ไม่เพียงแค่นั้น จะปล่อยให้มู่ยู่วฉีพูดออกมาเองไม่ได้ เรื่องนี้ต้องคุยกับเขาล่วงหน้าก่อน อย่าให้หลุดปากพูดออกมา
เมื่อคิดเช่นนั้นในใจ เสี่ยวอวี้หลินก็กลับไปหามู่ยู่วฉีที่ห้อง
แต่เมื่อเข้าไปในห้อง กลับไม่เจอแม้ร่องรอยของมู่ยู่วฉี
“โธ่เอ๋ย คนไปไหนแล้วล่ะ?”
เสี่ยวอวี้หลินเดินออกมาจากห้องอย่างสงสัย ดึงพนักงานคนหนึ่งเข้ามาถาม “คนที่อยู่ในนี้เมื่อกี้ไปไหนแล้ว?”
“ออกไปแล้วครับ”
“ไปแล้ว?”
“ครับ ประมาณห้านาทีก่อน”
“แม่งเอ้ย!”
มู่ยู่วฉีดื่มไปเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ตอนนี้เขาเปรียบเสมือนระเบิดเวลา ต้องหาเขาให้เจอแล้วพากลับมา
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอวี้หลินกำลังจะก้าวออกไป พนักงานจึงรีบคว้าตัวไว้ทันที “คุณผู้ชายครับ บิลนี้รบกวนชำระเงินด้วยครับ”
ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย…
เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้พูดอะไร จากนั้นรูดบัตรแล้วรีบเดินออกไป
เมื่อออกมาจากร้าน เสี่ยวอวี้หลินพยายามติดต่อมู่ยู่วฉี
แต่โทรศัพท์มือถือของมู่ยู่วฉีปิดเครื่อง รถก็ยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถ อยากออกค้นหาเขา มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ในขณะที่เสี่ยวอวี้หลินกำลังหมดหนทาง ทางด้านมู่ยู่วหลินที่นั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว กำลังบินไปยังเมืองที่ฉีฉีอยู่เรียบร้อยแล้ว
มู่ยู่วฉีปวดหัวอย่างมาก มันขยายตัวขึ้น ราวกับกำลังจะระเบิด
ณ ตอนนี้ เขารู้สึกสับสน ไม่ชัดเจน แต่เพียงแค่รู้ว่าตัวเองต้องไปหาคนสำคัญคนหนึ่ง
เดินโซซัดโซเซมาที่ประตูบ้านของฉีฉี มู่ยู่วฉียกมือขึ้นเคาะประตู
ร่างกายไม่มีแรง มู่ยู่วฉียืนพิงกรอบประตู พลางพูดตะโกน “ฉีฉี ฉีฉีคุณมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้ ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ!”
“อย่าคิดว่าการไม่ส่งเสียงอะไรจะซ่อนตัวได้นะ คุณซ่อนตัวจากผมมานานขนาดนี้ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะมารบกวนคุณ คุณต้องออกมาจากกระดองเต่านั้นซะ ออกมา!”
“ยังไม่พูดอีกเหรอ? งั้นในเมื่อไม่ส่งเสียงอะไร ผมก็พูดอยู่แบบนี้แหละ”
มู่ยู่วฉีหลับตาลง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณน่ะ เป็นผู้หญิงที่โง่ที่สุดที่ผมเคยเจอมา โง่ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง คอยแต่ทำให้คนอื่นเป็นกังวลแทน แต่เรื่องที่คุณโง่สุดๆ ก็คือ คุณปฎิเสธผู้ชายดีๆอย่างผม คุณรู้ไหม พลาดจากผมไป คุณจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
“และอีกอย่าง คนที่อยู่ในสายตาคุณ จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีดีอะไร พลาดไปแล้ว แต่ถือว่าขยะนั้นเป็นสมบัติล่ำค่าแล้วกัน คุณคิดว่ารุ่นพี่ของคุณคนนั้นเป็นคนดีงั้นเหรอ? หึ! ไร้สาระเหมือนตดหมา! รอให้คุณได้ค้นพบความจริง คุณต้องร้องไห้แน่ๆ…”
มู่ยู่วฉีพูดยังไม่ทันจบ ก็มีคนเปิดประตูออกมาจากด้านใน
เมื่อประตูถูกเปิดออก มู่ยู่วฉีที่ร่างกายโอนเอนไปมา ก็เกือบล้มหัวคะมำ
ร่างกายทรงตัวไม่อยู่ มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ และตะโกนว่า “จะเปิดประตูทำไม่บอกกันก่อน..”
มู่ยู่วฉีกะพริบตา พบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ฉีฉี แต่กลับเป็นคุณพ่อและคุณแม่ของเธอ
พ่อแม่ของฉีฉีขมวดคิ้วจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ทำให้พวกเขาถึงขั้นต้องปิดจมูก
รวมถึงเรื่องไร้สาระที่เขาเพิ่งพูดไป ทำให้พ่อแม่ของฉีฉีมีความประทับใจแย่ๆเพิ่มมากขึ้น
เมื่อสมองได้สติขึ้นมาเล็กหน้อย มู่ยู่วฉีรู้ว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักหน่อยเพื่อกู้สถานะการณ์
“คุณลุงคุณป้า เมื่อกี้คือผมไม่ทันระวังเองแหละครับ”
“พฤติกรรมของคุณ ลามปามมากเกินไปนะ” พ่อแม่ของฉีฉีไม่สุภาพต่อเขาเช่นกัน พูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ลูกสาวของฉันได้ตัดสินใจแล้ว ทางเลือกของเธอ ไม่ใช่นาย”
“ผม…ผมรู้”
“ในเมื่อรู้แล้ว ก็อย่ามารบกวนชีวิตพวกเราที่นี่อีก ถึงเราจะเป็นแค่ครอบครัวเล็กๆ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้หรอกนะ!”
