“อาหารมาแล้ว มาเร็วมาก”
ฉีฉีเดินไปตรงหน้ามู่ยู่วฉีและพูดเสียงดุ “อย่ามาแกล้งโง่กับฉัน รีบเอาของไปเร็ว”
“ทำไมต้องเอาของออกไป ของพวกนี้ผมตั้งใจซื้อมาเพื่อเป็นเกียรติกับคุณลุงและคุณป้า”มู่ยู่วฉีมองไปที่พ่อกับแม่ของฉีฉีด้วยความจริงใจ “เรื่องคราวก่อนเป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าคุณลุงกับคุณป้าจะให้โอกาสผมได้อธิบาย”
ท่าทางของพ่อฉีฉีสงบมาก “มีเรื่องเข้าใจผิดอะไร ถึงจะสมเหตุสมผลพอที่นายจะรังแกฉีฉี”
“ผมไม่ได้รังแกฉีฉี แต่เธอต่างหากที่รังแกผม”
ชี้นกเป็นไม้ ฉีฉีก็เพิ่งจะเห็นวันนี้แหละ
ฉีฉีไม่ได้โกรธ แต่หัวเราะออกมา และถามมู่ยู่วฉีว่า “มู่ยู่วฉีคุณพูดให้มันชัดๆนะ ฉันรังแกอะไรคุณ”
เมื่อถูกฉีฉีจ้อง มู่ยู่วฉีก็พูดอย่างไม่ได้กังวล “หลายวันก่อนคุณเกิดเรื่องที่โรงเรียน ไม่มีที่ให้ไป และผมก็เป็นคนช่วยคุณ ตอนที่คุณป่วย ผมก็ดูแลคุณ จนหายดี ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว จะไล่กันไปง่ายๆ ไม่เห็นแก่สิ่งที่ผมทำเลย คุณทำเกินไปหรือเปล่า”
คำกล่าวหาของมู่ยู่วฉีทำให้หน้าฉีฉีแดงสลับซีด
พ่อกับแม่ของฉีฉีก็ประหลาดใจเช่นกัน สุดท้ายพ่อของฉีฉีก็ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันหรอ”
ฉีฉีรีบอธิบาย “ไม่ใช่ ยังมีชูวเสวี่ยด้วย เจ้าของร้านที่หนูไปทำงานพิเศษด้วย พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน”
ประโยคนี้ไม่พูดก็ดี พูดออกมาแล้วทำให้เรื่องสับสนมากขึ้นไปอีก
ขณะที่ฉีฉีกำลังจับแก้มยังกังวล รุ่นพี่ที่อยู่ข้างๆก็เปิดปากพูด
“คุณลุงคุณป้าไม่ต้องกังวล ผมเชื่อในตัวของฉีฉี เธอไม่มีทางทำอะไรเกินเลย”
เสียงที่อ่อนโยนของรุ่นพี่ช่วยปลอบโยนหัวใจของฉีฉี เธอรีบพยักหน้า และมองไปที่พ่อแม่อย่างคาดหวัง
จากนั้นรุ่นพี่ก็หันไปมองมู่ยู่วฉีด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
“ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น การไปอยู่บ้านเพื่อนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ฉีฉีเสียชื่อเสียงในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะในฐานะเพื่อน”
“ใครบอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน”มู่ยู่วฉีก็ไม่ยอมเช่นกัน เมื่อพูดอย่างนั้นเสร็จเขาก็พูดประโยคหน้าตกใจอีก “เธอคือคนที่ฉันชอบ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉีฉีก็ตัวเกร็ง
เธอมองไปที่มู่ยู่วฉี และคิดว่าผู้ชายคนนี้ชอบหาเรื่อง….
