พูดแล้ว ฉีฉีก็กดปุ่มเริ่ม เสียงเพลงค่อยๆ บรรเลงรินไหลไปทั่วทุกมุมห้อง
เสียงเพลงที่ดังขึ้นมา ทำให้ฉีฉีนึกถึงคืนที่ทำให้เธอประทับใจไม่รู้ลืม
ถ้าหากตอนนั้นเธอตกลงตามคำขอของมู่ยู่วฉี อาจจะหลีกเลี่ยงทุกอย่างในวันนี้ได้ใช่หรือไม่?”
ถ้าหากได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ฉีฉีจะไม่เลือกทางเลือกที่ฝืนใจตัวเองอีก เธอต้องกล้าหาญ กล้าทำตามหัวใจตนเอง ไม่ต้องคอยคำนึกถึงสายตาของคนอื่น
แต่น่าเสียดาย เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่อาจเริ่มต้นใหม่ได้ ความผิดพลาดทั้งหมดทุกอย่างสายเกินไปแล้ว
คิดถึงเรื่องราวต่างๆระหว่างเธอกับมู่ยู่วฉี ฉีฉีหลับตาลงอย่างหดหู่
ฉีฉีกำลังร้องไห้อยู่ด้านในห้อง รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องจ้องมองดูเธออยู่อย่างนั้น
รุ่นพี่ไม่ชอบเห็นฉีฉีร้องไห้ เขาจะทำทุกวิถีทางให้เธอมีความสุข
น่าเสียดายที่เรื่องไม่ได้เป็นไปอย่างใจหวัง ฉีฉีในขณะนี้ไม่มีความสุขเลยสักนิด
เช่นนั้น ที่ตนเองทำมันไม่ดีแล้วงั้นเหรอ?
“ไม่ปล่อยเวลาได้ฉีฉีได้หายใจคอยแอบดูไม่ห่าง นี่คือสิ่งที่นายเรียกว่าดีแล้วงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยาะเย้ยดังมาจากด้านหลัง ทำให้สายตาของรุ่นพี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่สนใจตนเอง เย่ชูวเสวียก็พูดขึ้น “เฮ้ ฉันกำลังพูดกับนายอยู่นะ ทำไมนายไม่ตอบฉัน!”
“กับเธอไม่มีอะไรจะคุย”
“ฮ่าๆ เหมือนฉันเต็มใจพูดกับนายนักหรือไง ฉันก็แค่อยากทำให้นายเห็น ทุกคนเป็นกุมารทองและกุมารีหยก ที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้จุติบนสรวงสวรรค์ นายคิดว่านายเป็นขุนพลวางแผนการรบ แต่เป็นได้แค่ทหารที่ตายในสนาม ดังนั้นอย่าเสียเวลาอีกเลย”
รุ่นพี่หันกลับมามองเย่ชูวเสวียด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนและอบอุ่น เปลี่ยนเป็นเย็นชา
“เมื่อเทียบกับพวกคุณแล้ว ผมคงไม่ใช่ขุนพลจริงๆ ที่ไม่รู้ว่า รอให้ถึงตอนที่ฉีฉีรู้ความจริง และยังจะเป็นเพื่อนกับพวกคุณอยู่ไหม”
สายตาที่รู้แจ้งทุกอย่างของรุ่นพี่ ทำให้เย่ชูวเสวียต้องหลีกเลี่ยงการจ้องมองโดยไม่รู้ตัว
“ฉันไม่รู้ว่านายพูดถึงเรื่องอะไร”
เย่ชูวเสวียระงับความโกรธลง แต่สายตาของรุ่นพี่เฉียบแหลม พูดขึ้นอย่างไร้ความปราณี “เรื่องบางเรื่อง แค่ให้ถึงเวลาสิ้นสุดลงก็พอ มิฉะนั้นเรื่องคงไม่ได้เป็นอย่างที่ใจหวัง”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังลองดี ดวงตาของเย่ชูวเสวียก็ลุกโชนด้วยไฟโกรธ
โอหัง อวดดี เธออยากจะตีหัวผู้ชายคนให้แหลกคามือจริงๆ!
แววตาของรุ่นพี่นิ่งสงบ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “ทำไม อยากตีผมเหรอ? ผมเดาว่าเพื่อนของคุณคงจะเคยบอกคุณแล้ว อย่าใช้ความรุนแรงกับผม ไม่งั้นก็เป็นการช่วยผมดีๆนี่เอง”
เย่ชูวเสวียกัดฟันแน่น “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกคุกคาม ดี ดีมาก นายกระตุ้นความสนใจของฉันได้สำเร็จ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน นายจะทำอะไรได้!”
พูดจบ เย่ชูวเสวียก็หันหลังแล้วเดินจากไป
หนานกงเจาเพิ่งจอดรถเสร็จ กำลังจะเข้าไปหาเย่ชูวเสวียก็พบเธอเข้าพอดี
“ชูว…”
“เอาข้อมูลที่ไปสืบผู้ชายคนที่อยู่กับฉีฉีมาให้ฉัน ยิ่งละเอียดยิ่งดี!”
ก่อนที่หนานกงเจาจะพูดอะไร เย่ชูวเสวียก็สั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
การแสดงออกของเย่ชูวเสวียดูน่ากลัว หนานกงเจาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณจะทำอะไ?”
“ในเมื่อกล้ายั่วโมโหฉัน งั้นฉันก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย!”
“แล้วที่คุณให้ทุกคนสืบมาจะเอาข้อมูลอะไรบ้าง?”
“ฉันไม่เชื่อว่านายคนนี้จะไม่มีอะไรด่างพร้อยเลย แค่จับพิรุธได้ ก็เปิดเผยธาตุแท้ของเขาออกมาได้แล้ว!”