“แต่ผมอยากเจอกับฉีฉีเป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากคุยกับเธอ”
“ไม่จำเป็น ฉีฉีอยู่กับแฟน เธอมีความสุขมาก มันไม่สำคัญหรอกไม่จำเป็นต้องไปอธิบายกับเธออีก”
แฟน…
คำคำนี้ทำร้ายหัวใจของมู่ยู่วฉีอย่างมาก
เขาคิดว่าดื่มไปเยอะขนาดนี้คงทำให้ตัวเองไร้ความรู้สึกได้ แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ใดๆ
มู่ยู่วฉีไม่รู้ว่าเขาออกมาจากตรงนั้นได้อย่างไร เขาเหมือนศพเดินได้ เดินไปตามถนน
ทันใดนั้นมู่ยู่วฉีก็นึกขึ้นมาได้ ฉีฉีเคยบอกว่ารุ่นพี่คนนั้นได้รับบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล เช่นนั้นตอนนี้เธอคงจะอยู่ที่โรงพยาบาล?
เมื่อคิดเช่นนี้ มู่ยู่วฉีก็สั่งให้ลูกน้องไปตรวจสอบทันที ไม่นานก็รู้ว่ารุ่นพี่คนนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลไหน
ตอนนี้ รุ่นพี่ที่ได้รับบาดเจ็บ ตามร่างกายส่วนใหญ่ดีขึ้นมากแล้ว สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง
แต่เขายังมีท่าทีเกียจคร้าน นอนพิงหมอน และคำพูดที่ดูอ่อนแรง
รุ่นพี่ไม่ได้แกล้งป่วย เขาเพียงแค่ชอบเห็นเวลาที่ฉีฉียุ่งตัวเป็นเกลียวเพื่อตัวเอง
ความรู้สึกที่ได้เติมเต็มนั้น ทำให้คนเราพึงพอใจได้เสมอ
และฉีฉีไม่รู้สึกว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ช่วยปอกแอปเปิ้ลให้รุ่นพี่อย่างขยันขันแข็ง
หลังจากปอกแอปเปิ้ลเรียบร้อยแล้ว ฉีฉีก็ยื่นให้รุ่นพี่ “เสร็จแล้วค่ะ”
แต่รุ่นพี่กลับไม่รับแอปเปิ้ล แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันอยากกินชิ้นเล็กๆ”
“อ่อ”
ฉีฉีหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นเล็กๆ วางลงไปในจาน แล้วยื่นให้รุ่นพี่
แต่รุ่นพี่ก็ยังไม่รับ “ทำไมไม่มีส้อมล่ะ?”
“รอเดี๋ยวค่ะ”
ฉีฉีไปเอาส้อมมาหนึ่งอัน ปักไว้บนแอปเปิ้ล แล้วยื่นจานให้รุ่นพี่อีกครั้ง
รุ่นพี่มองไปรอบๆจาน พยายามหาข้อตำหนิ “แอปเปิ้ลนี้เละเทะเกินไป เห็นแล้วกินไม่ลง”
ฉีฉีที่ถือจานอยู่ครุ่นคิด จากนั้นก็ใช้น้ำสลัดบีบเป็นรูปตัวSลงไปบนแอปเปิ้ล
รุ่นพี่เพียงแค่แกล้งฉีฉีเล่น คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่อารมณ์เสียเลยแม้แต่นิด กลับพยายามทำให้ถูกใจตนเองในทุกทาง
รุ่นพี่ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ฉีฉี เธอดูอารมณ์ดีเกินไปนะ”
ฉีฉีที่กำลังบีบน้ำสลัด พูดขึ้นอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “เรื่องแค่นี้ ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น”
“เธอเป็นแบบนี้ จะถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆนะ”
ฉีฉียิ้ม “คุณก็พูดเกินไป หั่นแอปเปิ้ลเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับที่ต้องมีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพ”
เมื่อเห็นว่าฉีฉีมักพูดนอกประเด็น รุ่นพี่ก็ส่ายศีรษะ พูดอย่างปลงๆ “เฮ้อ เธอนี้โง่จริงๆ”
ในคำพูดของรุ่นพี่มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ แต่ฉีฉีไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เธอเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “คุณยังอยากกินอยู่หรือเปล่า แอปเปิ้ลดำหมดแล้ว”
รุ่นพี่ยื่นคอไปข้างหน้า “ป้อนฉันสิ”
“คำขอนี้มากเกินไป”
“รู้ว่าถึงต่อต้านไป ฉันคิดว่ายังไงเธอก็ต้องยอมทำมัน”
ฉีฉีถือจานอยู่จนเมื่อยมือ แต่รุ่นพี่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับมันไป
ฉีฉีดึงจานกลับมา จิ้มแอปเปิ้ลแล้วยัดเข้าปากตนเอง “เห็นว่าท่าทางคุณดีขึ้นมากคงไม่อยากกินแอปเปิ้ลแล้ว งั้นฉันกินมันเองแล้วกัน”
แอปเปิ้ลหวานมาก ฉีฉีค่อยๆรับประทานทีละชิ้น โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าแอปเปิ้ลที่ตกเป็นของตัวเอง ถูกคนอื่นเคี้ยว รุ่นพี่ถอนหายใจอย่างเศร้าๆ มองฉีฉีที่สีหน้าไร้เดียงสาและเคี้ยวอย่างกระหาย
สายตาของรุ่นพี่ที่มองอย่างไร้เดียงสา ทำให้ฉีฉีที่รับประทานอยู่คนเดียวรู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
ฉีฉีไม่มีทางเลือก เธอต้องคอยดูแลรุ่นพี่ “เอาล่ะๆ แบ่งให้ก็ได้”
รุ่นพี่รับแอปเปิ้ลมา แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อืม ท่าทางของเธอแบบนี้ถ้าคุณนอกมองเข้ามา คงคิดว่าเธอกำลังทารุณคนป่วยอยู่แน่ๆ”
ฉีฉีพยายามโต้เถียงด้วยเหตุผล “ไม่ใช่ เห็นอยู่ชัดๆว่าคุณไม่อยากกิน ฉันไม่อยากให้เสียของทิ้งไปเฉยๆ ก็แค่กินมันอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ไม่ใช่กำลังทรมานคนป่วยอยู่สักหน่อย”
“อ่อแบบนี้นี่เอง คำนี้ดูห่างเหินเกินไป ควรพูดว่าเธอกำลังทรมานแฟนของเธอ”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีชะงักงัน ตัวแข็งทื่อ
อากาศเงียบลงในทันใด บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา
อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นคนเริ่ม กลับไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด ยังคงกวักมือเรียกฉีฉี
“ฉีฉีนั่งลงสิ”
“ทำไม?”
