“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมเพียงแค่คิด มีอะไรบางอย่างทำให้มู่ยู่วฉีอยากสละชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ ไม่รักชีวิตตัวเอง ถ้าเขามีเหตุผลสักนิด คงไม่ขับรถอย่างบ้าคลั่งแบบนั้น ราวกับว่าพยายามจงใจรนหาที่ตาย”
จงใจรนหาที่ตาย?
ประโยคนี้ราวกับค้อนขนาดยักษ์ ทุบลงมาที่หัวใจของฉีฉีอย่างแรง จนทำให้ร่างกายเธอสั่นเทา
รุ่นพี่รีบประคองเธอไว้ทันที จับมือเธอไว้ มอบกำลังให้แก่เธอ
เย่ชูวเสวียมองเห็นฝ่ามือของทั้งสองคนที่ประสานกัน คิ้วขมวดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ มู่ยู่วฉีเป็นคนอดทน ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
แต่หนานกงเจายังคงซักไซ้หาคำตาอบ “สรุปเธอพูดอะไรกับมู่ยู่วฉี?”
“ฉัน…ฉันเพียงแค่บอกกับเขาว่า ฉันต้องการอยู่กับรุ่นพี่ ขอให้หลังจากนี้เขาอย่ามาหาฉันอีก ให้ทำเหมือนกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
หลังจากพูดจบ คนทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามก็เงียบลง
ฉีฉีมองไปที่เย่ชูวเสวียและหนานกงเจา พบว่าสีหน้าของทั้งสองคนบึ้งตึงจ้องเขม็งมายังตัวเอง มีความไม่พอใจอยู่ในแววตาลึกๆ
ในใจมีความหวาดกลัวเล็กน้อย ฉีฉีเอ่ยถาม “คำพูดพวกนี้ก็ไม่เห็นมากเกินไปตรงไหน คนที่เลิกกัน เขาไม่พูดกันแบบนี้เหรอ?”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มากเกินไปหรือไม่ ฉีฉี สิ่งที่มู่ยู่วฉีคิดกับเธอ เธอดูไม่ออกเลยเหรอ?”
“ดูออกแล้วต้องยอมรับมันงั้นเหรอ? คำพูดนี้ดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่เลยนะ”
ไม่รอให้ฉีฉีได้เป็นคนตอบ รุ่นพี่ก็ย้อนถามเย่ชูวเสวียกลับไปซะก่อน
รุ่นพี่ที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่ด้วยก็เหมือนไม่อยู่
แต่เมื่อเขาพูดขึ้น ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
เย่ชูวเสวียเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูอ่อนโยน อบอุ่น นิสัยดี แต่เมื่อมองลึกเข้าไปอย่างละเอียด จะพบดวงตาที่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาและเย่อหยิ่ง
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สุภาพ เย่ชูวเสวียก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นกัน เธอยิ้มเยาะแล้วพูดกลับไป “ที่คุณพูดก็ถูก แต่พาแฟนมาอวดแฟนเก่าของเธอถึงที่นี่ ก็คงไม่ใช่มั้ง”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น เพียงแค่ฉีฉีนึกถึงความรู้สึกเก่าๆในอดีต อยากมาเจอมู่ยู่วฉี”
“งั้นคุณก็ไม่คัดค้านที่จะให้ฉีฉีไปดูมู่ยู่วฉีใช่ไหม?”
เย่ชูวเสวียคิดว่าตนเองกำลังจะเป็นฝ่ายชนะ แต่รุ่นพี่กลับพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ฉีฉีมา ก็เพื่ออยากมาเจอมู่ยู่วฉี จะเข้าไปก็ไม่เป็นไร”
พูดจบรุ่นพี่ก็พยักหน้าให้กับฉีฉี “ฉีฉี ไปเถอะ”
แต่ฉีฉีกลับส่ายหน้า ด้วยสีหน้าท่าทางปฎิเสธ
“ฉันยังจะมีหน้าไปเจอมู่ยู่วฉีได้ยังไง? เขากลายเป็นแบบนี้เพราะฉัน”
“โง่ เธอเป็นคนบีบบังคับให้มู่ยู่วฉีเมาแล้วขับ? แค่ถูกเธอปฎิเสธสองสามคำก็อาการหนักถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ก็ไม่แปลกที่จะถูกหมาแมวที่ไหนแย่งผู้หญิงไปได้”
คำพูดของเย่ชูวเสวีย ยิ่งทำให้ฉีฉีอับอาย ความรู้สึกผิดต่อมู่ยู่วฉียิ่งเพิ่มมากขึ้น
และเย่ชูวเสวียเอง ขณะที่พูดออกไปก็จ้องรุ่นพี่เขม็ง ด้วยสีหน้าท่าทางและสายตายั่วโมโห
หนานกงเจารู้จักอารมณ์ของเย่ชูวเสวียดี บางทีคำพูดบางคำอาจทำให้ทะเลาะกันได้
ที่นี่คือโรงพยาบาล เรื่องเล็กๆน้อยๆไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนรับรู้ จึงรีบไกล่เกลี่ย “อยู่ที่นี่ยังมีเวลาพูดอะไรกันอีกมาก เข้าไปเยี่ยมกันเลยดีกว่า”
“ก็ได้ ฉีฉีก็ต้องไป”
เย่ชูวเสีวยจ้องไปที่รุ่นพี่อย่างยั่วยุ เดินไปคว้าตัวฉีฉีแล้วเดินจากไป
ฉีฉีไม่อยากเข้าไป แต่เย่ชูวเสวียแข็งแกร่งมาก รุ่นพี่ก็ไม่ได้ช่วยเธอ สุดท้ายจึงถูกผลักเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ช่วงเวลาที่ได้เห็นมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็รีบปิดปากตนเองทันที
คำพรรณาทั้งหมด ไม่อาจบรรยายฉากน่าเศร้าที่เธอได้เห็นกับตาตัวเองได้
เช่นเดียวกับมู่ยู่วฉี เขาบาดเจ็บสาหัส เมื่อได้เห็นเขานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ลมหายใจโรยรินที่แทบมองไม่เห็น ไม่อาจทำให้คนที่พบเห็นยอมรับได้
ชายหนุ่มที่ชอบเที่ยวเตร่ไปทั่ว คนที่เวลายิ้มออกมาแล้วแพรวพราวเสียยิ่งกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ ทำไมถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้?