เย่ชูวเสวียมั่นใจ แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้เย่ชูวเสวียต้องผิดหวัง
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยมีเรื่องไม่ดีเลยจริงๆ เป็นนักเรียนดีเด่นมาโดยตลอด ได้รับรางวัลนับไม่ถ้วน
คนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ง่ายๆก็คือเป็นเด็กจากบ้านคนอื่น คิดอยากจะหาจุดด่างพร้อยช่างยากจริงๆ
เย่ชูวเสวียกวาดสายตาดูข้อมูลในมือ
หนานกงเจาเอื้อมมือไปหยิบเอกสาร แล้วเอ่ยว่า “คุณอย่าดูเลย ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบ ไม่มีจุดด่างพร้อย”
เย่ชูวเสวียพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ไม่มีจุดด่างพร้อยนั้นแหละปัญหาใหญ่ที่สุด! ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป เรียกได้ว่าขั้นยอดเยี่ยมเลยล่ะ ต้องซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้แน่”
หนานกงเจาส่ายศีรษะ “คุณน่ะ คนอื่นทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด เรื่องดีๆ ก็กลายเป็นว่าผิดปกติ”
เย่ชูวเสวียไม่ชอบฟังคำพูดพวกนี้ เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปที่หนานกงเจา “นายเป็นใครมาจากไหน มีสิทธิ์อะไรมากล่าวโทษฉัน?”
เมื่อเห็นว่าเย่ชูวเสวียชี้นิ้วมาที่ตัวเอง หนานกงเจาก็รีบยกมือขึ้น แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ผมไม่พูดแล้ว โอเคไหม”
เย่ชูวเสวียเม้มริมฝีปากสีแดงสดของเธอ แล้วเอื้อมไปหยิบเอกสารกลับมา
แต่ระหว่างที่กำลังยื้อแย่ง มีเอกสารหน้าหนึ่งตกลงพื้น เย่ชูวเสวียก้มลงไปหยิบขึ้นมา จากนั้นสายตาก็ถูกดึงดูดด้วยเนื้อหาบนนั้น
“นี่คืออะไร?”
หนานกงเจาโน้มตัวเข้าไปดู “ประสบการณ์การเรียนสานต่า*” (*เป็นศิลปะการป้องกันตัวและกีฬามวยใช้เท้าอย่างหนึ่งของจีน)
แววตาของเย่ชูวเสวียฉายแววสนใจขึ้นมาทันที “เรียนสานต่ามาสามปี จะถูกตีจนยับเยินขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หนานกงเจายิ้มอย่างจนปัญญา “ขอร้องล่ะ เขาเรียนตั้งแต่อยู่ประถม หลังจากโตมาก็คงทิ้งไปหมดแล้ว มันไม่ปกติเหรอ?”
“นายบ้านั้น เรียนแยะขนาดนี้คงไม่ทิ้งไปเฉยๆหรอก” พูดแล้ว เย่ชูวเสวียก็หยิบเอารูปถ่ายสองสามรูปออกมา “เรียนไวโอลินมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นงานอดิเรกไปแล้ว ตอนประถมเคยเรียนประดิษฐ์ตัวอักษร ตอนนี้ก็ได้เป็นสมาชิกของสมาคมการประดิษฐ์ตัวอักษร ตอนอายุสิบขวบเขาเข้าร่วมค่ายฤดูร้อนที่จัดขึ้นโดยสถานทูตสหรัฐฯ ได้ใกล้ชิดกับการใช้กล้องโทรทรรน์ ตั้งแต่นั้นมาก็เรียกคืนไม่ได้ รักษาไม่หาย เขาศึกษาดวงดาวต่อกับเพื่อนอีกสองสามคน และได้รับการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว นายดูสิ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการศึกษาเล็กๆน้อยๆ แต่มันไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เรียนหลังจากที่โตขึ้นเลยงั้นเหรอ”
หนานกงเจาเลิกคิ้วถาม “แล้วคุณหมายความถึงอะไร?”
เย่ชูวเสวียหรี่ตาลง กล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ “สืบต่อไป ฉันเดาว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นสมาชิกในสโมสรสานต่าแน่ๆ”
“ครับ” หนานกงเจาตอบ แต่ชั่วครู่ เขามองไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความสับสน “แต่ ถึงแม้เขาจะเป็นสมาชิกของกลุ่มสานต่าก็ตาม มันพิสูจน์อะไรได้?”
“นั้นก็หมายความว่า เรื่องที่เขาถูกโจมตีก็เป็นเรื่องแต่งขึ้น”
ดูเหมือนว่าคำพูดนี้จะสมเหตุสมผล แต่ก็ยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่
หนานกงเจาวางนิ้วมือไว้ตรงแก้ม แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเขามีพื้นฐานการต่อสู้ ก็จงใจพ่ายแพ้แต่ฝ่ายตรงข้ามได้ ใช้ความเจ็บปวดเพื่อเอาชนะความเห็นอกเห็นใจจากฉีฉี เขาเอะอะเรื่องนี้ได้ เราพูดอะไรไม่ได้”
“เขาวางแผนทำร้ายตัวเอง เราไม่ได้ทำ?”
ทันใดนั้นดวงตาของเย่ชูวเสวียก็เป็นประกายขึ้นมาจนน่าตกใจ
เมื่อเห็นแววตานั้นของเธอ หนานกงเจารับรู้ได้ทันทีว่ามีคนต้องเดือดร้อนแน่นอน
……
ฉีฉีลุกขึ้นขยับร่างกายที่แข็งทื่อ มองไปยังท้องฟ้าข้างนอก ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมา
เธอหิวแล้ว
ก้มมองไปที่มู่ยู่วฉี ฉีฉีพูดขึ้นเบาๆ “ฉันกำลังจะไปกินอะไรอร่อยๆ นายหมูขี้เกียจ ถ้านายอยากไปกับฉันก็ลุกขึ้นมาเร็ว”
หลักจากที่รออยู่สักครู่ มู่ยู่วฉียังนิ่งสงบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ฉีฉีถอนหายใจ “ดูเหมือนว่านายยังอยากนอนอีกสักหน่อยสินะ เจ้าหมูขี้เกียจ”
ฉีฉีหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้อง พร้อมกับเสื้อคลุมด้วยสีหน้าหดหู่
เข้าลิฟท์และลงไปยังล็อบบี้ แวบแรกที่ฉีฉีมองเห็นรุ่นพี่ เธอก็อดตกใจเสียไม่ได้
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนและนะ ทำไมรุ่นพี่ยังอยู่ที่นี่ล่ะ?