เมื่อทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา มู่ยู่วฉีก็พอใจมาก
ใช่ เขาต้องการผลลัพธ์แบบนี้ เขาอยากให้ทุกคนรู้ว่า ฉีฉีเป็นผู้หญิงของเขา
มู่ยู่วฉียกยิ้มเล็กน้อย และมองไปที่พ่อแม่ของฉีฉี “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ของพวกนี้เป็นอาหารฝีมือเชฟระดับห้าดาว รสชาติอร่อยมาก ผมตั้งใจซื้อมาให้คุณลุงคุณป้า เพื่อเป็นการขอโทษเรื่องเมื่อสองวันก่อน ผมว่าพวกคุณก็คงไม่อยากให้ผมร่วมรับประทานอาหารด้วย ดังนั้นผมจะกลับก่อน ทานให้อร่อยนะครับ”
พูดจบมู่ยู่วฉีก็โค้งตัวให้ผู้ใหญ่ และเดินออกไป
มู่ยู่วฉีปิดประตูลงด้วยความเงียบเหงาและอ้างว้าง จนคนที่มองอดรู้สึกสั่นสะท้านในใจไม่ได้
ฉีฉีเหม่อไปแป๊บหนึ่ง หลังจากที่เขาปิดประตูแล้วเธอถึงได้สติกลับมา
เธอกดหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง และคิดว่า คิดในใจก็พอ จะบอกให้มันมาทำร้ายตัวเองทำไม
แต่เขาจะใช้วิธีไหนก็ใช้ไป เธอจะไปตื่นเต้น หน้าแดงทำไม ฉีฉีเธอต้องสงบสติอารมณ์
ฉีฉีแอบสงบสติอารมณ์ในใจ แต่ใจของเธอก็ยังเต้นแรงอยู่
ทันใดนั้นมือของเธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่น ทำให้เธอตกใจ
เมื่อเงยหน้าขึ้น ตาของเธอก็เหมือนเห็นแสงระยิบระยับ ก่อนจะเริ่มสงบลง
รุ่นพี่พูดกับเธอ “พี่ดูแล้วในนี้มีซี่โครงด้วย เธออยากกินไม่ใช่หรอ มากินสิ”
ฉีฉีเม้มปากสีแดงของเธอ และพูดอย่างทะเยอทะยาน “ของพวกนี้มู่ยู่วฉีเป็นคนซื้อมา ฉันไม่อยากกิน”
“ถ้าเธอไม่กินก็เสียของสิ ถึงเธอจะโกรธมู่ยู่วฉี แต่อาหารอันโอชะพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องด้วย พี่ว่าพวกมันคงไม่อยากให้คนอย่างมู่ยู่วฉีซื้อหรอก”
“อืม อาจจะเป็นไปได้นะ”
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราอย่าไปสนใจมู่ยู่วฉีเลย นั่งลงกินข้าวกันดีกว่า”
รุ่นพี่พูดจบก็กดไหล่ของฉีฉีลงให้เธอนั่งกินข้าว
จากนั้นรุ่นพี่ก็ใช้ปากช่างพูดของเธอ ชวนพ่อกับแม่ของฉีฉีมานั่งลง ชิมอาหารอันโอชะ เหล้ารสดี ดูแล้วเต็มไปด้วยความสุข
แต่ในความเป็นจริง ทุกคนกินอย่างไร้รสชาติ กินไปโดยไม่สนใจ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉีฉีก็ไปทิ้งขยะกับรุ่นพี่
ที่ชั้นล่าง ฉีฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกรุ่นพี่ไว้
“คือ ฉันกับมู่ยู่วฉีไม่มี….ไม่มี… ไม่มีอะไรกันในด้านนั้น”
“พี่เชื่อเธอ”
ฉีฉียังอยากพูดอะไรอีก แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะตอบรับ โดยที่เธอไม่ต้องพูดคำต่อจากนั้น
เมื่อเห็นฉีฉีมองตัวเองด้วยความงง รุ่นพี่ก็ลูบหัวเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“ฉันแค่คิดไม่ถึงว่าพี่จะเชื่อในตัวฉันขนาดนี้”
“เธอเป็นคนยังไง พี่เป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่ต้องไปฟังจากคำพูดของคนอื่น แล้วทำให้พี่มีอคติ”
ความไว้วางใจและการสนับสนุนของรุ่นพี่ ทำให้ฉีฉียิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ฉันโชคดีขึ้นทุกวัน ได้รู้จักกับทุกคน ได้รับการไว้วางใจ มันรู้สึกดีจริงๆ”
“เธอพูดอย่างนี้ อย่างกับว่ามีคนไม่เชื่อเธออย่างนั้นแหละ”
ฉีฉีหวนคิดไปถึงประสบการณ์ที่ไม่มีความสุขนั้น แล้วส่ายหน้า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ใช่สิ พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหน”
“ก่อนที่พี่จะมา ได้ยินว่าแถวนี้มีสวนสาธารณะ และมีการจัดนิทรรศการศิลปะเป็นครั้งคราว และมีคนดังเข้าร่วมมากมาย พี่อยากไปดู”
“ฉันรู้จักสวนสาธารณะนั้น พรุ่งนี้พวกเราลองไปเสี่ยงดูว่าจะมีนิทรรศการไหม ถึงจะไม่มีนิทรรศการ สวนสาธารณะนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก มีแต่คนไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นั่น”
“ดี”
ทั้งสองคนพูดคุยกัน พลางเดินกลับ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองทั้งสองคนจากชั้นบนลงมาอย่างเย็นชา
มู่ยู่วฉียอมรับว่าเขาประเมินผู้ชายคนนี้ต่ำเกินไป
แทนที่เขาจะยอมจำนนต่อฐานะของตัวเอง แต่เขาดันทุรังจะสู้ต่อ และดูเหมือนว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดีด้วย
พูดตามความจริง มู่ยู่วฉีชื่นชมในความกล้าหาญของผู้ชายคนนี้มาก แต่ครั้งนี้เดิมพันคือผู้หญิงในใจของเขา เขาจึงไม่ยอมให้มีโอกาสเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
ดังนั้นผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะโดดเด่นสักแค่ไหน ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เขา
…..