มู่ยู่วฉีในขณะนี้ ใบหน้าหายไปแล้ว ทั้งตัวถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวมเบ่งขึ้นมาจนผิดรูป
ก่อนที่ยังไม่ได้เห็นสภาพของมู่ยู่วฉี ฉีฉียังมีความหวัง เธอหวังว่ามู่ยู่วฉีจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ทั้งหมดนี้ เธอกำลังหลอกตัวเอง
แต่หลังจากที่ได้เห็นความจริง ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มที่นอนอยู่ตรงหน้า ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาอาจจะ…
ไม่ไม่ไม่ เป็นไปไม่ได้ มู่ยู่วฉีเป็นตัวหายนะ เขาต้องอยู่ไปอีกร้อยปีพันปี!
น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่ได้ ฉีฉีปิดปากตนเอง แล้วก้าวถอยหลังไป
เมื่อได้ยินเสียงเซี่ยอันน่าและเสี่ยวอวี้หลินจึงหันกลับไปมอง
เซี่ยอันน่ามองเห็นฉีฉี แต่สายตากลับมองข้ามไป
มองเข้าไปด้านในห้อง แล้วเอ่ยถามเย่ชูวเสวีย “คุณลุงคุณป้าอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“กลับไปแล้ว”
“กลับไปพักผ่อนก็ดีแล้ว สองวันมานี่พวกท่านคงเหนื่อยมาก”
พูดคุยกับเย่ชูวเสวียเพียงไม่กี่ประโยค เซี่ยอันน่าก็จ้องมองไปยังฉีฉี “แกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นไหม? ก่อนหน้านี้ที่ฉันโทรหาก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ฉันยังคิดว่าแกถูกลักพาตัวไปแล้ว!”
เย่ชูวเสวียมองไปยังรุ่นพี่ แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ลักพาตัวหรอก แต่เป็น”
ฉีฉีดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินที่เย่ชูวเสวียกำลังพูดเยาะเย้ย จึงรีบพูดไปอย่างสุภาพ “ขอโทษที สองวันมานี่ฉันยุ่งมากๆ เลยเพิ่งหาเวลาว่างมาได้”
“ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ก็เจียดเวลามาไม่ได้เลยงั้นเหรอ”
“ฉัน…”
ก่อนที่ฉีฉีจะคิดหาคำตอบดีๆได้ เย่ชูวเสวียก็พูดขึ้นมาก่อน “คงจะยุ่งเพราะรักกันมาก จะมีเวลามาสนใจเราได้ยังไง เอาล่ะๆทุกคน เธอก็เหมือนกัน กลับไปได้แล้ว”
เหมือนเห็นเย่ชูวเสวียเอ่ยปากไล่ทุกคนอกไป ทุกคนก็ประสานเสียงร้องเรียกชื่อเธอทันที
“ชูวเสวีย!”
แต่ชูวเสวียก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจ ย้อนถามว่า “ฉันพูดผิดเหรอ? บางทีถึงคนอื่นจะมาที่นี่ หรือเราอยู่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แม้กับแฟนของบางคน ยังเทียบไม่ได้”
“เอาล่ะ เธอเลิกพูดได้แล้ว”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ พวกเธอดูฉีฉีตอนนี้สิ ผู้หญิงคนที่พวกเรารู้จักก่อนหน้านี้อยู่ที่ไหน? เธอ…”
เย่ชูวเสวียยังคงบ่นอยู่เช่นนั้น แต่สายตาของเซี่ยอันน่า กลับถูกสิ่งอื่นดึงดูดไป
สายตาจ้องมองอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของเซี่ยอันน่าตื่นตระหนก กระตุกมือของเสี่ยวอวี้หลิน แล้วตะโกนว่า “ขยับ ขยับแล้ว!”
“อะไรขยับ?”
“มู่ยู่วฉีขยับนิ้วมือเมื่อกี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างตกใจ
เสี่ยวอวี้หลินที่ยังคงนิ่ง รีบกดกริ่งข้างเตียงเรียกคุณหมอในทันที
จากนั้นไม่นานคุณหมอก็เดินเข้ามาด้วยความหอบเหนื่อย ฉีฉีและรุ่นพี่รีบหลีกทางให้หลบไปด้านหลัง
เมื่อได้ยินที่เซี่ยอันน่าพูด แววตาของฉีฉีจ้องมองไปยังมู่ยู่วฉี หวังว่าเขาจะสามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้ได้ ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างแข็งแรง
ความวุ่ยวายที่อยู่ตรงหน้า เหมือนไม่ใช่ความจริง ราวกับว่าเป็นดั่งความฝัน
ถ้าเป็นไปได้ ฉีฉีอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ให้มู่ยู่วฉีที่อยู่ในฝันไม่เคยรู้จักตนเอง
รุ่นพี่มองใบหน้าด้านข้างของฉีฉีที่ซีดเผือด กุมมือเธอแล้วพูดเบาๆ “ฉีฉี เรากลับกันไปก่อนดีไหม?”