ฉีฉีสาวเท้าก้าวเข้าไปหารุ่นพี่อย่างรวดเร็ว “ฉันให้คุณกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังอยู่ที่นี่?”
“ฉันกลัวว่าตอนที่เธอหิวจะไม่มีใครกินข้าวเป็นเพื่อน เธอจะเบื่อเอาน่ะ”
ความรักของรุ่นพี่ เกินที่ใครคนหนึ่งจะรับไหวจริงๆ
ฉีฉีก้มหน้าลง ไม่รู้จะพูดอะไร
รุ่นพี่ไม่สนใจกับท่าทีของเธอ เขาลูบผมฉีฉี แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หิวแล้ว เดี๋ยวพาไปกินของอร่อยๆ”
ฉีฉีหิวมาก แต่เมื่อมองจากภายนอกสีหน้ากลับดูกลัดกลุ้มใจ
“ตอนนี้ร้านอาหารปิดหมดแล้ว ไม่ว่าซาลาเปา เสียบไม้ทอด ขนมจีบ ก็ไม่มีแล้ว”
“ใครบอก ฉันไปดูมาแล้ว แถวๆนี้มีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ เปิดตลอดยี่สิบชั่วโมง ซาลาเปาที่เธอเพิ่งพูดถึง เสียบไม้ทอด ขนมจีบ ก็มีหมดนั้นแหละ”
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยถาม “จริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ ไปไหม?”
ฉีฉีพยักหน้า “ไปสิ กินอิ่มแล้ว จะได้ดูแลมู่ยู่วฉีได้ดีขึ้น”
“งั้นก็ไปสิป่ะ”
ตามที่รุ่นพี่พูดไว้ ร้านอาหารนั้นเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ฉีฉีเลือกรายการโปรด นั่งลงที่นั่ง แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกกินไม่ลงแล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉีฉีคงสังหารให้สิ้น แต่ตอนนี้ แม้ใช้อุดฟันยังไม่พอ
ตอนนี้เธอรู้สึกหิว แต่กลับกินไม่ลง
รุ่นพี่ดันเสียบไม้ทอดไปข้างหน้า “กินอีกสิ”
ฉีฉีกลับส่ายหัว “ฉันอิ่มแล้ว”
“กินไปแค่นิดเดียวเอง จะอิ่มได้ยังไง? หรือว่าของพวกนี้ไม่ถูกปากเหรอ? งั้นเดี๋ยวฉันพาเธอไปที่อื่น” อาหารที่นี่อร่อยมาก แต่ฉันกินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
พูดแล้วฉีฉีก็ลูบท้องตนเอง แสดงให้เห็นว่าเธออิ่มแล้วจริงๆ
รุ่นพี่มองไปที่ใบหน้าของฉีฉี พูดขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ “ฉีฉีเธอซูบผอมลงมากเลยนะ”
“งั้นก็ไม่ถูกต้องนะสิ ฉันลดน้ำหนักมานานแล้วนะ” ฉีฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ “รุ่นพี่รีบกินเร็วเข้า ให้คุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน ก็ลำลากคุณมากพอแล้ว”
“ถ้ารู้สึกว่าลำบากฉัน ก็กินน่องไก่แทนฉันน่องหนึ่ง ให้ฉันมีความสุข”
รุ่นพี่ยกน่องไก่มาวางไว้ตรงหน้าฉีฉี สั่งให้เธอรับมันไป
ไม่มีทางเลือก ฉีฉีจำเป็นต้องฝืนกินน่องไก่ต่อไป
เมื่อก่อนน่องไก่เคยเป็นอาหารโปรดของฉีฉี ตอนนี้กลับกลายเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำให้สำเร็จ
เมื่อรับประทานอาหารมื้อดึกเสร็จ ฉีฉีและรุ่นพี่ก็เตรียมตัวกลับ
เมื่อเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฉีฉีเห็นว่าทางหน้าข้างมืดไปหมด
แปลกจัง ทำไมไฟถึงเสียได้ เดินผ่านทางนี้ทุกวันก็ไม่ได้มืดขนาดนี้
ฉีฉีที่กำลังสงสัย ข้างหลังก็มีเสียงเท้าเดินกันอลหม่านดังขึ้น
นักเลงสองสามคนเดินผ่านฉีฉี จากแสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมา เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักของฉีฉี
หนึ่งในนั้นก็หยุดฝีเท้าลง แล้วแสยะยิ้มให้เธอ “สาวน้อย ไปเดินเล่นกับพี่ไหมจ๊ะ”
พูดแล้ว นักเลงคนนั้นก็คว้าข้อมือของฉีฉีไว้
รุ่นพี่ที่คอยปกป้องฉีฉีอยู่ด้านหลัง ขมวดคิ้วทันที “ไปให้พ้น!”
พวกนักเลงมองเหยียดหยามรุ่นพี่ แล้วพูดขึ้นว่า “คนที่ควรไปคือแก ถ้าดูสถานณ์ออกแล้วก็ไสหัวไปให้ซะ!”