วันนี้เป็นวันจันทร์ ฉีฉีกับรุ่นพี่แค่มาลองเสี่ยงดู คิดไม่ถึงว่าจะมีนิทรรศการศิลปะจริง ทั้งคู่ดีใจมากราวกับถูกลอตเตอรี่
แต่ฉีฉีไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะเหล่านี้ ดูไปครู่เดียว เธอก็หมดความสนใจ
แต่รุ่นพี่กลับคุยกับนักวาดอย่างมีอรรถรสมาก ทั้งสองคุยกันด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อเห็นรุ่นพี่มีความสุข เธอก็ไม่อยากขวางความสุขของเขา จึงได้แต่มองดอกบัวในสระเหม่อๆ
“ฉีฉีจะกินไอติมไหม”
ขณะที่เธอกำลังเบื่ออยู่นั้น เมื่อได้ยินคำว่าไอศครีม เธอก็กระตือรือร้นพยักหน้าทันที “เอาๆ”
รุ่นพี่ยิ้มพูด “งั้นรอตรงนี้ก่อน พี่จะไปซื้อมา”
“แต่พี่คุยอยู่ไม่ใช่หรอ”
“คุยกันแค่นิดหน่อยก็พอแล้ว พี่ไม่ทิ้งเธอเพราะคนอื่นหรอก”
น้ำเสียงของรุ่นพี่เหมือนกับมีแม่เหล็ก ทำให้คนฟังรู้สึกซึ้งใจ
แต่ฉีฉีก็เหมือนเป็นฉนวน เธอรู้ถึงความอ่อนโยนจากความรู้สึกของรุ่นพี่ ฉะนั้นเธอจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น
เมื่อเห็นฉีฉีหลบสายตาของเขา รุ่นพี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาลูบหัวเธอ และลุกไปซื้อไอศกรีม
ถัดจากร้านของหวาน มีผู้ชายคนหนึ่งยืนจ้องรุ่นพี่ด้วยสายตาไม่หวังดี
แต่รุ่นพี่ก็เหมือนมองไม่เห็น เขาซื้อไอศครีมสตรอเบอรี่สองอันเสร็จ ก็เดินจากไป
“ฉีฉีชอบรสช็อกโกแลตมากกว่ารสสตรอเบอรี่นะ”
รุ่นพี่หยุดเดินและหันกลับมา “ไม่ว่าจะรสไหน แค่ฉันเป็นคนซื้อ เธอก็ชอบ”
เขากำมือแน่น ไม่อยากพูดไร้สาระกับผู้ชายคนนี้อีกเขาจึงพูดว่า “อยู่ให้ห่างจากฉีฉี แล้วฉันจะให้เงินแก”
รุ่นพี่หัวเราะ “หึ ในที่สุดแกก็พูดกับฉันอย่างนี้”
เสียงหัวเราะของเขาทำให้มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วถาม “แกจะยอมรับไหม”
“แกคิดว่าไงล่ะ”
“ฉันว่าแกเป็นคนไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา ถึงฉันจะให้เงินแกมากแค่ไหนแกก็ไม่สนใจ ไม่เป็นไร ฉันยังมีวิธีอื่นที่จะทำให้แกออกไปจากชีวิตของฉีฉี”
“งั้นแกก็ว่ามาสิมีวิธีอะไรดีๆ” “เท่าที่ฉันรู้ พ่อแม่ของแกรักแกมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแก พวกเขาคงเสียใจมาก แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะ แกก็คงจะเสียใจเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”
มู่ยู่วฉีกำลังขู่อย่างชัดเจน
และคำขู่ของเขาก็เป็นจุดอ่อนของรุ่นพี่ด้วย
แต่รุ่นพี่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบมาในทันที เขาแสดงสีหน้าดูถูก “หึ นี่คือวิธีที่แกคิดได้หรอ ไร้สมองจริงๆ”
แต่มู่ยู่วฉีก็ไม่สนใจ เขายักไหล่พูด “แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว ฉันไม่สนใจวิธีการ”
“งั้นฉีฉีล่ะ แกก็ไม่สนใจหรอ ถ้าเธอรู้ว่าแกใช้วิธีไร้ยางอายแบบนี้ เธอก็จะอยู่ห่างจากแกมากขึ้น”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้มู่ยู่วฉีอึ้ง แต่ก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้แกไม่ต้องเข้ามายุ่ง ฉันมีวิธีจัดการของฉัน แกแค่ออกไปจากชีวิตฉันก็พอ”
“ถ้าฉันไม่ยอมล่ะ”
“ถ้างั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน”มู่ยู่วฉีแสดงหน้าตาเสียใจ “พ่อของแกเป็นถึงนักวาดระดับประเทศ ถ้าไม่ได้ชื่นชมผลงานชิ้นเอกอย่างนั้นอีก ผู้คนมากมายคงเสียใจมาก”
มู่ยู่วฉีพูดพลางส่ายหน้าไปด้วย เหมือนกำลังรู้สึกเสียดายจริงๆ
“ไม่แปลกใจแล้ว นี่มันมู่ยู่วฉีจริงๆ ที่ฉีฉีไม่เลือกเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
“ไอ้สวะ แกว่าอะไรนะ”
มู่ยู่วฉีกำลังจะยกมือขึ้นชก แต่รุ่นพี่ก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่เร่งรีบ “ถ้าแกไม่กลัวว่าฉีฉีจะรู้เรื่องนี้ ก็รีบลงมือได้เลย”
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้มู่ยู่วฉีหยุดมือลง เขามองตามหลังของรุ่นพี่ไปด้วยความโกรธ