ฉีฉีไม่อยากไป ทุกอย่างฉายออกมาจากแววตาของเธอ
รุ่นพี่ที่มองการตัดสินใจของฉีฉีออก แต่เขากลับไม่เห็นด้วย “เราอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ กลับกันจะกลายเป็นภาระเปล่าๆ”
เย่ชูวเสวียเห็นทั้งสองคนกระซิบกระซาบกัน จึงเอนตัวเข้าไปใกล้ ได้ยินรุ่นพี่ที่กำลังพูดโน้มน้าวฉีฉี
เย่ชูวเสวียหัวเราะขัดจังหวะขึ้นมา “ไม่อยู่รอคำตอบคงไม่ดีมั้ง ถ้าเกิดมู่ยู่วฉีไม่รอดขึ้นมา คุณจะได้กลับไปดื่มเฉลิมฉลองได้ทัน”
รุ่นพี่หันกลับมาจ้องมองไปยังใบหน้าเย้ยยันของเย่ชูวเสวีย แล้วพูดเบาๆ “อาการบาดเจ็บผมยังไม่หายดี คงดื่มไม่ได้”
“นาย…”
กลับเป็นอีกฝ่ายที่เป็นฝั่งชนะ เย่ชูวเสวียพูดไม่ออก จ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่จนแทบคลั่ง
หนานกงเจาเข้ามาหยุดเย่ชูวเสวียได้ทันการณ์ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “เงียบหน่อย จำเป็นต้องมาทะเลาะกันตอนนี้งั้นเหรอ?”
“ใช่ ผมมันไม่รู้จักผิดถูก ดังนั้นจึงไม่อยากอยู่ที่นี่ อยู่ในสายตาของพวกคุณ”
พูดแล้ว รุ่นพี่ก็คว้าตัวฉีฉีต้องการเดินออกไป
แต่ฉีฉีกลับไม่ขยับเขยื้อน สายตาของเธอเอาแต่จับจ้องไปที่มู่ยู่วฉี
การต่อต้านของฉีฉีทำให้เย่ชูวเสวียมั่นใจ ถือโอกาสส่งสายตายั่วโมโหไปให้รุ่นพี่อีกครั้ง
รุ่นพี่ไม่เห็นสายตายั่วโมโหนั้นของเย่ชูวเสวีย เขามองไปยังฉีฉีอย่างสิ้นหวังด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
หลังจากคุณหมอตรวจอาการเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็หันมาพูดกับทุกคน “ตอนนี้เราทำการตรวจคนไข้เรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ” “แต่เมื่อสักครู่นิ้วมือของมู่ยู่วฉีขยับแล้วนะคะ”
“นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง พวกคุณควรทำต่อไป บางทีมันอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเอง”
“สิ่งกระตุ้น…”
เย่ชูวเสวียเงียบไปสักพัก จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น จับมือฉีฉีแล้วพูดว่า “ฉีฉี มู่ยู่วฉีต้องได้ยินเสียงเธอแน่ๆ เขาอยากพูดบางอย่างกับเธอ จึงมีปฎิกิริยาตอบสนอง”
“ฉัน?”
“ใช่ๆ เธอนั้นแหละ! งั้นหลังจากนี้เธอต้องอยู่ดูแลมู่ยู่วฉี เธอเองก็หวังอยากให้เขาฟื้นตัวได้ในไม่ช้าไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินที่เย่ชูวเสวียพูด ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอหมายความถึงอะไร
ฉีฉีเกิดลังเล ทำอะไรไม่ถูก
รุ่นพี่ที่อยู่ยืนอยู่ข้างๆเธอขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกคุณกำลังบีบบังคับเธอ มู่ยู่วฉีจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ แล้วจะทำอะไรกับฉีฉี?”
“ก็เพียงแค่มิตรภาพก่อนหน้านี้ที่พวกเขามีต่อกัน นายจะอยู่ช่วยไม่ช่วยก็ได้ ฉีฉีไม่ได้เลือดเย็นเหมือนนาย เธอต้องอยู่แน่ๆ ฉีฉีเธอว่ายังไง?”
สายตาของเย่ชูวเสวียจ้องมองไปยังฉีฉี ริมฝีปากของเธอขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
เย่ชูวเสวียรู้ว่าฉีฉีอยากอยู่ที่นี่ แต่เธอผ่านอุปสรรคที่อยู่ในใจไม่ได้ จึงพูดโน้มน้าวอีกฝ่าย “งั้นเธอทนดูมู่ยู่วฉีตายได้จริงๆใช่ไหม? หากเขาผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปไม่ได้ ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมาจริงๆ”
เซี่ยอันน่าที่อยู่ข้างๆ ช่วยพูดอีกแรง “แม้ว่าแกจะไม่อยากอยู่กับมู่ยู่วฉี แต่ก็คงไม่อาจทนเห็นเขาตายได้โดยที่ไม่ช่วย ถ้ามู่ยู่วฉีตายเพราะเรื่องนี้จริงๆ หลังจากนั้นเธอจะไม่เสียใจงั้นเหรอ?”
เสียใจ และก็คงเสียใจไปตลอดชีวิต
ฉีฉีไม่อยากเสียใจกับเรื่องนี้ไปชั่วชีวิต และยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่อยากให้มู่ยู่วฉีตาย
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก เงยขึ้นมองไปยังรุ่นพี่
“รุ่นพี่?”