ฝั่งตรงข้ามมีพรรคพวกจำนวนมาก และมีแต่พวกผีห่าซาตาน ฉีฉีจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา “รุ่นพี่คะ เราแจ้งตำรวจกันเถอะ” พวกแกก็ม่องเท่งไปก่อนแล้ว!”
อีกฝ่ายไม่เกรงใจอีกต่อไป เข้าไปกระชากฉีฉีอย่างแรง
ฉีฉีกัดแขนอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย
“โอ้ย นังนี่!”
อีกฝ่ายเจ็บจนเหวี่ยงฉีฉีออกไปแล้วกำลังจะตบหน้าเธอ
เป็นช่วงสำคัญ รุ่นพี่เข้าปกป้องรับแรงตบจากอีกฝ่ายแทน
“อยากเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามงั้นเหรอ? งั้นฉันจะทำให้แกได้สมใจ!”
สิ้นเสียง หมัดก็รัวลงมาราวกับเม็ดฝน กระหน่ำใส่รุ่นพี่ไม่ยั้ง
รุ่นพี่ปกป้องฉีฉี เธอจึงไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย
แต่ตัวเขาเองกลับมีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูก
“พวกแกหยุดนะ หยุด!”
ฉีฉีกรีดร้องอย่างหนัก แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เธอร้องได้จนเสียงแหบแห้งอย่างสิ้นหวังอยู่ภายในใจ
“ลูกพี่ มีคนมา!”
มีไฟส่องเข้ามาจากปากทาง พวกนักเลงเตะไปที่ศีรษะและขาของรุ่นพี่ จากนั้นพากันวิ่งหนีไป
ทันทีที่พวกเขาวิ่งหนีไป อ้อมกอดของรุ่นพี่ก็คลายออก ร่างกายตกลงไปข้างๆอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉีฉีเอี้ยวตัวไปรับรุ่นพี่ไว้ทันที น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามขึ้น “รุ่นพี่ คุณเป็นยังไงบ้าง?”
แม้ทั้งตัวจะกระเซอะกระเซิง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยเลือด รุ่นพี่ก็ยังยิ้ม
เมื่อเห็นฉีฉีร้องไห้ รุ่นพี่ก็ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ แล้วพูดปลอบใจ “ไม่ต้องกังวล แค่บาดแผลตามผิวหนังเอง ไม่นานก็หาย”
“แต่คุณเลือดออก ไป ฉันจะพาคุณไปหาหมอ”
ฉีฉีวางแขนรุ่นพี่ไว้บนไหล่ของตัวเอง พยายามพยุงเขาไปที่โรงพยาบาล ฉีฉีไม่รู้ว่าการเดินทางจะไกลขนาดนี้ เวลานี้เธอเกลียดตัวเองที่เอาแต่ตะกละจริงๆ มาหิวอร่อยก็ไม่รู้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับรุ่นพี่ เธอจะทำอย่างไร?
ฉีฉีร้องไห้จนสายตาพร่ามัว รุ่นพี่จ้องมองแผ่นหลังของเธอ แล้วเอ่ยขึ้น “ฉีฉีเธออย่าร้องไห้ ฉันไม่ได้เจ็บอะไรเลย”
เลือดออกเยอะขนาดนั้น จะไม่เจ็บได้อย่างไร? คำปลอบใจคำนี้ฉีฉีไม่เชื่อเลยสักนิด
เดินออกมาจากตรอกเล็กๆ มีคนเห็นว่ารุ่นพี่ได้รับบาดเจ็บ จึงรีบเข้ามาช่วยประคองไปที่โรงพยาบาล
คุณหมอช่วยรักษาบาดแผลให้รุ่นพี่ ฉีฉีก็เฝ้าดูอยู่ข้างๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
คุณหมอที่เห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม แฟนคุณคงรักคุณมาก เห็นเธอร้องไห้ราวกับว่าตนเองเป็นคนเจ็บ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รุ่นพี่ก็เงยหน้าขึ้นมองฉีฉี “ฉีฉีฉันเป็นคนเจ็บนะ เธอจะร้องไห้ทำไมขนาดนั้น?”
ฉีฉีสะอื้นพลางพูดขึ้นว่า “รุ่นพี่ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน”
“คนที่รุมฉันเป็นพวกอันธพาลมันเกี่ยวอะไรกับเธอ? เธอไม่ต้องโทษตัวเองหรอก ร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว”
ฉีฉีก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ “ฉันคิดว่าฉันเป็นตัวหายนะ ทำให้พวกคุณลำบาก รุ่นพี่หลังจากที่คุณหายดีแล้วก็กลับไปเถอะนะ อยู่ให้ห่างจากฉัน เพื่อไม่ให้ฉันทำร้ายคุณอีก”
รุ่นพี่อยากจะตบหัวฉีฉีให้ได้สติสักที แต่ทันทีที่ขยับแขนก็มีอาการเจ็บแปลบขึ้นมา
เพื่อไม่ให้ฉีฉีสังเกตเห็น รุ่นพี่จึงอดทนต่อความเจ็บปวด และพูดขึ้นอย่างเมินเฉย “เธอนี่นะ ชอบคิดอะไรบ้าๆ”
“ใช่ครับ แม่หนู อาการบาดเจ็บของแฟนหนูไม่นานก็หายดีแล้ว ยังหนุ่มยังแน่นเพื่อสาวเจ็บแค่นี้จะไประคายอะไร”
คุณหมอที่กำลังทำแผลให้รุ่นพี่ พูดขึ้นอย่างหลอกล้อ
ฉีฉีที่เอาแต่โทษตัวเองมาตั้งแรก เมื่อได้ยินที่คุณหมอพูดก็หน้าแดง “เขาไม่ใช่แฟนฉันค่ะ”
“ไม่ใช่แฟนแต่ก็ปกป้องคุณอย่างสุดชีวิต ทำแผลเรียบร้อยแล้ว กลับไปก็อย่าให้โดนน้ำ สามวันค่อยกลับมาเปลี่ยนผ้าพันแผล”
“ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
ฉีฉีมองออกไปยังท้องฟ้ามืดดำด้านนอก “รุ่นพี่ทำไมไม่พักรักษาตัวอยู่ที่นี่สักคืน รอให้สว่างก่อนค่อยกลับ”
“ฉันพักผ่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่ไม่เป็นไรหรอก แต่จะให้เด็กผู้หญิงเดินไปตามถนนมืดๆคนเดียว ฉันเป็นห่วง”
“งั้นคืนนี้ฉันอยู่ที่นี่ ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
มองไปยังนั่งเล่นในห้องผู้ป่วยของมู่ยู่วฉี “งั้นก็ได้ เธอไปนอนเตียง ฉันจะนอนบนโซฟา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉีฉีก็กล่าวอย่างรีบร้อน “ล้อเล่นรึเปล่า คุณเป็นคนเจ็บ ให้ทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ เร็วเข้า คุณไปนอนเตียง ฉันจะนอนที่โซฟา”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ ถ้าคุณไม่เชื่อฟัง ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้”
รุ่นพี่ยังไม่ยอมง่ายๆ จึงพูดขึ้นว่า “เอางั้นก็ได้ แต่ถ้าเธอเหนื่อยก็บอกฉัน เราจะได้แลกที่กัน”
“ค่ะๆ อย่าเพิ่งคิดอะไรพวกนี้เลย รีบไปนอนเถอะ”
ฉีฉีกดรุ่นพี่ลงบนเตียง และคลุมเขาไว้ด้วยผ้าห่ม ดูแลให้เขาพักผ่อนอย่างเต็มที่
รุ่นพี่มองไปยังดวงตาที่บวมแดงของฉีฉี “เมื่อมีเธอคอยดูแล ทั้งมีความสุขทั้งมีความทุกข์จริงๆ”
“มีความทุกข์?”
“ฉันทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นเธอลำบากเพื่อฉัน ฉันควรเป็นคนดูแลเธอ”
ฉีฉียิ้ม “คุณก็ดูแลฉันมาตลอด ตอนนี้เป็นฉันที่ต้องดูแลคุณบ้างแล้ว และตอนนี้ก็หลับตา นอนซะนะเด็กดี”
“รับทราบครับ”
รุ่นพี่ยิ้มแล้วหลับตาลง ไม่นานก็หลับไป
ฉีฉีมองไปยังใบหน้าหลับใหลของรุ่นพี่ เอาหน้ากากปิดตาขึ้นมา พิงอยู่ข้างๆแล้วหลับไป
รุ่งเช้าวันต่อมา ฉีฉีพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง และรุ่นพี่ไม่อยู่แล้ว
เธอลุกขึ้นทันที ฉีฉีกวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นเลิกผ้าห่มออกแล้วรีบออกไปข้างนอก
เมื่อมาจนถึงประตู ฉีฉีก็เกือบชนเข้ากับคนคนหนึ่ง
พอฉีฉีมองใกล้ๆ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองคือรุ่นพี่
ตอนนี้ใบหน้าของรุ่นพี่ยังคงมีรอยแผล บนมือกลับมีถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋
เมื่อเจอรุ่นพี่ ฉีฉีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เมื่อเช้าคุณไปไหนมา ฉันมองหาคุณไปทั่วก็ไม่เจอ”
“กลัวว่าเธอจะหิว ฉันก็เลยไปซื้อมื้อเช้าสุดพิเศษมาให้ ยังร้อนๆอยู่เลย มากินเถอะ”
พูดแล้วรุ่นพี่ก็นำอาหารเช้าวางไว้ตรงหน้าฉีฉี
ฉีฉีทั้งโกรธทั้งทำตัวไม่ถูก “รุ่นพี่ตอนนี้คุณเป็นคนป่วย ฉันขอร้องล่ะ ขอให้คุณรู้ตัวสักนิด อย่าเที่ยวไปเดินเพ่นพ่านอีก!”
ท่าทีของรุ่นพี่สำนึกผิด พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “โอเคๆ เธอสั่งสอนฉันแล้ว ครั้งหน้าไม่มีอีกแล้ว”
รุ่นพี่อารมณ์ดี ยอมรับความผิดเสียดีกว่า จะได้ไม่ทำให้ฉีฉีโกรธ
เมื่อเห็นว่าฉีฉีสงบลง รุ่นพี่จึงรีบพูดว่า “ถ้าเธอยอมรับคำขอโทษจากฉันแล้ว ก็รีบมาทานอาหารเช้าเร็ว อย่าให้ฉันเสียความพยายามไปฟรีๆ”
ฉีฉีไม่มีทางเลือก “ค่ะ ฉันกินก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้รุ่นพี่ก็ยิ้ม “กินเยอะๆ ฉันซื้อมาเยอะเลย ทิ้งเยอะเสียของ”
“รู้แล้วน่า”
รุ่นพี่เทน้ำเต้าหู้ลงในถ้วย จากนั้นนั่งลงตรงข้ามฉีฉี แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง ฉีฉีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“รุ่นพี่ ทำไมคุณไม่กิน?”
“เธอลืมอะไรไปรึเปล่า เมื่อวานคุณหมอบอกว่าฉันกินของทอดไม่ได้”
อะไรนะ มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ
ทำไมฉีฉีเป็นเห็นรู้เลย “แล้วทำไมคุณถึงซื้อแต่ของทอดมาล่ะ?”
“เพราะว่าเธอชอบกิน ดูเธอกินมีความสุขกว่ากินเองตั้งเยอะ”
รุ่นพี่พูดพร้อมกับแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา ฉีฉีก้มหน้ากินต่อไป แสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่รับรู้อะไร
ตบท้ายด้วยน้ำเต้าหู้จนหมดเกลี้ยง ฉีฉีก็เรอออกมา
พระเจ้า! ตายจริง!