“ก็มาว่ากินแอปเปิ้ลนะสิ ไม่งั้นจะให้กินเธอหรือไง?”
การหยอกล้อของรุ่นพี่ทำให้ฉีฉีทำอะไรไม่ถูก
“รุ่นพี่…”
รุ่นพี่ยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะๆ ไม่แกล้งแล้ว ฉันกระหายนิดหน่อยหนะ อยากกินแอปเปิ้ล”
ฉีฉีรู้จักกับรุ่นพี่มานาน เขาไม่ได้เป็นคนจริงจังเหมือนกับสีหน้าของเขา รุ่นพี่ชอบพูดหยอกล้อเสมอ บางครั้งก็ชอบแกล้งเล่น
แต่รุ่นพี่ก็จะคอยหาจังหวะดีๆ ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกลำบากใจ เช่นเดียวกับตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกรุ่นพี่เอาเปรียบ แต่รอยยิ้มของเขากลับบริสุทธิ์ ไม่มีทางเสแสร้งได้
ฉีฉีถอนหายใจเบาๆ
แต่เพียงแค่คิดว่าต้องใช้สมอง ฉีฉีก็รู้สึกเหนื่อยมากๆ และคิดว่าการรักษาสภาพที่เป็นอยู่นี่ก็ไม่เลวเท่าไหร่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉีฉีก็ยื่นแอปเปิ้ลให้รุ่นพี่อย่างว่านอนสอนง่าย อดทนต่อความยากลำบาก
七七的息事宁人,让学长有一种无力感。
ท่าทีพยายามอดกลั้นอ่อนข้อเพื่อให้เรื่องสงบลงของฉีฉี ทำให้รุ่นพี่เหมือนถูกดูดพละกำลังไป
ยัยเด็กคนนี้ เมื่อก่อนเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวา น้ำเสียงจีๆจาๆ ราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แต่ตอนนี้? อาการเซื่องซึม ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา จึงตัดสินใจใช้กลอุบายเล็กๆน้อยๆ ให้ฉีฉีดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
“เชื่อฟังแบบนี้ งั้นต้องให้ของขวัญตอบแทนแล้วล่ะ”
พูดแล้ว รุ่นพี่ก็จูบเบาๆ ลงไปที่หลังมือของเธอ
การกระทำของรุ่นพี่ ทำให้ฉีฉีตกตะลึง
“คุณ…”
ยังไม่ทันที่ฉีฉีจะพูดจบ รุ่นพี่ก็กระซิบที่ข้างหูเธอทันที ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “เขาอยู่ข้างนอก”
ประโยคนี้ทำให้ฉีฉีสั่นไปทั้งตัว
ปฎิกิริยาของฉีฉี ทำให้รุ่นพี่เป็นกังวลและไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
ตอนที่ยัยเด็กนี้อยู่กับตนเองบรรยากาศอึมครึมมาโดยตลอดไม่เคยมีปฎิกิริยาเช่นนี้ แต่เพียงแค่ได้ยินข่าวมู่ยู่วฉีเท่านั้น เธอก็ดูสดใสขึ้นมา
แม้ฉีฉีจะบอกว่าเธอไม่ได้สนใจมู่ยู่วฉี แต่การกระทำของเธอมากกว่าคำพูดเป็นพันคำ ในขณะนี้เธอกำลังขัดแย้งกับตัวเอง เธออยากเจอมู่ยู่วฉีจนแทบบ้า แต่กังวลว่าจะถูกจับได้
หรือว่า เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจหันกลับไปมอง?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ฉีฉีไม่อาจควบคุมมันได้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหันกลับไป เธออยากเห็นหน้ามู่ยู่วฉี
แต่ทันทีที่ฉีฉีขยับตัว ก็ถูกรุ่นพี่ห้ามเอาไว้
“อย่าหันกลับไป อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว”
ฉีฉีกำมือแน่น ร่างกายแข็งทื่อ
เมื่อเห็นว่าฉีฉีกำลังต่อต้านกับตัวเอง คิ้วของรุ่นพี่ก็ขมวดอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ฉีฉี ขยับเข้ามาใกล้หน่อย ซบลงที่ไหล่ของฉัน”
“ทำไม?”