รุ่นพี่ไม่ได้เป็นคนใจดำแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เขายิ้มเบาๆ จากนั้นเอ่ยอย่างไม่เต็มใจว่า “ถ้าอยากอยู่จริงๆ ก็อยู่เถอะ ยังไงซะเรื่องนี้ก็คงไม่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของเรา”
เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่คัดค้าน ฉีฉียิ้มอย่างสดใส พยักหน้าแล้วพูดว่า “ค่ะ ฉันจะอยู่ต่อคอยดูแลมู่ยู่วฉี”
ตอนนี้ รุ่นพี่ได้แต่รู้สึกสงสารตัวเอง
คอยอยู่เป็นเพื่อนมาโดยตลอด แต่ยังไม่สู้ชายที่อยู่ในใจของเธอสินะ? เพียงแค่คอยดูแลคนป่วยคนหนึ่ง ก็ทำให้เธอมีความสุขได้
ความสุขที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่มีการเสแสร้งใดๆ ในทางตรงกันข้าม ตอนที่ฉีฉีอยู่ตัวเอง กลับคอยเจียมเนื้อเจียมตัวและสุภาพ
ทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ชัดเจนโดยไม่ต้องพูด
ความโศร้าเศร้าที่อยู่ภายในใจ แต่รุ่นพี่กลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมา
เย่ชูวเสวียที่อยู่ข้างๆ ไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เยาะเย้ย เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉีฉีอ่า ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยู่กับเขาให้มากๆ พูดถึงเรื่องที่เขาชอบฟัง ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก จะได้ไม่ต้องทำให้มู่ยู่วฉีไม่มีความสุข”
คำพูดของเย่ชูวเสวียทำให้บรรยากาศรอบๆ อึดอัดขึ้นมา แต่รุ่นพี่กลับไม่ได้สนใจ พูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไม่เป็นไร ฉันจะรอที่ล็อบบี้โรงพยาบาล”
ผู้ชายคนนี้หน้าด้านจริงๆ
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว พลางเอ่ยถาม “นายเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ไปพักผ่อนล่ะ”
“หมาป่าหลายหัวกำลังจ้องอยู่ขนาดนี้ ฉีฉีเป็นแค่ลูกแกะน้อย จะหนีก็คงหนีไม่ได้”
อย่ามองว่าเป็นแค่น้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่วาทศิลป์นั้นเฉียบคม การพูดเสียดสีคนอื่นเย่ชูวเสวียไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ ความโกรธในใจของเย่ชูวเสวียก็ทวีคูณขึ้นมาทันที พูดขึ้นเสียงดัง “นายกับฉีฉีรู้จักกันมานานแค่ไหน? เราทุกคนที่นี่เป็นเพื่อนของเธอ จะให้เล่นแง่กับเธอ คงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!”
แววตาของรุ่นพี่ทำให้เย่ชูวเสวียกระวนกระวายอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนว่าความลับในใจจะถูกคนอื่นได้ล่วงรู้
เพื่อปกปิดความตื่นตระหนกของตนเอง เย่ชูวเสวียจึงตะโกนเสียงดังขึ้น “ที่เราทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อฉีฉี!”
เมื่อเทียบกับความลนลานของเย่ชูวเสวีย น้ำเสียงของรุ่นพี่ยังคงเรียบราบเช่นเดิม ใช้คำพูดจี้จุดอ่อนของเธอ
“ในฐานะของคนที่คอยรักและทะนุถนอม ยิ่งต้องเจ็บปวด พวกคุณไม่ใช่คนคนนั้น รู้ได้ยังไงว่าเธอต้องการอะไร?”
เย่ชูวเสวียเม้มริมฝีปากแน่น กัดฟันพูดว่า “สมแล้วที่เป็นอาจารย์ ฝีปากดีใช้ได้”
“พวกคุณก็รู้จักผมดีแล้วหนิ แต่ไม่รู้ทำไม ผมยังคิดว่าพวกคุณกำลังสอบสวนผมอยู่”
“หึ แค่รายละเอียดของนายยังต้องสอบสวนอะไรอีก แค่ถามไปงั้นๆ…”
“ชูวเสวีย!”
เย่ชูวเสวียชะงักไป เมื่อรู้ว่าตัวเองพูดเผลอพูดอะไรไป จึงรู้สึดหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เย่ชูวเสวียจ้องมองไปที่รุ่นพี่ พูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “นายเล่นแง่กับฉันเหรอ?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำกล่าวหาเช่นนี้ รุ่นพี่ยิ้มบางๆ แต่กลับไม่ได้ปฎิเสธ
ท่าทีของรุ่นพี่ ราวกับตบหน้าเย่ชูวเสวีย ทำให้เธอโกรธจนอยากจะฆ่าใครสักคน
เมื่อเห็นเย่ชูวเสวียกัดฟันกร่อด ฉีฉีจึงเอ่ยถามขึ้น
“พวกเธอ สอบเรื่องรุ่นพี่ทำไม?”
กังวลว่าเย่ชูวเสวียจะเผลอพูดอะไรออกไปอีก เซี่ยอันน่าจึงเอ่ยปากอธิบาย “เพียงแค่กังวลว่าเขาจะเป็นชายใส่แว่นคนอื่น ที่เป็นอันตรายกับเธอ ที่เราทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงเธอนะ”
ฉีฉีที่ได้ยินเช่นนั้น แววตาก็พลันมีแสงวาบขึ้นมา
ในใจเธอมีความอึดอัดอยู่เล็กน้อย นั้นนี่ก็ความรู้สึกของความไม่ไว้วางใจ
แต่ก่อนที่ฉีฉีจะพูดอะไรออกไป รุ่นพี่ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าพูดให้ดูดีนี่คือความห่วงใย แต่ถ้าพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยนี่ก็คือการควบคุม พวกคุณทุกคนเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ฉีฉีนั้น เป็นแค่คนโง่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักที่จะสามารถควบคุมชีวิตคนอื่นได้ รสชาติแบบนี้คงไม่เลวเลยทีเดียว ใช่ไหม?”
เย่ชูวเสวียทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากเข้าไปจัดการเขาให้แตกกันไปข้าง แต่ยังดีที่หนานกงเจาห้ามไว้ทัน
“นายอย่ามาห้ามฉัน ผู้ชายแบบนี้ควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม อย่าปล่อยให้เขาพูดจาไร้สาระได้อีก”
รุ่นพี่มองไปที่เย่ชูวเสวียอย่างไม่เกรงกลัว “ผมพูดผิดตรงไหน?”
“ผิดตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ชายอย่างนาย ก็เป็นพวกชอบก่อความวุ่นวาย หว่านล้อมให้แตกคอกัน ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อฉีฉี คนอย่างนายจะมาตัดสัมพันธ์ได้งั้นเหรอ?”
“ความสมพันธ์ที่แท้จริง จะไม่ถูกแยกจากกัน เว้นเสียแต่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้แข็งแกร่งตั้งแต่แรก”
“นาย…”
เย่ชูวเสวียไม่ใช่คู่ปรับของรุ่นพี่แม้แต่น้อย หากยังพูดต่อไป ยิ่งจะทำให้ฉีฉีเข้าใจผิดมากขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้นเซี่ยอันน่าจึงพูดขัดจังหวะเย่ชูวเสวียขึ้นมา “เอาล่ะๆทุกคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว ที่มันห้องผู้ป่วยนะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างพากันสงบปากสงบคำ ไม่พูดอะไรอีก
แต่ต่างคนต่างมีแผนภายในใจ
ฉีฉีรีบร้อนออกไป เพราะยังไม่ได้รายงานคุณพ่อและคุณแม่ รุ่นพี่ที่มาเป็นเพื่อนเธอจึงโทรกลับไปที่บ้าน โกหกแทนฉีฉี ที่ถือโอกาสเก็บของมาด้วย
。
ทันทีที่พวกเขาออกไป เย่ชูวเสวียก็เตะอกชกอากาศเพื่อระบายอารมณ์
“นายนั้น เรื่องง่ายๆก็ทำให้เกิดหายนะ ปล่อยไว้ไม่ได้!”
เซี่ยอันน่าที่เคยสนิทกับรุ่นพี่ รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ “ตอนนี้มีปากเสียงกับเขาแล้ว เธอไม่กลัวว่าฉีฉีจะสงสัยเราบ้างเหรอ?”
เย่ชูวเสวียแหงนหน้าขึ้น “ความสัมพันธ์ของเรากับฉีฉี เขาเทียบไม่ได้หรอก!”
เซี่ยอันน่าถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “เกรงว่าคราวนี้เธอจะหลงตัวเองมากเกินไปนะ”
เย่ชูวเสวียตอบสนองได้ทันที เข้าใจว่าคำพูดของเซี่ยอันน่าความหมายถึงอะไร
เห็นได้ชัดว่าเย่ชูวเสวียไม่ยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าวแน่ ดวงตาเบิกกว้าง แล้วพูดขึ้น “เธอคิดว่าฉีฉีกำลังสงสัยเรางั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้ แม้ว่ายัยนั้นจะตอบสนองช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จริงใจกับเธอ”
“เราจริงใจต่อเธอ ส่วนผู้ชายคนนั้น อาจจะไม่คิดอย่างนั้น”
เย่ชูวเสวียที่กำลังเดือดดาล พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไมเธอชอบพูดแทนคนอื่นอยู่เรื่อย เราแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันแค่กำลังคิดอย่างถี่ถ้วน อยากให้เธอมองโลกในแง่ดีบ้าง” เซี่ยอันน่าหยุดพูดไปชั่วขณะ “เห็นอาการบาดเจ็บของผู้ชายคนนั้นไหม ได้ยินมาว่ามู่ยู่วฉีเป็นคนทำ นี่เป็นจุดชนวนการแยกหักความสัมพันธ์ของเขากับฉีฉี”
เย่ชูวเสวียกระพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ
“เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ มู่ยู่วฉีทิ้งจุดอ่อนไว้อย่างไรให้คนอื่นจับได้?”
“ถึงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่ผู้ชายคนนั้นก็ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย แม้จะไม่ง่ายที่จะจัดการ ฉะนั้นวิธีการก็ต้องไม่ใช่สำหรับคนธรรมดาๆ”
เสี่ยวอวี้หลินที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าจัดการง่ายขนาดนั้น มู่ยู่วฉีคงไม่กลายเป็นสภาพอย่างเช่นในวันนี้”
“พวกเธอแต่ละเป็นอะไรกันไปหมด แค่ผู้ชายคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไมพวกเธอพูดถึงเขาราวกับเป็นบุคคลอันตรายขนาดนั้น ฉันไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ เขาตัวคนเดียวเรามีกันตั้งกี่คน”
เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างกล้าได้กล้าเสียของเย่ชูวเสวีย เซี่ยอันน่าก็รีบพูดขึ้น “เย่ชูวเสวียเธออย่าเพิ่งวู่วาม คอยดูเชิงเขาไปก่อน ยังไงซะฉีฉีก็ยังอยู่ เรายังมีโอกาสอีกมาก อย่าเพิ่งรีบร้อน”
“ใช่ ฉีฉียังอยู่ ไอ้คนน่ารำคาญคนนั้นก็ยังอยู่เหมือนกัน ฉันไม่อยากเจอหน้าเขาแม้วินาทีเดียว ต้องหาทางจำกัดเขาไปให้ได้!”