เมื่อเห็นว่าฉีฉีกินทุกอย่างจนหมด รุ่นพี่ก็พูดขึ้นอย่างพึงพอใจ “อืม ความอยากอาหารของเธอก่อนหน้ากินน้อยมาก จนน่าเป็นห่วงจริงๆ”
แต่กินเยอะขนาดนี้ ก็น่าเป็นห่วงมากเช่นกัน…
ฉีฉีลูบท้องตัวเอง รู้สึกไม่อยากขยับเขยื้อนตัวไปไหน
แต่เธอยังต้องไปดูแลมู่ยู่วฉี ดังนั้นฉีฉีจึงได้แรงทั้งหมดพยุงตัวเองลุกขึ้น ไต่ไปตามผนัง แล้วเดินออกไป
“ใช่แล้วรุ่นพี่ วันนี้ก็ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอกนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”
รุ่นพี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฉีฉีก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ที่ฉันทำก็เพื่อคุณ ถ้าคุณอยากอยู่ละก็ คุณเต็มใจเห็นฉันทำงานหนักงั้นเหรอ ฉันคงแยกร่างไปทำหลายๆอย่างได้หรอกนะ?”
รุ่นพี่ถอนหายใจเบาๆ “เธอนี่ ชอบเอาความคิดเล็กๆน้อยๆพวกนี้มาใช้กับฉันอยู่เรื่อย เอาล่ะ งั้นฉันกลับก็ได้ แล้วเธอก็ต้องจำไว้กินข้าวให้ตรงเวลาด้วย”
ยังจะกินอีกเหรอ?
แค่ฉีฉีคิดถึงเรื่องกิน ก็รู้สึกจะอาเจียนแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีของฉีฉีรุ่นพี่ก็ยิ้มแล้วส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองเดินไปที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาล บังเอิญเจอเข้ากับเย่ชูวเสวียและคนอื่นๆพอดี
เมื่อเห็นรุ่นพี่ เย่ชูวเสวียก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ยิ้มแล้วเอ่ยถาม “อ้าว มีเรื่องอะไรกันเหรอ ทำไมเยินขนาดนี้?”
รุ่นพี่ไม่ได้สนใจที่จะเสวนากับเธอตั้งแต่แรก จึงหันหน้าไปทางอื่น
ฉีฉีอธิบายว่า “เมื่อคืนฉันเจอพวกนักเลง รุ่นพี่ช่วยปกป้องฉันไว้ก็เลยถูกพวกนั้นรุมจนสภาพเป็นแบบนี้ โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ท่าทีของเย่ชูวเสวียประหลาดใจ “ฝ่ายตรงข้ามเก่งมากเลยเหรอ? เอาชนะปรมาจารย์สานต่าได้ขนาดนี้”
แต่สิ่งที่เธอพูดทำให้ฉีฉีสงสัย “เธอพูดเรื่องอะไร ปรมาจารย์สานต่าอะไร?”
เย่ชูวเสวียยกแขนทั้งสองขึ้น ทำท่าประกอบแล้วพูดว่า “ก็รุ่นพี่เธอไง ทำไม เธอไม่รู้เหรอ? เขาเป็นถึงสมาชิกในสโมสรสานต่าเลยนะ”
พูดแล้วเย่ชูวเสวียก็มองไปยังรุ่นพี่ แววตาที่ฉายความชั่วร้ายออกมา
สีหน้าของรุ่นพี่หมองลง “ไม่รู้ ทำไมพวกเธอถึงรู้เรื่องขนาดนี้ล่ะ?”
“มันบังเอิญน่ะ เขาไปที่สโมสรบ่อยๆ บังเอิญว่าเพื่อนของฉันขับรถผ่านพอดี เมื่อวานฉันโทรหาเพื่อนบ่นว่าช่วงนี้ฉันเจอเรื่องแปลกๆ เมื่อคุยกับถึงรุ่นพี่ของฉีฉี ว่าคุณไปๆมาๆ ก็เลยรู้”
เย่ชูวเสวียพูดขึ้นด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “เฮ้อ สวรรค์มีความยุติธรรมจริงๆ เรื่องที่นายปกปิดไว้ทุกอย่าง ฉันรู้หมดแล้ว”
หลังจากที่ได้ยินเย่ชูวเสวียพูด ฉีฉีก็ขมวดคิ้ว
จนถึงกระทั่งตอนนี้ เธอยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ดี ความสิ้นหวังในตอนนั้นเธอไม่อยากสัมผัสมันไปอีกชั่วชีวิต
แต่ถ้ารุ่นพี่มีทักษะการต่อสู้ ทำไมถึงไม่สู้พวกนั้นกลับ? แม้จะเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ควรจะดิ้นรนสักหน่อย ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว
รุ่นพี่ ทำไม…
เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่พูดอะไร เย่ชูวเสวียยิ่งได้ใจ ใช้สำเสียงกดดันเอ่ยถามขึ้น “อืม นายไม่ควรกลัวพวกคุณเลวพวกนั้นนะ หรือว่าลืมไปว่าตัวเองก็มีทักษะการต่อสู้? อืม นี่ก็อาจจะเป็นไปได้ คนขี้ขลาด ก็ต้องทำเรื่องขี้ขลาด”
เมื่อเห็นว่าเย่ชูวเสวียกำลังโจมตีอีกคน หนานกงเจาจึงห้ามเธอไว้
“ชูวเสวีย!”