“ทำแบบนี้ เพื่อทำให้เขายอมแพ้ไปในที่สุด ไม่ต้องมายุ่งกับเธออีก หมื่นพันคำพูดก็ไม่เท่ากับเห็นกับตาตัวเอง
ฉีฉีสับสนเล็กน้อย รุ่นพี่ไม่ได้บังคับเธอ เขารอมาตลอดรอจนกว่าฉีฉีจะยินยอมในที่สุดก็ซบลงบนไหล่ของรุ่นพี่
ไหล่จมลง รุ่นพี่รับรู้ได้ถึงน้ำหนักและความอบอุ่นของฉีฉี
แต่ในขณะนี้เขาไม่มีความสุขเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้น
ริมฝีปากของเขาสัมผัสไปบนเส้นผมของฉีฉีเบาๆ ร่างกายฉีฉีแข็งทื่อขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เธอยังคงรักษาตำแหน่งไว้ ไม่ได้ขยับหนี
รุ่นพี่มองไม่เห็นสีหน้าของฉีฉี แต่เขาเดาว่าตอนนี้ฉีฉีต้องกำลังอายมากแน่ๆ
เฮ้…
ไม่รู้ว่าผ่านไม่นานแค่ไหน รุ่นพี่ตบไหล่ฉีฉีเบาๆ “เอาล่ะ เขาไปแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีราวกับได้รับการนิรโทษกรรม รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที และแอบเช็ดที่ตรงหางตา
ฉีฉีไม่กล้าเงยหน้ามองรุ่นพี่ น้ำเสียงแหบแห้งพูดขึ้น “ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษทำไม?”
“ที่ใช้คุณเป็นโล่กำบัง”
“นี่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันหรอกเหรอ? ฉันรู้จักตัวเองดีว่าควรอยู่ตรงไหน”
รุ่นพี่พูดเยาะเย้ยตัวเอง เพื่อให้ฉีฉีไม่ต้องรู้สึกอาย ยิ่งเขารู้จักสถานะตัวเองดีเช่นนี้ ยิ่งทำให้ฉีฉีรู้สึกเป็นหนี้ตัวเองมากขึ้น ดูเหมือนว่าชีวิตนี้จะยังไม่มีความชัดเจน
“รุ่นพี่…จริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก”
รุ่นพี่ยิ้ม “เธอรู้ได้ยังไง ฉันบอกว่าฉันผิดเหรอ? ทำไมล่ะฉันมีความสุขไม่ได้เหรอ?”
“ถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือ ใครจะมีความสุข”
“ฉันไง ฉันมีความสุขจะตาย แลกกับการได้อยู่เป็นเพื่อนเธอ ฉันคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะต่อรอง”
ความอบอุ่นของรุ่นพี่ราวกับตาข่ายโปร่งแสง ฉีฉีติดกับอย่างแน่นหนา ไม่อาจดิ้นรนได้ ไม่มีทางหนีไปได้
ตอนแรกฉีฉียังต่อต้านได้ แต่ตอนนี้
ไม่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างหลังเธออีกต่อไป ฉีฉีหันไปมองรอบๆเพื่อดูอย่างไม่อาย มองไปยังทิศทางที่เขาเพิ่งจะจากไป
ต้องดูแลรุ่นพี่ให้ดี ฉีฉีลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย
ตอนที่กำลังเดินผ่านมุมมุมหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีฝ่ามือยื่นออกมา จับข้อมือของฉีฉีเอาไว้
“ช่วย…”
ทันทีที่ฉีฉีจะร้องตะโกน ปากก็ถูกใครบางคนปิดเอาไว้ จากนั้นก็ลากเธอเข้าไปยังมุมเล็กๆ
ชายคนนั้นเมามาก เสียงหายใจหอบหนัก ป้องกันฉีฉีไม่ยอมปล่อย
ฉีฉีหวาดกลัวอย่างมาก เธอคิดว่าตัวเองคงเจอกับพวกนักเลงเข้าแล้ว
เวลานี้ จะงอมืองอเท้ารอความตายไม่ได้ ต้องหาทางจัดการกับอีกฝ่าย
ฉีฉีดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่เมื่อคนที่อยู่ด้านหลังเรียกชื่อเบาๆ
“ฉีฉี…”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉีฉีถึงกับชะงักงัน
เขาคือ มู่ยู่วฉี!
เวลานี้ฉีฉีไม่อาจบอกได้ว่าตนเองรู้สึกเช่นไร เธออยากเจอมู่ยู่วฉี แต่ก็กลัวที่ต้องเห็นหน้าเขา
“นาย…ดื่มมาเหรอ?”
มู่ยู่วฉีไม่ได้ขยับ ราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะปล่อยฉีฉี เขาต้องการดูดซับความอบอุ่นจากเธอ
เป็นเวลาเนินนาน จากนั้นมู่ยู่วฉีจึงเปิดปากพูด ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เธอกับเขา คบกันจริงๆเหรอ?”
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก พูดออกไปโดยไม่ลังเล “ใช่”
มู่ยู่วฉียิ้มเยาะเย้ยตัวเอง “รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะถามอีก ถอดใจซะ ฉันกำลังทารุณตัวเองอยู่รึเปล่า?”
มู่ยู่วฉีดูไม่มีชีวิตชีวา ทำให้ฉีฉีทุกข์ใจอย่างมาก
เขาไม่ควรมีชีวิตแบบนี้!
ฉีฉีใจร้าย เธอใช้แรงทั้งหมดผละออกจากอ้อมกอดของมู่ยู่วฉีอย่างแรง มองเขาอย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “มู่ยู่วฉี ฉันมีแฟนแล้ว นายทำแบบนี้้มันมากเกินไป”
“แฟน?” มู่ยู่วฉีหัวเราะเยาะ “ก็แค่ผู้ชายที่หน้าไหว้หลังหลอก ทำไมคุณต้องเอามาเป็นแฟน? ฉีฉีสายตาเธอมีปัญหารึไง!”