เซี่ยอันน่าหันไปมองหนานกงเจาอย่างจนปัญญา แล้วพยักหน้าให้เขา
หนานกงเจารู้ เซี่ยอันน่าอยากให้เขายื้อเวลาเย่ชูวเสวียเอาไว้ ไม่ให้เธอเข้ามายุ่งวุ่นวาย
แต่เรื่องที่เย่ชูวเสวียต้องการทำ เขาไม่อาจเปลี่ยนใจเธอได้ และบางทีเขาเองต้องคอยช่วยเธอด้วยซ้ำ เพราะเกรงว่าจะมีปัญหา
เมื่อเห็นหนานกงเจาส่ายหัว เซี่ยอันน่าก็กุมขมับ
เสี่ยวอวี้หลินตบบ่าเซี่ยอันน่าเบาๆ แล้วพูดขึ้น “อย่าเป็นกังวลไปเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรเป็น ถ้ารั้งฉีฉีไว้ไม่ได้จริงๆ พวกคุณก็ไม่ควรไปบีบบังคับ ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง พวกคุณได้คอยอยู่เป็นเพื่อนไปตลอดเส้นทาง นั้นก็ถือว่าโชคดีแล้ว”
“แต่…”
“อย่าลืมสิ สิ่งสำคัญที่สุดของเราตอนนี้ก็คือทำให้มู่ยู่วฉีฟื้น”
ประโยคนี้ปิดกั้นคำพูดของเย่ชูวเสวีย เวลานี้เธอจะพูดก็พูดไม่ได้ ทำก็ทำไม่ได้ มันจุกอยู่ข้างในจนแทบอยากอาเจียน
“พวกเธอนี่รำคาญน่ารำคาญชะมัด!”
เย่ชูวเสวียกระทบเท้า หันหลังแล้ววิ่งออกไป หนานกงเจาก็รีบตามออกไปทันที
เซี่ยอันน่ามองไปที่เย่ชูวเสวียด้วยสายตาที่เป็นกังวล
เสี่ยวอวี้หลินตีหน้าผากของเซี่ยอันน่าเบาๆ แล้วพูดปลอบใจ “เอาน่า มีหนานกงเจาอยู่ด้วยเขาไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเย่ชูวเสวียหรอก”
เซี่ยอันน่าถอนหายใจ “คนไม่กี่คน ทำไมถึงทำให้คนอื่นยุ่งยากได้ขนาดนี้นะ?”
……
จนกระทั่งวางสายโทรศัพท์ไป พ่อและแม่ของฉีฉีจับพิรุธอะไรไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ฉีฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉีฉีมองเห็นรุ่นพี่กำลังยิ้มและมองมาที่เธอด้วยแววตาเป็นประกาย
สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรัก ทำให้ฉีฉีทนมองไม่ได้จึงรีบก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว อย่าจ้องไปยังใบหน้าของรุ่นพี่เด็ดขาด
ฉีฉีมองความเป็นปรปักษ์ของเย่ชูวเสวียที่มีต่อรุ่นพี่ออก ถ้ารุ่นพี่ยังอยู่ ต้องถูกทำให้ลำบากใจแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงตัดสินเอ่ยออกไปว่า “รุ่นพี่คะ คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ วันหยุดนี้ที่เสียทิ้งไปเปล่าๆ ไว้มีเวลาว่างฉันจะชดเชยให้อย่างแน่นอน”
รุ่นพี่ส่ายหน้าอย่างไม่แยแส “ฉันไม่เป็นไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนฉันก็จะไปด้วยไม่ต้องเกรงใจ และอีกอย่างเธอยังอยู่ ถ้าหากว่าออกไปแล้ว นั้นแหละคือสิ่งที่ฉันโหยหา”
ฉีฉีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคถัดไป “แต่ฉันไม่อยากให้คุณถูกโจมตี”
รุ่นพี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “วางใจได้ พวกเขาไม่โจมตีฉันหรอก เวลานี้เกรงว่ายังต้องรักษาระยะห่างจากฉันไว้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เธอเข้าใจผิด ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน ที่พวกเขาทำได้มากที่สุดก็แค่ปากเก่ง คงไม่ทำร้ายฉันหรอก”
รุ่นพี่มั่นใจ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถูกควบคุมไว้แล้ว
แต่ฉีฉีรู้จักเย่ชูวเสวียดี เธอเป็นคนโผผาง ถ้าหากใครยั่วโมโหเธอ เธอก็จะใช้วิธีที่ตรงไปตรงมา วิธีดั่งเดิมที่เขาต้องจ่าย
เห็นได้ชัดว่ารุ่นพี่ได้แตะเกล็ดใต้คอมังกรเข้าซะแล้ว
ฉีฉีเอ่ยถาม “รุ่นพี่คะพวกเพื่อนๆของฉัน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”
“เปล่า พวกเขาเพียงแต่ตามสืบประวัติฉัน ไม่ต้องเป็นกังวล”
“พวกเขาเป็นคนดี แต่บางทีก็ปากร้ายไปหน่อย แต่ไม่ใช่คนเลว ที่ตรวจสอบคุณก็เพียงแค่กังวลว่าฉันจะถูกหลอก”
เรื่องนี้ รุ่นพี่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เพียงแต่ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มที่มองแทบไม่เห็น
“โอ้ แล้วก็เรื่องคุณพ่อคุณแม่ฉัน ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยโกหกให้”
รุ่นพี่ถอนหายใจ พูดขึ้นอย่างผิดหวัง “อืม ฉันหวังว่าเรื่องที่ฉันโกหกจะกลายเป็นจริงในสักวัน และไม่ต้องใช้คำโกหกเพื่อปลอบตัวเอง”
ฉีฉีรู้ รุ่นพี่กำลังรอคำสัญญาจากตนเอง
แต่เวลานี้เธอไม่อาจให้คำสัญญาใดๆได้ เพียงแค่ก้มหน้าลง แล้วเอ่ยว่า “รุ่นพี่ ฉันขอ…”
“อย่าพูดว่าขอโทษอีก เธอสัญญากับฉันว่าจะไม่พูดคำนี้อีก”
“ค่ะ ฉันจะไม่พูด”
เห็นได้ชัดว่าฉีฉีไม่อาจให้คำมั่นสัญญาได้ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าท่าทางของเธอ ราวกับว่าความรู้สึกผิดยิ่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้รุ่นพี่รู้ว่าต้องทำเช่นไร
รุ่นพี่เอื้อมมือไปลูบศีรษะของฉีฉี แล้วพูดว่า “เธอน่ะอย่าฝืนตัวเอง ทำตามใจตัวเองบ้าง อย่าจมอยู่กับความเสียใจเรื่องอื่นๆก็ปล่อยมันไปซะ”
“อืม”
“งั้นเธอก็ไปเก็บของเถอะ ฉันจะไปก่อน รอให้เธอเก็บของให้เรียบร้อย ฉันจะพาเธอไปทานข้าวอร่อยๆที่ร้านอาหารแถวนี้”
ฉีฉีฝืนยิ้ม แล้วพยักหน้า “ค่ะ”
วันต่อมา——
ฉีฉีปรากฎตัวมาที่ห้องมู่ยู่วฉีตามที่รับปากไว้ มองไปยังคนที่นอนหมดสติอยู่ตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง จากที่ไกลๆ และในบรรดาเสียงเหล่านั้นคือเสียงรองเท้าส้นสูงของผู้หญิง
ฉีฉีเช็ดน้ำตาที่หางตา ลุกขึ้นแล้วหันไปข้างหลังด้วยสีหน้านิ่งสงบ
เย่ชูวเสวียมองเข้าไปในห้องผู้ป่วยก่อนเป็นอันดับแรก ไม่เห็นไอ้คนน่ารำคาญคนนั้น สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เธอมาเองเหรอ?”