มู่ยู่วฉีผู้สง่างามอย่างเขา ถูกเด็กหนุ่มเยาะเย้ยหรอ
และเรื่องพวกนี้ก็ต้องโทษฉีฉี เธอเป็นคนทำให้เขาอ่อนแอ
แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รู้อะไรเลย แถมยังช่วยแทงมีดซ้ำเข้ามาในบาดแผลของเขา
มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วมองไปตามหลังรุ่นพี่ และพูดด้วยความโกรธ “กล้าเหมือนกันหนิ จะมีผลเป็นยังไง”
รุ่นพี่เดินกลับมาหาฉีฉี และยื่นไอศครีมให้เธอ
ฉีฉีรับมันไปอย่างมีความสุข แต่ก็แสดงท่าทีสงสัยออกมา
“เหมือนไอศครีมจะละลายไปแล้วนะ”
“อ๋อ พอดีตอนเดินกลับมาบังเอิญเจอเพื่อน เลยคุยกันนิดหน่อย มันเลยช้าไปนิด”
“ถ้ามาอยู่ที่นี่พี่ก็เจอคนที่รู้จักด้วย”
“เมื่อก่อนฉันเคยเรียนวาดรูป ได้รู้จักกับคนไม่น้อย บังเอิญเจอกันที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ฉีฉีพยักหน้า “ที่พูดมาก็ถูก”
“รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะละลายหมดแล้ว”
ฉีฉีกินไปสองคำและพูด “ช็อกโกแลตอร่อยที่สุด”
คำพูดของเธอทำให้รุ่นพี่ยกยิ้มขึ้นมา “กินช็อกโกแลตเยอะระวังด้วยนะ”
เมื่อพูดอย่างนั้นฉีฉีก็เปลี่ยนการตัดสินใจทันที “งั้นฉันกินสตรอเบอรี่ดีกว่า”
เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังของฉีฉี คุณพี่ก็ยื่นมือออกไปบีบแก้มเธอ “ใช่ ต้องนุ่มนิ่มเหมือนสตรอเบอรี่ ถึงจะทำให้คนรัก”
“ไม่ต้องบีบแก้มฉันแล้ว มันป่องมากพออยู่แล้ว เดี๋ยวก็บวมหรอก”
“ไม่เป็นไร แค่ฉันเห็นว่าเธอน่ารักก็พอแล้ว”
รุ่นพี่มองไปที่ฉีฉีด้วยความเสน่หา
และสิ่งนั้นก็ทำให้ฉีฉีต้องถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง ท่าทางแบบนี้ของเขา ทำให้เธอรับมือไม่ได้จริงๆ
ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อเห็นคู่หนุ่มสาวคู่นี้ โดยเฉพาะผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิงด้วยความอ่อนโยน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเสน่หา ทำให้ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่าช่วงวัยรุ่นช่างดีจริงๆ
ที่วาดข้างหน้ากำลังว่างอยู่พอดี รุ่นพี่จึงลากฉีฉีมาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เดี๋ยวฉันวาดรูปให้เธอรูปนึง”
“พี่ว่าเป็นด้วยหรอ”
รุ่นพี่กดไหล่ฉีฉีให้นั่งลงไป จากนั้นก็หามุมที่ดีที่สุดเริ่มลงเส้นวาดฉีฉี
ตอนที่เริ่มวาดฉีฉีรู้สึกสดชื่นมาก เธอจึงนั่งอย่างไม่ขยับ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตาของเธอก็เริ่มหนักขึ้น จึงสับผงกไม่หยุด
“เสร็จแล้ว”
อะไรเสร็จแล้ว
ฉีฉีเช็ดมุมปากของเธอด้วยความงง จากนั้นก็มองตรงไปข้างหน้า เมื่อเห็นหน้าของรุ่นพี่ เธอถึงเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
เธอลุกขึ้นสะบัดแขนขา และเดินไปหารุ่นพี่ เพื่อมองภาพ
“ว้าว วาดได้ไม่เลวเลย สวยกว่าตัวจริงอีก”
ต้องบอกจริงๆว่าฝีมือของรุ่นพี่ดีมาก เขาว่าฉีฉีออกมาอย่างมีชีวิตชีวา สามารถรับรู้ถึงความเป็นตัวฉีฉีได้จากรูปภาพ
เมื่อเห็นว่าฉีฉีชอบมาก รุ่นพี่ก็ขมวดคิ้ว และพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝีมือของฉัน วาดให้ออกมาเป็นตัวเธอได้แค่ หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตัวจริงของเธอน่ารักกว่าในรูปนี้อีก”
ระหว่างที่รุ่นพี่พูดประโยคนี้ ดวงตาของเขาก็ล้ำลึก ราวกับกำลังสารภาพรักอยู่
นี่มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
ฉีฉีลูบหัวของตัวเอง และตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฮ่าๆ ฉันสวยขนาดนั้นเลยหรอ เห็นอยู่ว่าเอาแต่หลับ พี่คงไม่อยากว่าฉันออกมาให้น่าเกลียดมากกว่า อ๋อ ฉันได้กรนไหม”
รุ่นพี่ไม่ได้คอยตามไปกับคำพูดของฉีฉี เขามองไปในตาของเธอ “ฉันจริงจัง ฉีฉี ฉัน…..”