“นายพูดใส่ร้ายเขา รุ่นพี่ไม่ใช่คนหน้าไหว้หลังหลอก”
“ไม่ใช่? หึ ฉันยังยืนยันคำนั้น ระวังรุ่นพี่ของเธอไว้ให้ดี!”
เจอกันคราวนี้ มู่ยู่วฉียังคิดจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับรุ่นพี่อีก ฉีฉีขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “ที่ต้องระวังตัวให้ดีคือตัวนายเองนั้นแหละ หลังจากนี้อย่ามาหาฉันอีก อย่ามารบกวนชีวิตของฉัน ให้เราทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
พูดจบ ฉีฉีก็หันหลังเดินจากไป
มู่ยู่วฉีมองตามแผ่นหลังของฉีฉี เขาอยากร้องเรียกเธอให้หยุด
แต่เมื่อเรียกฉีฉีแล้ว หลังจากนั้นล่ะ?
มู่ยู่วฉีระแวงรุ่นพี่ก็จริง แต่ก็เพียงแค่ความสงสัย และเขาไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ารุ่นพี่คนนี้วางหมากเกมเอาไว้
ไม่มีหลักฐาน ไม่ว่ามู่ยู่วฉีจะพูดอย่างไรฉีฉีก็คงไม่เชื่อ
หากฉีฉีไว้ใจมู่ยู่ฉีสักหน่อย ทั้งสองคนคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นตอนนี้
และกับรุ่นพี่ที่ค่อนข้างอธิบายยากคนนั้น มู่ยู่วฉียิ่งสนใจฉีฉีมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าท่าทีของฉีฉีทำร้ายหัวใจของมู่ยู่วฉี
ทางด้านฉีฉี เธอซ่อนตัวอยู่ในมุมตัวคนเดียว โอบกอดตัวเองไว้แน่น ร้องไห้อยู่เงียบๆคนเดียว
รู้อยู่แล้วว่ามู่ยู่วฉีไม่ใช่คนรักของตน แต่กลับยังไหวหวั่นโง่ๆ สุดท้ายก็ถูกทำให้สะบักสะบอมทั้งตัว ทำไมกันนะ?
ให้มีสติ ฉีฉีบอกตั้วเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องปล่อยเขาไป กลับมาเป็นฉีฉีที่ไร้เดียงสาและมีความสุขคนเดิม
แต่ในความเป็นจริง ฉีฉีรู้สึกว่าทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด เธอในตอนนี้เป็นแค่คนตายเดินได้ ไม่มีจิตวิญญาณ
ฉีฉีทำอะไรไม่ถูก เธอค้นพบว่าตนเองไม่อาจควบคุมหัวใจของตนเองได้เลย ยังมีอะไรเศร้าไปกว่านี้อีกไหม?
ฉีฉีมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีฟ้าว่างเปล่า
เธอกำลังคิดว่า บางทีในอนาคตเธอคงไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสดใสอีกแล้ว ความทรงจำดีๆทั้งหมด ถูกผนึกไว้กับคนคนนั้นในฤดูใบไม้ร่วง
……
รุ่นพี่เห็นว่าท่าทางของฉีฉีมีบางอย่างผิดปกติไป แต่เขาไม่ได้เอ่ยถามอะไร แต่ตั้งใจที่จะทำให้เธอมีความสุข จึงหันเหความสนใจของเธอ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน วิธีมากมายนี้คงส่งผลไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้ ไม่ว่ารุ่นพี่จะเล่าเรื่องตลกๆแค่ไหน ท่าทีของฉีฉีก็ยังสงบนิ่ง แม้ว่าบางครั้งยังมีงุนงงจนยากจะเข้าใจ
ตอนนี้รุ่นพี่เห็นว่าฉีฉีตกอยู่ในความงุนงงอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
รุ่นพี่เอื่อมมือไปจับมือฉีฉีที่อยู่ตรงหน้า “ที่ฉันพูดไป มันไม่น่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ฉีฉีได้สติขึ้นมาทันที ด้วยสีหน้ามึนงง “โอ้ โทษทีค่ะ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่อยเปื่อย”
“อ่อ”
คำตอบง่ายๆ ฉีฉีก้มหน้าลง เล่นกับดอกไม้ปลอมที่อยู่ในมือ
“ฉีฉี เธอ…”
รุ่นพี่อยากพูดอะไรบางอย่างกับฉีฉี แต่โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“โทษทีนะคะ ฉันขอรับโทรศัพท์ก่อน”
ฉีฉีวางดอกไม้ปลอมลง แล้วกดรับสายโทรศัพท์
“ฉีฉี เธอรีบมาเร็วเข้า มู่ยู่วฉีจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว!”
เสียงจากปลายสายตื่นตะหนกและสั่นเครือ หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ ฟังไม่ออกด้วยซ้ำมาเป็นเสียงของเซี่ยอันน่า
ฉีฉีงุนงงเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “อันน่า แกพูดว่าอะไรนะ?”
“รถของมู่ยู่วฉีประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมือง บาดเจ็บสาหัส”
“รถ รถชน?”
“ใช่ เมื่อคืนมู่ยู่วฉีดื่มหนักมากแต่ก็ยังจะขับรถ เป็นผลทำให้ถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่ชนท้ายเข้าอย่างจัง รถพังทั้งคัน ตอนนี้คนอยู่ในห้องผ่าตัดจะเป็นตายยังไงยังไม่รู้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของฉีฉีก็ซีดเผือด นิ้วมืออ่อนแรง โทรศัพท์มือถือร่วงตกลงพื้น
“ฮัลโหว ฉีฉี ตกลงแกจะมาหรือไม่มา…”
เสียงของเซี่ยอันน่ายังคงดังอยู่ในไมโครโฟน แต่ฉีฉีไม่ได้ยินอีกต่อไป เธอล่องลอยและหวาดกลัว มองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า
พฤติกรรมของฉีฉี ทำให้คนที่เห็นเป็นกังวลขึ้นมา รุ่นพี่ขมวดคิ้วแน่น “ฉีฉี เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉีฉีไร้ซึ่งการตอบสนอง เธองุนงงราวกับตุ๊กตาที่ไร้วิญญาณ
“ฉีฉี!”