“เปล่า รุ่นพี่รออยู่ข้างนอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเย่ชูวเสวียก็เย็นลง
“หึ เขาทำอย่างที่พูดไว้”
เมื่อเห็นท่าทีของเย่ชูวเสวียที่มีต่รอรุ่นพี่ ฉีฉีก็รีบเอ่ยขึ้น “ชูวเสวีย รุ่นพี่เป็นคนดีเขาช่วยเหลือฉันไว้มาก ฉันไม่อยากให้พวกเธอทั้งคู่ต้องเข้าใจกัน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด มันคือการหลอกลวง ผู้ชายคนนั้นเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะ มีแค่เธอที่ยังคิดว่าเขาเป็นคนดี!”
เมื่อเห็นว่าเย่ชูวเสวียยืนกรานในความคิดของตัวเอง ฉีฉีคิดว่าตนเองคงไม่สามารถเสวนากับเธอได้อีกต่อไป
เซี่ยอันน่ามองไปยังฉีฉีที่ทำอะไรไม่ถูก และมองไปยังเย่ชูวเสวียที่กำลังบ่นพึมพำ ก็ถอนหายใจออกมา “เอาละชูวเสวีย ความรู้สึกของเรื่องนี้จะร้อนหรือเย็นฉีฉีรับรู้ได้ก็พอแล้ว ในฐานะเพื่อนเราคอยอวยพรให้เธอเงียบๆก็พอ”
“ถึงเธอจะถูกหลอกงั้นเหรอ?”
“ถึงจะถูกหลอก เธอก็เต็มใจเอง”
เมื่อได้ยินทั้งสองคนเอาแต่พูดคำว่าหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา ฉีฉีก็ขมวดคิ้ว
“พวกเธอเอาแต่พูดว่ารุ่นพี่หลอกฉันก็ต้องมีหลักฐาน ถ้าไม่มี งั้นก็เป็นแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
เย่ชูวเสวียชี้มาที่ดวงตาของตนเอง “นี่ยังต้องใช้หลักฐานอีกเหรอ? แค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้ว เขามีแผนบางอย่างอยู่แน่ๆ”
“แผนของรุ่นพี่ ก็คืออยากให้ฉันเป็นแฟนเขาจริงๆ เพียงแค่ตอนนี้ฉันยังทำไม่ได้”
เมื่อเห็นว่าฉีฉีออกตัวแทนรุ่นพี่ เย่ชูวเสวียยิ่งโมโหมากขึ้น “ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็ไม่ควรไปรับปากกับเขา คนที่เธอต้องสนใจคือมู่ยู่วฉี มู่ยู่วฉีกลายเป็นแบบนี้เพราะเธอ เธอไม่ต้องรับผิดชอบเขางั้นเหรอ?”
หันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ฉีฉีรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา พูดออกไปเบาๆ “ฉัน…ฉันจะตั้งใจดูแลมู่ยูวฉี ส่วนเรื่องอื่น…”
เย่ชูวเสวียรอคำพูดประโยคสุดท้ายของฉีฉี แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไรต่อ เห็นได้ว่าฉีฉีไม่อยากคืนดีกับมู่ยู่วฉี
สิ่งนี้ทำให้เย่ชูวเสวียโกรธมาก ไม่สนว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในโรงพยาบาลหรือไม่ก็ตาม เธอจับไหล่ฉีฉี แล้วตะคอกเสียงดัง “งั้นเวลาทั้งหมดนี้ เธอกำลังหลอกมู่ยู่วฉีอยู่ใช่ไหม? ฉีฉีเธอเลือดเย็นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นั้นคือมู่ยู่วฉีนะ มู่ยู่วฉีที่รักเธอเข้ากระดูก เธอจะทำแบบนี้กับเขาไม่ได้!”
เย่ชูวเสวียพูดพลางเขย่าไหล่ของฉีฉีไปด้วย หวังเรียกผู้หญิงคนนี้ที่มั่วแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ได้สติ
เซี่ยอันน่าห้ามเย่ชูวเสวียเอาไว้ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “เอาล่ะชูวเสวีย อย่าบีบบังคับเธอ ให้ฉีฉีคิดเอง”
“คิดเอง? ตอนนี้ในสมองเธอมีแต่นายรุ่นพี่คนนั้น ยังจะคิดอะไรได้อีก! ฉันไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายคนนั้นเอายาเสน่ห์ให้เธอกินหรือเปล่า!”