เย่ชูวเสวียรู้ว่าเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว เชื่อว่าเรื่องวันนี้คงทำให้ผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นมาบ้าง
เย่ชูวเสวียส่ายหน้า แล้วพูดว่า “รู้แล้วๆ ฉันไม่พูดแล้ว เอาล่ะ ไม่รบกวนพวกเธอล่ะ บายๆ”
พูดจบ เย่ชูวเสวียและหนานกงเจาก็เดินจากไป ด้วยแผ่นหลังที่เย่อหยิ่ง
รอให้เย่ชูวเสวียเดินห่างออกไป ฉีฉีหันไปมองรุ่นพี่แล้วถามว่า “รุ่นพี่ ที่ชูวเสวียพูดเป็นเรื่องจริงไหม?”
รุ่นพี่ดึงตัวเองกลับมา พูดขึ้นอย่างใจเย็น “ฉันเรียนสานต่ามาตั้งแต่อยู่ประถม แต่ก็ไม่ค่อยเก่ง มีก็แค่เคล็ดลับการต่อสู้จริงๆก็ไม่เท่าไหร่ ฉันอายเลยไม่เคยบอกเธอ เธอจะได้หัวเราะเยาะฉันนะสิ”
ฉีฉีส่ายหน้า “ไม่หรอก คุณน่ะเก่งอยู่แล้ว งั้นฉันเข้าไปก่อนนะ คุณก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมให้ดีๆ ถ้ารู้สึกว่าไม่สบายก็ให้โทรมาหาฉัน”
“โอเค”
ฉีฉีหันกลับเข้าไปที่โรงพยาบาล เมื่อร่างของเธอเดินหายไป รอยยิ้มบนใบหน้าของรุ่นพี่ก็ค่อยๆจางลง
ฉีฉีเดินไปยังห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ฉีฉีรู้ เย่ชูวเสวียต้องอยู่ข้างในแน่ๆ
เธอมีบางอย่างอยากถามเย่ชูวเสวีย แต่เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเย่ชูวเสวียกำลังเดินออกมาอย่างรีบร้อน
“มีเรื่องที่ร้านขนมหวาน ฉันต้องไปจัดการก่อน อาจจะไม่มีเวลาเข้ามาสักวันสองวัน”
ท่าทีของเย่ชูวเสวียเป็นกังวลอย่างมาก ฉีฉีจึงพยักหน้า “โอเค รีบไปเถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการแล้วมาไม่ได้ ก็ค่อยโทรมาบอกฉัน”
“รู้แล้วน่า มู่ยู่วฉีที่อยู่ทางนี้ฝากเธอด้วยนะ”
พูดจบ เย่ชูวเสวียก็รีบออกไป
เย่ชูวเสวียเดินไปอย่างเร่งรีบ ฉีฉียังไม่ทันได้ถามคำถามทั้งหมดที่อยากถามด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเธอคงต้องรอโอกาสไว้คุยกันครั้งหน้า
ฉีฉีเดินไปข้างเตียงมู่ยู่วฉีอย่างเงียบๆ แล้วนั่งลงตรงหน้าเขา
หยิบผ้าขนหนูสะอาดขึ้นมาชุบน้ำอุ่น เช็ดใบหน้าและฝ่ามือให้มู่ยู่วฉี
การสัมผัสของเธอเป็นไปอย่างอ่อนโยน ราวกับว่ากลัวคนที่นอนหลับอยู่จะตื่นขึ้นมา
สัมผัสที่อ่อนโยนดุจสายน้ำไหล
“มู่ยู่วฉีเมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้น ตอนนั้นฉันกลัวมาก ฉันคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอนายอีกแล้ว”
“โชคดีที่ไม่เป็นอันตราย รุ่นพี่ปกป้องฉันไว้ให้ฉันได้มานั่งอย่างสงบในห้องนี้ แต่รุ่นพี่ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เขาบาดเจ็บค่อนข้างสาหัสเลยล่ะ”
ช่วยทำความสะอาดร่างกายให้มู่ยู่วฉี ฉีฉีโน้มตัวลงประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา แล้วกระซิบว่า “มู่ยู่วฉี นายนอนมานานมากแล้วนะ ตอนนี้ลุกขึ้นมาดูอะไรน่าตื่นเต้นได้แล้ว รุ่นพี่ใจดีกับฉันมาก คอยช่วยฉันทุกอย่าง ฉันกลัวว่าวันหนึ่ง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวของฉันจะตบปากรับคำเขา”
“ถ้านายไม่อยากเห็นฉากนี้เกิดขึ้น ก็ฟื้นขึ้นมาขัดขวางฉัน โอเคไหม?”
เสียงของฉีฉีนุ่มนวลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
และมู่ยู่วฉียังคงไม่ตอบสนอง ความเงียบที่แสนน่ากลัว
ความหวังล้มเหลวลงอีกครั้ง ฉีฉีแทบจำไม่ได้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องผิดหวัง
เมื่อผิดหวังบ่อยครั้งเข้า ก็เปลี่ยนเป็นชินชา เช่นเดียวกับฉีฉีในตอนนี้
เธอหวังมาตลอดว่าอยากให้มู่ยู่วฉีฟื้นขึ้นมา แต่ปฏิกิริยาตอนนี้ของมู่ยู่วฉีแย่มากจริงๆ
ความสูญเสียที่อยู่ลึกๆเข้าโจมตีอย่างหนัก ทำให้ฉีฉีไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
นอกจากร้องไห้แล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ฉีฉีเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ แต่ความสามารถที่มีอยู่น้อยนิดของเธอก็ถูกใช้ไปหมดแล้ว
ฉีฉีนั่งพิงข้างเตียงมู่ยู่วฉี พูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน “มู่ยู่วฉี ฉันขอร้องล่ะ ฟื้นขึ้นมาได้แล้ว…”
เมื่อเสียงเงียบลง จู่ๆ ฉีฉีก็น้ำยินเสียงเปิดประตู
ฉีฉีรีบเช็ดน้ำตาทันที หันกลับไปแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ดวงตาราวกับดวงตากระต่ายของฉีฉี ไม่อาจซ่อนมันไว้ได้ โดยเฉพาะต่อหน้าเซี่ยอันน่า การเสแสร้งทั้งหมดของฉีฉีไม่มีที่ให้หลบซ่อน
เมื่อมองเห็นสารรูปของฉีฉีตอนนี้ เซี่ยอันน่าก็ทุกข์ใจ
เมื่อตรงหน้าคือเซี่ยอันน่า ฉีฉีก็ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง จึงลดการเสแสร้งลง
ทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่บนโซฟา ฉีฉีช่วยรินน้ำให้กับเซี่ยอันน่า เซี่ยอันน่าจึงกล่าว “ขอบใจนะ”
เงียบอยู่สักพัก ฉีฉีก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา
“แกไม่ยุ่งเหรอถึงมาหาฉันถึงที่นี่ได้ จริงๆไม่ต้องมาบ่อยก็ได้”
“เพราะว่าแกอยู่ที่นี่นะสิ ฉันก็เลยต้องมาเยี่ยมบ่อยๆ”
ฉีฉีหัวเราะเยาะ แล้วพูดว่า “มาเยี่ยมฉันทำไม ฉันไม่ป่วยนะ?”