“นี่เย็นมากแล้ว ฉันต้องกลับแล้ว”
ฉีฉีไม่รอให้รุ่นพี่พูดจบก็รีบวิ่งออกไปทันที
รุ่นพี่ได้แต่มองตามหลังเธอไปด้วยรอยยิ้มสิ้นหวัง
ฉีฉีคงจะรู้สึกอะไรขึ้นมาได้ เธอถึงได้รีบหนีไปขนาดนี้
รุ่นพี่ถอนหายใจออก และตามเธอมาจากข้างหลัง “งั้นฉันไปส่ง”
เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่ได้พูดถึงหัวข้อเดิมแล้ว ฉีฉีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และพูดว่า “โอเค”
ฉีฉีไม่ได้หลีกเลี่ยงรุ่นพี่ ทั้งคู่เดินอยู่ข้างกันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
ฉีฉีแอบขมวดคิ้วด้วยความกังวล
เธอกำลังคิดอยู่ว่า เมื่อกี้เธอทำให้รุ่นพี่ไม่พอใจหรือเปล่า การพูดขัดคำพูดของคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่มีมารยาท ถ้าคุณพี่ไม่ได้คิดจะสารภาพกับเธอ แต่กำลังจะพูดถึงเรื่องอื่น อย่างนั้นมันก็ดูแย่มาก
ฉีฉียิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ เธอเป็นคนทำลายบรรยากาศในวันนี้
“ฉีฉี”
ในขณะที่ฉีฉีกำลังคิดไม่ตก รุ่นพี่ก็พูดออกมา
เธอรีบหันไปมองคนข้างตัว และถามกลับอย่างร่าเริง “มีอะไร”
คุณพี่เงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ครั้งนั้นที่มู่ยู่วฉีมาหาเธอที่ห้องบรรยาย ฉันเห็นว่าพวกเธอสนิทกันมาก ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแบบนี้”
ฉีฉีคิดไม่ถึงว่ารุ่นพี่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในสถานการณ์แบบนี้
เมื่อคิดถึงผู้ชายคนนั้น เธอก็รู้สึกหลากหลายในหัวใจ เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับมู่ยู่วฉีกันแน่
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉีฉีมั่นใจมาก ก็คือตอนนี้เธอไม่อยากยุ่งกับผู้ชายคนนั้น
“รุ่นพี่ พวกเราไม่ต้องพูดถึงเขาได้ไหม”
รุ่นพี่ไม่สนใจการปฏิเสธของฉีฉี เขามองไปข้างหน้าและพูด “ที่จริงฉันก็อิจฉาเขานะ”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีแปลกใจมาก
ทุกวันที่ติดต่อกัน เธอเห็นว่ารุ่นพี่กับมู่ยู่วฉีมักจะมีปัญหากันเสมอ แต่ทำไมเขาถึงพูดอย่างนี้ออกมา
ฉีฉีคิดอยู่พักหนึ่งและถาม “อิจฉาอะไรเขา มีตังหรอ”
คุณพี่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ อิจฉาเขาที่ได้เห็นตัวจริงอีกด้านหนึ่งของเธอ”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีขมวดคิ้ว “พี่จะบอกว่าฉันเสแสร้งต่อหน้าพี่หรอ”
ทำไมเด็กคนนี้ถึงเข้าใจไม่ตรงจุดนะ
คุณพี่มองเธออย่างเอือมระอา และอธิบาย “ฉันหมายถึงว่า เธออยู่ต่อหน้ามู่ยู่วฉีเธอถึงจะกล้าหัวเราะได้อย่างไม่อาย แต่เมื่อเธออยู่กับฉัน เธอจะระวังตัวตลอดเวลา ราวกับฉันจะกินเธอ”
ฉีฉีส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด “ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นนะ”
“ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้น งั้นเธอก็อย่าเกรงใจฉันขนาดนั้นอีก พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ”
“อืม ฉันรู้แล้ว”
เมื่อมองฉีฉีที่กำลังระมัดระวัง เหมือนกลัวจะทำให้เขาโกรธ รุ่นพี่ก็รู้ทันทีว่าเธอไม่ได้เข้าใจ
เส้นทางมันยังอีกยาวไกล
รุ่นพี่ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หันไปมองฉีฉี “พรุ่งนี้เธอพักผ่อนหนึ่งวันเถอะ เที่ยวทั้งวันคงเหนื่อยมากแล้ว แถมฉันก็ไม่ควรจะกักตัวเธอไว้นานเกินไป ไม่อย่างนั้นคุณลุงคุณป้าจะว่าเอาได้”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ แสดงว่าเขาไม่เข้าใจพ่อแม่ของฉีฉีเลย พวกเขาชอบให้เธอออกมาข้างนอก เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับรุ่นพี่ต่างหาก
แต่การตัดสินใจของรุ่นพี่ ก็ตรงกับที่เธอต้องการ เธอจึงพยักหน้า “โอเค งั้นพี่ออกมาเที่ยวตอนไหน ก็โทรมาชวนฉันแล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา”