รุ่นพี่ตะโกนเรียกชื่อฉีฉี พร้อมกับบีบมือของเธอ แล้วจ้องมองไปที่ดวงตาทั้งสองข้าง
เป็นจุดโฟกัสในสายตาของเธอ ฉีฉีเมื่อมองเห็นคนตรงหน้า น้ำตาก็ไหลพรากลงมา
เขากอดฉีฉีไว้ในอ้อมแขน รุ่นพี่เกิดความประหม่าขึ้นมา น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้น “เอาล่ะ บอกฉันก่อน เกิดอะไรขึ้น?”
ริมฝีปากของฉีฉีขยับ ราวกับว่าเพิ่งค้นหาเสียงของตนเองเจอ
“มู่ยู่วฉีประสบอุบัติเหตุร้ายแรง จะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้”
คำตอบบนี้ทำให้สายตาของรุ่นพี่ลู่ต่ำลง
“งั้นตอนนี้เธอคิดจะทำยังไงต่อไป?”
“ฉัน?” สีหน้าของฉีฉีหม่นลงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ “ต้องจะไปหาเขาที่โรงพยาบาล”
“เธอไปแล้วมันเปลี่ยนแปลงอะไรได้งั้นเหรอ?”
“แต่ฉันก็ได้อยู่กับเขา เพียงแค่ได้ไปเยี่ยมเขาก็พอแล้ว”
“แล้วมู่ยู่วฉีอยากให้เธอไม่อยู่เป็นเพื่อนไหม?”
คำถามนี้ทำให้ฉีฉีชะงักไป
ใช่ มู่ยู่วฉียังต้องการตัวเธออยู่หรือเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พูดให้เขาเจ็บปวด เขาคงผิดหวังกับเธอมากแน่ๆ
เมื่อคิดว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปเยี่ยมมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นว่าฉีฉีน้ำตาไหลอาบหน้า รุ่นพี่ก็กุมมือเธอแน่นขึ้น
แต่สิ่งที่เขาพูด กลับทำให้ฉีฉีราวกับตกลงไปในเหวลึก
“ฉันคิดว่าที่มู่ยู่วฉีประสบอุบัติเหตุ ต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับเธอ เกือบตายขนาดนี้มู่ยู่วฉีคงไม่ได้อภัยเธออีก และครอบครัวของเขาก็คงไม่ต้อนรับเธอ”
ใช่ มู่ยู่วฉีดื่มหนักตั้งแต่เมื่อคืน ตัวเองไม่เพียงแต่ไม่คิดไตร่ตรองให้ดี กลับพุ่งเป้าไปที่เขาทุกอย่าง ทำให้เขาอกหักเสียใจ
และมู่ยู่วฉีก็ดื่มจนเมา ก็อาจจะเป็นไปได้
และก็เพื่อตัวเอง ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นฆาตกรตัวจริง ใช่ไหม?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉีฉีหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง เสียใจกับการกระทำที่ได้ทำลงไป
รุ่นพี่จับแขนของฉีฉี จ้องมองไปที่เธอ “ก็ดีแล้วฉีฉี เรื่องนี้เธอไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป มู่ยู่วฉีได้รับบาดเจ็บ ก็คงมีคุณหมอเก่งๆมากมายมาทำการรักษาเขา ตอนนี้เธอเองก็ต้องได้รับการรักษา”
ฉีฉีมองไปที่รุ่นพี่อย่างว่างเปล่า พูดพึมพำ “ฉันเหรอ?”
“ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องเลิกรากับมู่ยู่วฉีอย่างจริงจังแล้ว เธอพร้อมหรือยัง?”
เวลานี้ ฉีฉีต้องตัดความสัมพันธ์อย่างไร? โทษตัวเองทุกอย่างก็คงสายเกินไปแล้ว
แต่นอกจากจะโทษว่าเป็นตัวผิดของตัวเอง เธอยังทำอะไรได้อีก?
พูดอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่าไหม คนชั่วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
ฉีฉีเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ด้วยแววตาขุ่นมัว พูดขึ้น “ค่ะ”
เพียงแค่คำคำเดียว แต่ราวกับว่าพลังทั้งหมดของฉีฉีหมดลง
เธออยากร้องไห้ออกมา แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้ร้องไห้
เธอเป็นหญิงสารเลว ผู้หญิงเลวคนนี้ควรยืนดูคนอื่นร้องไห้ แล้วตัวเองหัวเราะ ไม่ใช่เหรอ?