“ปัญหาของแกไม่ได้ต่างไปจากมู่ยู่วฉีเลย”
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว ฉันสบายดี มีปัญหาที่ไหนกันล่ะ?”
“ตรงนี้ไง” เซี่ยอันน่าชี้ไปที่หัวใจของฉีฉี “แกคิดมากเกินไปท่าทางไม่ผิดปกติ ทำให้ฉันเป็นห่วง แกรู้ไหม ตอนนี้แกโทรมมากขนาดไหน แตกต่างฉีฉีเมื่อก่อนมาก”
ฉีฉีไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เธอไม่อยากให้เซี่ยอันน่าเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวเอง จึงพูดขึ้นอย่างขี้เล่น “บางทีฉันอาจจะมีปัญหาทางใจ เมื่อได้รับความทุกข์นิดหน่อยก็จะเป็นแบบนี้แหละ กินยาก็หายแล้ว”
“อย่ามาอ้างหน่อยเลย ฉันดูออกใครบางคนมีผลกระทบต่อแก แกแบกรับมันมากเกินไป หัวใจของแกมีขีดจำกัด แต่ยังมีคนเจาะเข้าไป ถ้าไม่ได้รับการยกโทษให้แกก็จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข”
“อันน่า แกกำลังพูดถึงใคร?”
“ก็…” เซี่ยอันน่ามองไปยังใบหน้าซีดเซียวของฉีฉี แล้วโบกมือปัด “ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า เฮ้ เมื่อกี้แก่ซุบซิบอะไรกับมู่ยูวฉี?”
“ไม่บอกหรอก”
“ให้ฉันเดา ถ้าคุณตื่นขึ้นมาฉันจะแต่งงานกับคุณ อะไรทำนองนี้แหละใช่ไหม?”
ฉีฉีปฏิเสธทันที “อย่าพูดไร้สาระน่า ไม่ใช่สักหน่อย”
“เขินอะไร ที่นี่มีแค่เราสองคนนะ แม้ว่าแกจะอยากแต่งงาน มู่ยู่วฉีก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาสักหน่อย”
คำพูดของเซี่ยอันน่าทำให้ฉีฉีหน้าเปลี่ยนสี
เธอคอตก แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “อันน่า สองวันมานี่ฉันคุยกับมู่ยู่วฉีตลอดเลยนะ ทำไมเขาไม่ตอบสนองเลยล่ะ? หรือว่าเขาจะเกลียดฉันอยู่ในใจ ไม่อยากให้ฉันอยู่ต่อ?”
“ถ้าเขาเกลียดแกจริงๆ จะบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการดื่มเหล้าทำไม?”
“นั้นก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องมาเจอกับอะไร รอให้มู่ยู่วฉีตื่นขึ้นมาเห็นสภาพตัวเอง เขาต้องเกลียดฉันเข้ากระดูกแน่ๆ”
“แกไม่ใช่มู่ยู่วฉี แกจะตอบคำถามเหล่านี้แทนเขาได้ยังไง แกน่ะชอบคิดอะไรบ้าๆสุดท้ายก็เหนื่อยตัวเอง ฟังฉันนะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ ทำหน้าที่อยู่คุยเป็นเพื่อนเขาให้ดีที่สุด คุณหมอบอกว่าอาการของมู่ยู่วฉีกำลังดีขึ้น เราจะสู้ไปด้วยกัน”
คำพูดของเซี่ยอันน่า ทำให้ฉีฉีเงยหน้าขึ้นมอง “เขากำลังดีขึ้นจริงๆ เหรอ?”
“แน่นอนสิ คุณหมอเพิ่งคุยกับฉันเอง แกดูผลลัพธ์ในตอนนี้สิ ที่เหลือก็แค่พยายามให้หนักขึ้น”
ฉีฉีมองเซี่ยอันน่าที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ ราวกับว่ามีเซี่ยอันน่าสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ
ฉีฉีส่ายหัวไปมา ตั้งใจเพ่งสายตามอง กลับกลายเป็นว่ามีเซี่ยอันน่าแค่คนเดียว
เมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพองั้นเหรอ? ทำไมถึงเห็นภาพหลอนได้นะ?
ฉีฉีหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นฉีฉีเหม่อลอย เซี่ยอันน่าก็พูดขึ้นว่า “อย่ามาพูดแบบขอไปทีกับฉันนะ ต้องจำให้ดี”
“ค่ะ แกนี้เริ่มพูดมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ”
“ที่พูดจู้จี้จุกจิกก็เพื่อแกนั้นแหละ ยังจะมาโทษฉันอีก ไม่มีเหตุผลจริงๆ”
MANGA DISCUSSION