ตอนที่ฉีฉีกลับมาบ้าน ท้องฟ้าก็เพิ่งเริ่มมืด ไฟในบ้านเปิดสว่างแล้ว
เมื่อเธอผลักประตูเข้าไปในบ้าน ก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆทันที
ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่เห็นพ่อกับแม่ ฉีฉีรู้สึกว่าในบ้านแปลกมาก เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ
เธอถอดเสื้อคลุมออก และตะโกนเสียงดัง “พ่อแม่ หนูกลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงฉีฉี แม่ของฉีฉีก็เดินออกมาจากห้องครัว และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“ฉีฉี….”
หลังพูดชื่อเธอเสร็จ แม่ของเธอก็ไอออกมาจนไม่สามารถพูดได้
เมื่อเห็นแม่เป็นแบบนี้ ฉีฉีก็ตกใจ รีบเดินไปจับมือแม่และถาม “แม่เป็นอะไร ทำไมตาถึงแดงแบบนี้ แม่ร้องไห้มาใช่ไหม เกิดอะไรขึ้น”
วินาทีนั้นเรื่องร้ายต่างๆก็ผุดขึ้นมาในหัวฉีฉีไม่หยุด และยิ่งแม่ก้มหน้าไม่พูดจา ก็ยิ่งทำให้เธอแทบอยากร้องไห้ออกมา
และสุดท้ายก็เป็นพ่อของเธอที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตอนที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นที่โรงเรียนทำไมหนูไม่บอกพวกเรา หนูต้องแบกรับเรื่องมากมายขนาดนั้นคนเดียว น่าสงสารมาก”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของฉีฉีก็เปลี่ยนไป และแอบคิดว่าพ่อกับแม่ต้องรู้อะไรบางอย่างแน่
แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เธอถามอย่างใจเย็น “พ่อแม่พูดถึงเรื่องอะไร”
ตอนนั้นแม่ของฉีฉีสงบลงมามากแล้ว เธอจึงมองไปที่ฉีฉีด้วยความเสียใจ และไม่พอใจ “ไม่ต้องปิดบังแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนพวกเรารู้หมดแล้ว การที่ถูกคนอื่นเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่รับได้ยากมาก แถมยังไม่มีใครช่วยให้ระบายความรู้สึก ยิ่งทำให้รู้สึกลำบากใจขึ้นไปอีก คนอื่นรับหนูไม่ได้ แต่พ่อกับแม่จะอยู่ข้างกายหนู ทำไมหนูถึงไม่บอกพ่อกับแม่”
“ใช่ถ้าพวกเรารู้เร็วกว่านี้ พวกเราจะออกหน้าติดต่ออาจารย์ของหนู และผู้บริหารโรงเรียน เพื่อรับสิ่งนั้นแทนหนูเอง”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงก็เกิดขึ้นมาในใจของฉีฉี
ทำไมถึงไม่บอกพ่อกับแม่ คำตอบง่ายมาก แม้ว่าแม่ของเธอจะอารมณ์ขึ้นลงได้ในแต่ละวัน แต่หัวใจของเธอไม่ดี ไม่สามารถถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงได้
แค่เธอทำงานหนักทุกวันก็มากเพียงพอแล้ว ถ้าเธอต้องมาแบกรับเรื่องของตัวเองอีก เธออาจจะป่วยได้
ซึ่งก็เหมือนตอนนี้ ที่บนตัวแม่มีกินยาจีนอยู่ เธอน่าจะเพิ่งกินยาบรรเทาอาการหัวใจของเธอ
เรื่องนั้นผ่านไปแล้ว ปกปิดไว้ก็ดีอยู่แล้ว เธอไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ แล้วตอนนี้พวกเขารู้ได้ยังไง
ฉีฉีขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไรออกมา แม่ของฉีฉีก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ “ถึงตอนนี้แล้วหนูยังคิดจะปิดบังพวกเราอีกหรอ อะไรหนูก็ดีหมด แต่ชอบเก็บความรู้สึกไว้ในใจ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหนู แม่จะทำยังไง”
เธอหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นมองพ่อแม่อย่างไม่ใส่ใจ “หนูเป็นลูกสาวของพ่อแม่นะ ข่าวลือเล็กน้อยแค่นี้ ก็แค่เป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ทำให้หนูเข้มแข็งขึ้น เมื่อก่อนหนูอาจจะอ่อนแอ จึงถูกทำร้ายมาโดยตลอด แต่ตอนนี้หนูไม่เหมือนเดิมแล้ว หนูโตขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ต้องห่วงหรอ หนูถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล และยังเป็นโรคซึมเศร้า พวกเราจะไม่ห่วงได้ยังไง”
พวกเขารู้ทุกอย่าง ดูเหมือนจะมีคนตั้งใจเปิดเผยเรื่องนี้กับพวกเขา