เสียงทะเลาะกัน ทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมา เซี่ยออันน่าต้องการให้คลี่คลายลง แต่กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
และลำบากใจนี้ ก็ถูกคนบางคนทำลายลง
“เอะอะเสียงดังอะไรกัน?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนต่างมองไปที่ประตูทันที ความโกรธถูกระงับลงอย่างไม่รู้ตัว
“พี่อีเหยา”
ต้วนอีเหยาเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย สีหน้าแขร็งแกร่งมองไปที่ยังทุกคน ในที่สุดสายตาก็หยุดลงที่ฉีฉี ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฉีฉีไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ฉีฉีไม่ได้เจอกับต้วนอีเหยามาสักระยะหนึ่งแล้ว ท้องของต้วนอีเหยานู้นขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอกำลังตั้งครรภ์
ฉีฉียิ้มแล้วถามขึ้น “พี่อีเหยา พี่ตั้งท้องเหรอคะ?”
“เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ เธอ…ดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
ไม่ต้องให้ต้วนอีเหยาพูด ฉีฉีก็รู้ตัวว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอแย่แค่ไหน
เมื่อหันไปมองมู่ยู่วฉี ในสายตาของฉีฉีมีแต่ความเจ็บปวด
ต้วนอีเหยาเข้าใจความกังวลของฉีฉีในทันที “เธออย่าเพิ่งเป็นกังวลไปเลย คุณหมอบอกว่า…”
“คุณหมอบอกว่า ตราบใดที่คนในครอบครัวมาอยู่เป็นเพื่อนอย่างเอาใจใส่ จะต้องมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นแน่นอน มีฉีฉีอยู่ที่นี่ด้วย เธอจะสร้างปาฎิหาริย์ได้แน่ๆ”
ก่อนที่ต้วนอีเหยาจะพูดจบ เซี่ยอันน่าก็ขัดจังหวะขึ้นมา พูดส่วนที่เหลือจนจบ
และเย่ชูวเสวียที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ขยิบตาให้ต้วนอีเหยาเป็นระยะๆ
ความสนใจของฉีฉีทั้งหมดตกอยู่ที่มู่ยู่วฉี ไม่ทันได้สังเกตความเคลื่อนไหวเล็กๆของเย่ชูวเสวีย
ต้วนอีเหยาเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
เซี่ยอันน่าหันกลับมายิ้มให้ฉีฉี “เอาล่ะ เราไปก่อนนะ ปล่อยให้ฉีฉีอยู่ที่นี่”
“อืม ก็ได้”
เมื่อทุกคนออกไปจากห้อง ห้องผู้ป่วยก็เงียบลงทันที เหลือเพียงแค่เสียงเครื่องช่วยหายใจของมู่ยู่วฉี ยิ่งทำให้บรรยากาศเยือกเย็นและน่าเบื่อขึ้น
ฉีฉีนั่งลงข้างๆ เตียงของมู่ยู่วฉี กุมมือใหญ่และเย็นของเขาขึ้นมา แล้วค่อยๆประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ
เธออยากมอบความอบอุ่นให้แก่มู่ยู่วฉี แต่ร่างกายเขาเย็นเกินไปราวกับก้อนน้ำแข็ง ไม่ว่าฉีฉีจะพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่อาจถ่ายทอดอุณหภูมิผ่านไปได้
ท่าทางไร้ซึ้งเรี่ยวแรงแบบนั้น ทำให้ฉีฉีร้องไห้ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
น้ำตาหยดลงมากระทบหลังมือของมู่ยู่วฉี ฉีฉีพูดพลางสะอื้น “พวกเขาบอกว่าฉันทำผิด คุณไม่คิดว่าเป็นความผิดของฉันเหรอ? คุณคิดอย่างนั้นแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันคุณก็คงไม่ต้องมานอนอยู่ที่นี่ มู่ยู่วฉี คุณต้องเกลียดฉันมากแน่ๆ เพราะจุดเล็กๆอย่างฉัน ทิ้งจุดด่างพร้อยขนาดใหญ่ไว้ให้คุณ”
น้ำเสียงของฉีฉีดังอยู่ในห้องผู้ป่วย ก้องกังวาลไปในอากาศ
ฉีฉีกำลังพูดอยู่กับมู่ยู่วฉี แต่รออย่างไรก็ไม่มีคำตอบกลับมา หรือบางทีรอไปตลอดชีวิตนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ สิ่งนี้ทำให้ฉีฉีหมดความหวัง น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย
“มู่ยู่วฉี คุณตื่นขึ้นมาจะดีกว่านะ? ฉันขอร้องล่ะ ชีวิตของคุณไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพียงแค่คุณฟื้นขึ้นมา ฉันสัญญาว่าฉันจะเป็นแฟนคุณ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉีฉีก็ยิ้มอย่างขมขื่น
“หึ มันคงสายไปแล้ว ตอนนี้คุณคงเกลียดฉันแล้ว จะให้ฉันเป็นแฟนคุณได้ยังไง ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ มู่ยู่วฉีฉันทำให้คุณเกลียดขนาดนี้ คุณคงอยากให้ฉันอยู่ห่างจากคุณ แต่ฉันไม่อยากไป ฉันต้องรอให้คุณฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วฉันจะไปจากคุณเอง”
พูดอยู่เนิ่นนานแต่มู่ยู่วฉีกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ แววตาของฉีฉีค่อยๆหม่นลง
ฉีฉีหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป่า พลิกมันไปมาแล้วพูดว่า “ฉันหาเพลงที่คุณร้องเจอแล้วนะ คุณร้องได้แย่มาก ไม่ใกล้เคียงกับต้นฉบับเอาซะเลย ดังนั้นฉันจึงตั้งใจหาเพลงพิเศษนี้มาโดยเฉพาะ ให้คุณตั้งใจฟังดีๆนะ คุณและคนอื่นต่างกันมากมากแค่ไหน”
MANGA DISCUSSION