เมื่อภายในใจคิดอย่างนั้น ฉีฉียิ้มออกมา
แต่รอยยิ้มของเธอ กลับทำให้รุ่นพี่เจ็บปวดใจอย่างมาก
เขายื่นมือเข้าไปสัมผัสที่ใบหน้าของฉีฉี “อย่ายิ้ม”
“ทำไมไม่ให้ยิ้ม ฉันทำสำเร็จแล้ว มู่ยู่วฉี หลังจากนี้มาอย่างยุ่งเกี่ยวกับฉันอีกเลย”
ฉีฉีฉีกยิ้มเพิ่มขึ้นอีก แต่หยดน้ำตาที่หางตาก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เหตุใดจึงหยุดมันไม่ได้
“ฉีฉี…”
รุ่นพี่อยากเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ฉีฉีโบกมือห้ามเอาไว้ หันหลังแล้วเดินจากไป
การแสดงออกของฉีฉียังดูมีสติสัมปชัญญะ แต่บางครั้งเธอกลับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย
เมื่ออยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ ทำได้แค่แสร้งทำเป็นพูดดูดีมีเหตุผล
แต่ค่ำคืนที่ดึกสงัด เธอกลับหักห้ามความกังวลในใจไว้ไม่ได้ ยิ่งดึกยิ่งอยากเห็นหน้ามู่ยู่วฉี
โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งฝันร้ายไป ฉีฉียิ่งต้องการไปหามู่ยู่วฉีมากขึ้น
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ฉีฉีย่องออกจากห้อง สะพายกระเป๋าแล้วเดินทางไปยังป้ายรถเมล์
ฉีฉีเตรียมตัวจะขึ้นรถเมล์เที่ยวแรกเพื่อออกเดินทาง แต่ที่เมื่อไปถึงป้ายรถเมล์เธอกลับพบแผ่นหลังของใครบางคนที่ไม่สมควรอยู่ที่นี่
“รุ่นพี่?”
รุ่นพี่หันกลับมายิ้มให้ฉีฉี และไม่ได้พูดอะไร
แต่ฉีฉีกลับรู้สึกผิดอย่างมาก
เมื่อวันก่อนยังสาบานอย่างน่าเชื่อถืออยู่แท้ๆ แต่พอหันหลังก็ผิดคำพูด นี่คืออะไร?
ฉีฉีก้มหน้าลง ไม่กล้ามองรุ่นพี่ นิ้วมือเย็นเฉียบ
รุ่นพี่เดินอยู่ด้านหน้าฉีฉีด้วยสีหน้าเรียบเฉย แผ่นหลังอันอบอุ่นและอ่อนโยน
“ยังไม่ได้กินข้าวเช้าสินะ ให้”
พูดแล้ว รุ่นพี่ก็ยื่นน้ำเต้าหู้และซาลาเปาให้ฉีฉี
แต่ฉีฉีกลับไม่รับไว้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ปกปิดความอับอายในแววตา
“ทำไม ไม่ชอบเหรอ? งั้นเธอชอบกินอะไร ฉันจะพาเธอไป”
“รุ่นพี่!” จู่ๆ ฉีฉีก็พูดขึ้นมา น้ำเสียงแหบแห้ง “คุณอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะค่ะ ฉันรู้ ฉันทำให้คุณผิดหวัง ฉันโกหกคุณ อันที่จริงฉันอยากเจอหน้ามู่ยู่วฉีมากๆ อยากเจอเขาจนจะเป็นบ้า ตอนนี้ฉันกำลังจะเข้าไปที่ตัวเมือง คุณจะหัวเราะฉันก็ได้ จะล้อฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ”
เมื่อเห็นการตัดสินใจเด็ดขาดของฉีฉี รุ่นพี่ก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ “คุ้มค่าแล้วใช่ไหม?”
“คุ้มค่ะ”
“ก็ดี งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเธอ”
คำพูดของรุ่นพี่ทำเอาฉีฉีไม่เชื่อหูตัวเอง
“คุณ… ไม่ห้ามฉันเหรอ?”
“ในเมื่อตัดสินใจดีแล้ว ฉันพูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ สู่ให้เธอได้สมดั่งใจดีกว่า”
“แต่ คุณก็ยังบาดเจ็บไม่หายดี”
รุ่นพี่ยกแขนตัวเองขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่เธอดูแลฉันเกือบหายดีแล้วเแหละ ขอเพียงแต่เธอไม่ไปพยายามหามู่ยู่วฉีอย่างสุดชีวิต ก็ไม่มีปัญญาอะไร”
ในเมื่อรุ่นพี่มีน้ำใจเช่นนี้ ทำให้ฉีฉีรู้สึกละอายใจขึ้นมา
พูดตามตรง เธออยากให้รุ่นพี่ชี้หน้าด่าเธอดีกว่า จะได้ไม่ต้องทนกับความรักความเมตตาเช่นนี้
ความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากเกินไป ฉีฉีไม่มีทางตอบแทนได้ เธอไม่รู้ว่าจะตอบแทนได้อย่างไร
ฉีฉีเม้มริมฝีปาก เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ฉันขอโทษ เป็นฉันที่ทำให้คุณผิดหวัง”
รุ่นพี่ไม่ได้มีท่าทีใดๆ เพียงแค่เอื้อมมือไปลูบผมฉีฉี แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เธอเป็นคนจิตใจดี ที่เธอทำแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร และที่ผ่านมาเพียงแค่ล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร”
ในความเป็นจริงแล้ว ในใจของฉีฉีไม่เคยคิดเช่นนั้น แต่เธอกลับไม่ได้อธิบายออกไป
ทั้งสองออกเดินทางไปยังตัวเมือง เมื่อเดินทางมาจนถึง ก็รีบไปโรงพยาบาลที่มู่ยู่วฉีรักษาตัวอยู่
เมื่อต้องการสอบถามว่ามู่ยู่วฉีอยู่ห้องไหนนั้น กลับไม่ใช่เรื่องยาก
แต่มันกลับเป็นความลับสุดยอดเป็นพื้นที่ส่วนตัว จึงค่อนข้างยุ่งยาก
รุ่นพี่หมดปัญญา แต่ในที่สุดก็คิดวิธีขึ้นมาได้กะจะบอกกับฉีฉีได้รู้ แต่พบว่าฉีฉีกำลังเหม่อลอย
เขายื่นมือไปโบกไปมาตรงหน้าฉีฉี “เฮ้ เธอคิดอะไรอยู่?”