แล้วคนคนนั้นคือใคร
ฉีฉีกำมือแน่น สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ
แม่ของฉีฉียังคงร้องไห้โดยมีพ่อของเธอปลอบอยู่จากนั้นก็ถอนหายใจและมองไปที่ฉีฉี พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกเราเป็นห่วงหนู คราวหน้าถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกพ่อกับแม่จะเป็นที่พักพิงให้หนูเอง”
ฉีฉีส่งรอยยิ้มออกมา “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ดูหนูตอนนี้สิ ก็โอเคแล้วไม่ใช่หรอ คนเราต้องผ่านความยากลำบากมาก่อนถึงจะโตขึ้น ตอนนี้หนูไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แล้วก็มีจิตใจแข็งแรงมากขึ้นแล้ว”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่ใส่ใจของลูกสาว แม่ของเธอก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
เธอกุมมือของลูกสาวและพูด “แต่พวกเราอยากดูแลหนูตอนที่เป็นอย่างนั้น การที่พวกเราไม่ได้อยู่กับหนูในช่วงที่อ่อนแอที่สุด เป็นสิ่งที่พวกเรารู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต”
น้ำตาของแม่ทำให้ฉีฉีรู้สึกผิด
เธอกุมมือแม่และพูด “หนูรู้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำอย่างนี้อีก หนูรับประกัน ไม่ต้องร้องไห้แล้ว โอเคไหม”
“เฮ้อ เด็กคนนี้….”
“โอเคๆ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว แถมยังบังเอิญรู้จักรุ่นพี่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอต่อไปต้องมีอะไรดีๆขึ้นมาอีกแน่”
พ่อของฉีฉีลูบหัวเธอด้วยความโล่งใจ “ฉีฉีพูดถูก พวกเราจะดีขึ้นทุกวัน เรื่องบางเรื่องได้ผ่านไปแล้ว คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่หนูต้องรับปากกับพวกเราว่าหลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้น ต้องบอกพ่อกับแม่ อย่าต่อสู้มันคนเดียว”
“รู้แล้ว หนูจะทำแน่นอน”
“ออกไปข้างนอกกินอะไรมาหรือยัง”
“กินแล้วค่ะ แม่ไปพักผ่อนเถอะ”
ตอนนี้แม่ของฉีฉีต้องการพักผ่อนจริงๆ เพราะเรื่องที่เหนือการคาดเดานี้ ทำให้เธอรับแทบไม่ได้ เธอจำเป็นต้องอยู่เงียบๆสักพัก
พ่อของฉีฉีพาแม่ของฉีฉีกลับห้อง โดยที่เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าโมโหมากขึ้น
ใจของเธอร้อนรนมาก เธอรีบเปิดประตูเดินออกไปฝั่งตรงข้าม และเคาะประตูอย่างรุนแรง
ผ่านไปสักพักคนข้างในก็เปิดประตูออก เมื่อเห็นเธอเขาก็ขมวดคิ้ว
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะมาหาผม แปลกมาก”
เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตรงหน้า และกำมือพูดอย่างโกรธเคือง “มู่ยู่วฉี คุณทำเกินไปแล้ว”
มู่ยู่วฉีถามอย่างไม่เข้าใจ “อะไรอีก”
“คุณบอกเรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลกับพ่อแม่ของฉันใช่ไหม”
มู่ยู่วฉีขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้บอก”
ถึงแม้มู่ยู่วฉีจะปฏิเสธ แต่ฉีฉีก็ไม่เชื่อคำพูดของเขา และยังเชื่อสนิทใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนก่อเรื่อง เพราะนอกจากเขาก็ไม่มีใครทำเรื่องไม่ดีอย่างนี้แล้ว
เธอมองผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาแปลกไป
“เมื่อก่อนฉันแค่คิดว่าคุณมีอำนาจมาก แต่ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวร้าย แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณเป็นคนเชื่อถือไม่ได้ คุณสัญญาไว้กับฉันแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของฉัน แต่คุณก็แอบบอก อย่าคิดว่าคุณไม่ยอมรับแล้วฉันจะไม่สงสัยคุณ คุณมันเด็กจริงๆ”
เมื่อถูกกล่าวหาอย่างกระทันหันมู่ยู่วฉีก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย เขาขึ้นเสียงถามว่า “ก่อนที่จะกล่าวหากัน ทำไมคุณไม่พูดให้ชัดเจนก่อน”
