที่ทำท่าเหมือนแมวน้อยขนพองในอ้อมกอดเขา แล้วยิ้มออกมาทันที
จิ่งหนิงกำลังโกรธหัวเสีย เห็นเขายังมีหน้ามายิ้ม ยิ่งเหมือนเติมเชื้อเพลิงใส่ โมโหจนแทบระเบิด
เธอออกแรงดีดดิ้น
“คุณปล่อยฉันนะ! ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว ฉันจะกลับไปนอนดีกว่า!”
พูดไป เธอก็ออกแรงดิ้นจากมือเขา
ส่วนมือของชายคนนั้นก็จับเธอไว้แน่นราวกับเหล็ก ต่อให้เธอออกแรงมากแค่ไหนก็หนีไม่พ้น
จิ่งหนิงแทบอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เธอทั้งรู้สึกโกรธและน้อยใจ ในที่สุดข้อมือก็อ่อนแรง เธอจึงเบือนหน้าหนี
“ลู่จิ่งเซิน! ขี้รังแกคนอื่น!”
ลู่จิ่งเซินในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา
“เป็นเด็กเป็นเล็ก โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ผมพูดกับคุณไม่กี่ประโยค ก็น้อยใจเสียแล้ว? หรือ?”
เขาปล่อยมือจากเอวเธอ เอามือข้างหนึ่งหยิกคางเธอ บังคับให้เธอหันหน้ามามองหน้า
จิ่งหนิงขัดขืนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามคางของเธอถูกบีบไว้จนเจ็บ เพราะถูกบังคับให้หันหน้ามามองเขาอยู่
เห็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆใบหน้าหงิกงอ ดวงตาทั้งคู่ของเธอตอนนี้มีสีแดงระเรื่อ ในแววตายังมีหมอกจางๆซ่อนอยู่ราวกับว่าน้ำตากำลังจะไหล ถ้าเขาพูดอะไรแรงๆอีก เธอก็จะร้องไห้ออกมาทันที
ลู่จิ่งเซินตกอยู่ในความงุนงง
มองดูดวงตาทั้งคู่ที่แดงระเรื่อ ราวกับว่ามองผ่านลึกเข้าไปในนั้น เด็กน้อยที่ดื้อรั้นในยามค่ำคืนเมื่อหลายปีก่อน เดินย่ำน้ำครำไปเรื่อยๆทีละก้าว ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไรก็ไม่ยอมหันกลับมามอง
หัวใจถูกสัมผัสอย่างเงียบงัน
เขาเผยริมฝีปาก ปล่อยมือจากคางของเธอ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“ผมไม่ได้ตำหนิที่คุณมัวแต่ทำงานไม่กลับบ้านสองสามวัน แต่พูดกับคุณแค่สองประโยค คุณก็ร้องไห้แล้ว มันน่าน้อยใจขนาดนั้นเลยหรือครับ?”
เสียงของเขาอ่อนลง และทำอะไรไม่ถูก
ที่จริงจิ่งหนิงไม่ได้อยากร้องไห้หรอก
เธอไม่ใช่คนขี้แย แต่ว่ามันคงเป็นเพราะหลายวันนี้ทำงานหนักมากเกินไป ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มที พอกลับถึงบ้าน ได้เจอสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย จึงรู้สึกผ่อนคลายกายและใจลงทันที
พอถูกชายคนนี้ตำหนิเข้าหน่อย ความอึดอัดและเคร่งเครียดที่สะสมมาหลายวันจึงพรั่งพรูออกมาในทันที
ในไม่ช้าเธอก็ร้องไห้อย่างหนัก ไม่ส่งเสียงใดๆ แต่น้ำตาเม็ดโตนั้นราวกับสร้อยไข่มุกขาด ร่วงไหลลงมาไม่ขาดสาย
ลู่จิ่งเซินเห็นเธอเป็นแบบนี้ รู้สึกน่าขันมาก
นอกจากนั้นแล้ว เขาทำตัวไม่ถูก
เขาได้แต่หยิบกระดาษทิชชูที่อยู่ข้างๆ เช็ดน้ำตาให้เธอตลอด
ในใจกลับรู้สึกชอบท่าทีที่เธอดื้อรั้นและน้อยใจแบบนี้เหลือเกิน
เธอไม่รู้ตัวเลยว่า ท่าทางของเธอในตอนนี้น่ารักมากแค่ไหน
หากเธอไร้ซึ่งความเฉยชาและเย่อหยิ่งแบบในวันปกติทั่วไป และไม่ระวังตัวเหมือนกับวันอื่นๆ เธอปล่อยวางเกราะป้องกันทั้งหมดลง เธอก็เหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่เผยท่าทีอันเปราะบางออกมาต่อหน้าเขาอย่างหมดเปลือก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จิ่งหนิงร้องไห้จนพอใจแล้ว เธอเหนื่อยแล้ว