แววตาของฉีฉีจ้องมองไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “มู่ยู่วฉี อยู่ในห้องนั้น”
รุ่นพี่หันกลับไปมอง พบว่าห้องผู้ป่วยถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา เมื่อมองเข้าไปด้านในไม่เห็นใครสักคน
แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ดวงตาของฉีฉีกลับเต็มไปด้วยความลึกซึ้งและแรงปรารถนา
รุ่นพี่ขมวดคิ้วอย่างรู้ทัน “ฉันรู้ว่าเธออยากเจอเขามาก แต่เธอต้องบอกวิธีในใจของเธอกับฉัน จะได้ไม่ถูกคนอื่นจับพิรุธได้”
“พิรุธ?” น้ำเสียงของฉีฉีขาดช่วงไป จากนั้นส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “ฉันไม่เข้าไปหรอก เพียงแค่มองดูอยู่ตรงนี้จากไกลๆก็พอแล้ว”
“เธออย่าเป็นกังวลไปเลย ฉันมีวิธีที่จะทำให้เธอเข้าไปได้”
“แต่ ฉันไม่อยากไปจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของฉีฉี รุ่นพี่ก็ไม่ดันทุรัง เขารู้ ฉีฉีจริงจัง
“แต่เธอก็มาแล้ว ไม่อยากเจอเขาเหรอ?”
ฉีฉีส่ายหัว “ไม่ค่ะ ฉันเพียงแค่รับรู้ว่าเขายังมีลมหายใจก็พอแล้ว ให้ไปเจอเขา…ลืมมันไปซะเถอะ เขาคงไม่อยากเจอฉันหรอก”
พูดแล้ว ฉีฉีก็มองไปยังทิศทางของมู่ยู่วฉีด้วยแววตาลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นหันหลังแล้วจากออกมา
แต่เพียงแค่เดินมาถึงหน้าประตูลิฟท์ ฉีฉีก็บังเอิญชนเข้ากับคนสองคนอย่างจัง
“ฉีฉี?”
เมื่อเห็นฉีฉี ทั้งเย่ชูวเสวียและหนานกงเจาต่างประหลาดใจ
ฉีฉีชะงักไปชั่วครู่ สายตาเลื่อนลอย เอ่ยถามขึ้น “พวกคุณ…มาที่ที่กันหมดเลยเหรอ”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำบ่น แต่สุดท้ายกลับปกคลุมไปด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องที่เกิดขึ้น เราไม่มาก็ได้ไหม มู่ยู่วฉีรนหาที่ตาย เมาแล้วยังจะขับรถ แขนขาดขาขาดก็ยังน้อยไปสำหรับเขา!”
พูดจบ เย่ชูวเสวียเพิ่งจะพบว่ามีใครบางคนยืนอยู่ข้างๆฉีฉี
“เฮ้ คนนี้ใช่รุ่นพี่ใช่ไหม?”
ฉีฉีคิดไม่ถึงว่าเย่ชูวเสวียจะรู้จักกับรุ่นพี่ เอ่ยถามว่า “พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอ?”
“เอ่อ…ไม่รู้จักหรอก เธอเคยเอารูปเขาให้ฉันดู”
“เคยด้วยเหรอ?”
ฉีฉีนึกย้อนกลับไป คิดว่าตนเองไม่เคยเอารูปรุ่นพี่ให้เย่ชูวเสวียดูเลยสักครั้ง
แต่เย่ชูวเสวียยังคงยืนกราน พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เคยสิ เธอคงเรียนหนักเกินไป เรื่องเล็กๆน้อยแบบนี้คงไม่ได้ใส่ใจ”
“นี่…”
“เอาเถอะ ในเมื่อทุกคนก็มาที่นี่แล้ว เข้าไปข้างในเถอะ เฮ้ ลืมไปเลย เธออย่าเพิ่งไปดูเลยดีกว่า ตอนนี้สภาพของมู่ยู่วฉีไม่เหมือนคนเลยสักนิด เธอเห็นแล้ว อาจจะรับไม่ได้”
เมื่อพูดถึงมู่ยู่วฉี ใบหน้าของเย่ชูวเสวียก็เคร่งขรึมขึ้นมา แล้วถอนหายใจ
“เขา…ร้ายแรงมากเลยเหรอ?”
“ตอนนี้เขายังไม่ฟื้น มีเลือดคลั่งอยู่ในสมอง มีแนวโน้มอย่างมากที่จะอยู่ในสภาวะผัก ที่เธอพูดว่าร้ายแรงไหม อวัยวะภายในแทบไม่มีชิ้นดีเลย หมอบอกว่าเขาไม่ตายคาที ก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่ชูวเสวียพูด ฉีฉีรับรู้เพียงแค่ว่าโลกกำลังหมุน
เซี่ยอันน่าไม่ได้พูดอย่างชัดเจนทางโทรศัพท์ ฉีฉีก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นมู่ยู่วฉี
ตอนนี้เมื่อได้ยินกับหูตนเอง ทั้งมือทั้งเท้าชาไปหมด ม่านตาบีบแคบลง
“ทำไมเป็นแบบนี้…”
หนานกงเจามองไปที่ฉีฉี พลางมองไปที่รุ่นพี่ที่อยู่ข้างหลังเธอ แล้วเอ่ยถาม “ฉีฉี มู่ยู่วฉีไปหาคุณ คุณพูดอะไรกับเขาจนทำให้เขาเป็นบ้า ดื่มจนเมาแล้วขับรถกลับมา?”
คำพูดนี้ทำให้เย่ชูวเสวียไม่พอใจ ขมวดคิ้วถาม “เฮ้ นายหมายความยังไง จะบอกว่าฉีฉีตั้งใจทำร้ายมู่ยู่วฉีงั้นเหรอ!?”
MANGA DISCUSSION