“ยังจะให้ฉันพูดอะไรอีก คุณบอกเรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลกับพ่อแม่ของฉันไม่ใช่หรอ แค่เพราะว่าฉันไม่ฟังคุณ คุณถึงกับต้องลงโทษฉัน โดยการบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของฉัน”
ฉีฉียิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ และสิ่งที่มากกว่าก็โกรธก็คือ ความผิดหวังและเสียใจ
เมื่อเห็นฉีฉีเป็นอย่างนี้ มู่ยู่วฉีก็โกรธมาก เขาจึงตะโกนออกมา “ผมบอกไปแล้วว่าผมไม่ใช่คนทำ”
“ไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร”
“ผมจะรู้ได้ยังไง แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ผม ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้คุณจะคิดสงสัยผมอย่างเดียวเลยรึไง”
“มีแต่คนอย่างคุณเท่านั้นที่จะทำเรื่องอย่างนี้ได้”
มู่ยู่วฉีถาม “งั้นคุณก็เลยคิดว่าผมเป็นคนที่จะใช้วิธีนี้ข่มขู่คุณงั้นหรอ”
ฉีฉีตอบโดยไม่ต้องคิด “ใช่”
คำตอบนี้ทำให้มู่ยู่วฉีรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก
เขาให้ใจไปกับฉีฉีทั้งหมด แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เลยหรอ เขาชอบเธอ ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว
มือสองข้างข้างลำตัวของเขากำแน่น “ถ้าผมเป็นคนอย่างนั้น ผมกินคงไปตั้งนานแล้ว ไม่ให้โอกาสคุณมาชี้หน้าด่าแบบนี้หรอก ฉีฉีคุณเป็นหมูหรอ คุณมีสมองไหม”
คำพูดของมู่ยู่วฉีไม่ได้ทำให้ฉีฉีมีเหตุผลขึ้นมาเลย
“ฉันเป็นหมู ถึงได้เชื่อคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ฉันจะไม่ทำผิดแบบเดิมอีก”
เมื่อฉีฉีไม่เชื่อ มู่ยู่วฉีก็ได้แต่ยิ้มออกมา
“คุณพูดถูก ผมก็เหมือนกัน”
รอยยิ้มของมู่ยู่วฉีมีความเย็นชา เป็นความเย็นชาที่เธอไม่เคยเห็นจากใบหน้าของเขามาก่อน
ฉีฉีจึงถามเขาด้วยความไม่สบายใจ “คุณจะทำอะไร”
“งั้นผมชอบคุณ ผมก็ต้องทำในสิ่งที่ผมต้องการสิ”
“คุณ…..”
“ดึกมากแล้ว ผมต้องพักผ่อน ฝันดี”
พูดจบมู่ยู่วฉีก็ดันเธอออกไป และปิดประตูทันที
เธอเซเล็กน้อย จากนั้นก็เคาะประตูอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ข้างในไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมา
ฉีฉีขมวดคิ้ว และพูดเตือน “มู่ยู่วฉี คุณอย่ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก”
เพราะกลัวว่าพ่อแม่จะได้ยิน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าพูดเสียงดังมาก แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่ามู่ยู่วฉีได้ยินหรือยัง
เธอกลับไปที่ห้องด้วยความหงุดหงิดใจ เธอรู้สึกว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากผ่านไปหลายวัน ข้างนอกก็สงบลง มู่ยู่วฉีเหมือนจะย้ายออกไปแล้ว ไม่เคยเห็นเขาเลยสักวัน
และในขณะเดียวกัน รุ่นพี่ก็หายตัวไปเช่นกัน
ถึงจะบอกว่าให้พักผ่อนสองวัน แต่เขาก็ดูเงียบเกินไป
หรือเขากลับบ้านไปแล้ว
ฉีฉีโทรหารุ่นพี่ตามมารยาท เพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ
“รุ่นพี่ ทำไมช่วงนี้….”
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นเพื่อนของคนไข้รึเปล่า”
ฉีฉียังไม่ทันพูดจบ ปลายสายก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาก่อน
น้ำเสียงจากปลายสายไม่ใช่เสียงของรุ่นพี่ และสิ่งที่เขาพูดก็ทำให้ฉีฉีตะลึง
“คนไข้หรอคะ”
“ใช่ครับ ตอนนี้คนไข้ได้รับบาดเจ็บอยู่โรงพยาบาล สมองได้รับความกระทบกระเทือน ต้องพักฟื้น”
“อะไรนะคะ”สีหน้าของฉีฉีเต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอรีบถาม “เขาพักอยู่ที่ไหนคะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ในโรงพยาบาล
หัวของรุ่นพี่มีผ้าพันแผลพันอยู่ ในมือถือแก้วน้ำร้อนไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
MANGA DISCUSSION