คว้ามือของเขามาเอาแขนเสื้อของเขาเช็ดหน้าตัวเอง เช็ดน้ำมูกน้ำตาที่หลงเหลือบนใบหน้าของเธอด้วยแขนเสื้อของเขาอย่างไม่สนใจไยดี
ลู่จิ่งเซินนั่งตัวแข็งทื่อ
จิ่งหนิงเลิกคิ้วมองเขา หัวเราะอย่างสะใจ
“ประธานลู่ จำไว้ครั้งหน้าอย่าตำหนิผู้หญิง ดูสิ นี่คือผลลัพธ์ที่คุณทำกับเธอ”
เธอพูดจบ ก็คำรามเสียงหนักแน่น ราวกับนกยูงตัวน้อยที่มีชัยในการต่อสู้
ลู่จิ่งหนิงเป็นใบ้ทันที
มองแขนเสื้อราคาแพงตัวนั้นที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อจิ่งหนิง”แก้แค้น”เสร็จแล้ว เตรียมจะลุกขึ้นจากไป
พอร่างกายเพิ่งจะลุกขึ้นได้ ข้อมือก็ถูกจับไว้แน่น ทั้งร่างถูกดึงลงมาอีก
“เฮ้! คุณทำอะไรน่ะ?”
ลู่จิ่งเซินเอาเธอเข้ามากอดไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาคมเข้มราวกับหยกคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เธอ น้ำเสียงข่มขู่กล่าวว่า : “รังแกกันแล้ว คิดจะหนีงั้นหรือ ห๊ะ?”
จิ่งหนิงถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาเฉียบคม ในใจรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อย
แต่ยังทำเป็นแข็งขืนกล่าวว่า : “ใครใช้ให้คุณรังแกฉันก่อนล่ะ? ฉันก็แค่ตอบสนองไปตามมารยาทเท่านั้นแหละ”
ชายคนนั้นยิ้มให้เย็นชา
“หนามยอกเอาหนามบ่ง? รู้จักยอกย้อนดีนี่ เห็นทีผมต้องทำบ้างแล้วล่ะ”
พูดจบ ก็ก้มหน้าลงจูบเธอที่ริมฝีปาก
จิ่งหนิงตกใจ เบิกตาโพลง
จูบของเขาช่างร้อนแรง เธอดิ้นรนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ดิ้นไม่หลุด ตรงกันข้ามปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามใช้โอกาสนั้นพยายามดึงริมฝีปากและฟันของเธอให้เปิดออก ลุกล้ำเข้าไปในช่องปากของเธอ
ลมหายใจที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ของเขาพุ่งเข้าใส่หน้า ด้วยความปรารถนาที่แรงกล้าที่ต้องการเอาชนะและครอบงำ
จิ่งหนิ่งถูกเขาจูบจนรู้สึกหายใจไม่ออก จนเมื่อเธอทนไม่ไหวคิดจะผลักเขาออกไป ชายคนนั้นก็ผละถอยออกไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอตั้งตัวได้ ก่อนที่เธอจะพูดอะไร เธอก็รีบชักริมฝีปากและลิ้นของเธอคืนมา
ไม่รู้ว่าจูบครั้งนี้ผ่านไปนานแค่ไหน จิ่งหนิงรู้สึกสับสน สมองเหมือนถูกเทลงไปในก้อนแป้ง และสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง
จนกระทั่งมีเสียงก๊อกแก๊กเบาๆที่ด้านนอกประตู
จิ่งหนิงตกใจ เงยหน้าขึ้นเห็นป้าหลิวยืนอยู่ที่ประตูพร้อมอาหารมื้อเย็นสองที่ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขิน จะเข้าก็ไม่เข้า จะออกก็ไม่ออก
“คุณ คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ขอ ขอโทษคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะพวกคุณคะ ฉัน ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เธอพูดไปพลาง เก้ๆกังๆจะเดินออกไป
ใบหน้าของลู่จิ่งเซินดำราวกับก้นหม้อ และตะโกนเสียงดังว่า : “กลับมานี่!”