วิวาห์ร้อน แต่งผิดรักจริง - ตอนที่ 101 เหมือนจะพูดอะไรผิดไปซะแล้ว
ตอนที่ 101 เหมือนจะพูดอะไรผิดไปซะแล้ว
ขณะทั้งสองคนกำลังวิ่งไล่ตามกันอยู่นั้น อยู่ๆวัจสาก็หยุดนิ่ง แวววัยที่วิ่งตามมาข้างหลังไม่ทันระวังก็ชนเข้ากับหลังของวัจสาเต็มๆ เธอไม่เชื่อว่าตัวเองจะไล่ตามวัจสาที่ตัวผอมนิดเดียวไม่ทันดังนั้นเธอเลยเตรียมตัวรวมพลังเพื่อวิ่งไล่ตามแต่ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆวัจสาจะหยุดวิ่ง
“วัจสา แกโง่ป่ะเนี่ย อยู่ๆก็หยุดทำไมห้ะ ทำฉันเจ็บจะตายแล้ว! แกทำจมูกฉันเบี้ยวแล้วเนี้ย! ชดใช้ให้ฉันเลยนะ!”
แม้ว่าแวววัยจะดุออกมาแต่น้ำเสียงก็ยังคงร่าเริง เป็นเพียงแค่การหยอกล้อเล็กๆน้อยๆของหญิงสาว
วัจสาหันกลับมาด้วยสีหน้าที่ผิดปกติไป เธอพูดช้าๆว่า: “แวว ปรมะอยู่ข้างหน้า แกช่วยบอกปัดเขาให้หน่อยได้มั้ย? ฉันไม่อยากคุยอะไรกับเขา”
แม้ว่ารอยช้ำบนหน้าขอปรมะจะไม่ได้ร้ายแรงมากนัก แต่วัจสารู้ตัวดีว่าตัวเองไม่สามารถที่จะไปห่วงใยดูแลเขาได้อีกก็เหมือนกับที่ธัชชัยได้พูดไว้ว่าการรักษาระยะห่างเอาไว้นั้นถึงจะเป็นความรับผิดชอบที่ดีที่สุด
ไอ้คำที่ว่าเป็นห่วงกังวลและอีกอย่างตัวเธอเองกับเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นแล้ว เพราะว่าพวกเขาตัดสินใจที่จะคุยกับชนิศาถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว. ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปพัวพันด้วยอีก. ปรมะไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่เลิกกับเธอแล้วจะเป็นจะตายดังนั้นก็แค่รอเวลาช่วงนี้มันผ่านพ้นไป บางทีเขาอาจจะดีขึ้นกว่านี้
หรือจะพูดอีกได้ก็ว่า ถ้าหากปรมะอยากที่จะช่วยตนเองจริงๆ ถ้าหากเข้าไปยุ่ง นั่นก็อาจจะทำให้ธัชชัยไม่พอใจ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องหรอกจริงไหม? ปรมะก็เป็นแค่นักวิชาการที่ไม่มีแบล็คอะไร จะไปสู้คนมีพวกอย่างธัชชัยได้ยังไง?
ถ้าจะต้องยืดเยื้อกันไปมาสู้บอกไปตรงๆยังจะดีเสียกว่า แม้จะเสียดายความสัมพันธ์ดีๆที่มีต่อกันมาตลอด2ปีกว่า
แวววัยเองก็เห็นปรมะที่กำลังจะเดินผ่านมาเหมือนกัน และเขาก็เหมือนว่าจะเห็นเธอทั้งสองด้วย จึงรีบวิ่งตรงมา
“วางใจได้ วัจสา แกก็แค่เดินๆไปเดี๋ยวฉันจัดการเองแล้วก็มาตอบแทนฉันด้วย ไปเร็ว” แวววัยพูดอย่างมีสติ และผลักวัจสากลับให้ไป
ปรมะที่เห็นว่าวัจสากำลังจะเดินไปแล้ว ก็ยิ่งรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น “วัจสา…วัจสาคุณอย่าเพิ่งไปนะ!”
แวววัยยืนอยู่ข้างหน้าปรมะพูดว่า “พี่ปรมะ ฉันมีธุระกับคุณพอดีเลย! คุณอยู่คุยกับฉันหน่อยสิ” เมื่อเธอพูดจบก็ลากมือปรมะไป
ปรมะตอนนี้ก็ไม่สามารถที่จะดูแลคนที่ตัวเองรักได้ เขาจึงอยากที่จะไปถามวัจสาให้แน่ชัดดังนั้นเขาเลยสะบัดมือของแวววัยออก “คุณอย่ามาดึงฉัน!แวววัยฉันต้องไปหาวัจสามันเป็นเรื่องด่วนจริงๆ”
“ฉันรู้ว่าคุณจะถามอะไร แต่เธอแต่งงานมีสามีแล้ว คุณอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอไปอีกเลย แบบนี้มันก็ไม่ดีกับพวกคุณทั้งคู่! เหตุผลนี้คุณไม่เข้าใจหรอ?!”
บางครั้งสิ่งที่แวววัยพูดออกมาก็มักจะมีเหตุผล. เธอยังคงดึงมือของปรมะไว้ ไม่ว่าจะพูดยังไงเธอก็ไม่ปล่อยเขาไป
สีหน้าของปรมะก็จืดลงทันที พูดด้วยเสียงสั่นๆว่า “แต่ว่าฉันเพียงแค่อยากจะถามเธอไม่กี่คำถามเองเมื่อได้ถามชัดเจนแล้วฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่งอีกเลย!”เขาเหมือนกับกำลังอดทนกับอะไรอยู่ นั่นก็คือความรู้สึกเจ็บปวด“คุณมีคำถามอะไรก็สามารถถามฉันได้เลยเรื่องของวัจสาฉันก็รู้แทบทุกเรื่อง” ที่จริงแล้วปรมะไม่ต้องพูดอะไรแวววัยก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะถามว่าอะไร“คุณจะรู้เรื่องมากมายแค่ไหนฉันก็ไม่สน ฉันแค่อยากจะได้ยินจากปากของวัจสา” น้ำเสียงของปรมะพูดอย่างหนักแน่น“คุณอยากจะฟังเธอพูดว่าอะไร?”แวววัยพูดตัดบทขึ้นมา: “คุณอยากฟังวัจสาพูด ทำไมเวลาเพียงแค่1-2เดือนเธอถึงไปรักคนอื่นและยังแต่งงานกับเขาอีกใช่มั้ย? เรื่องนี้สิ่งที่ฉันสามารถบอกคุณได้ก็คือ วัจสาไม่ได้หน้าเงิน ต้องการความมั่งคั่งและเกียรติยศอย่างที่พี่น้องตระกูลเดิมขุนทดพูดไว้”ปรมะพูดขัดแวววัยขึ้นมาทันที “ฉันรู้แล้วว่าวัจสาไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้น! เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องพูดด้วยซ้ำ”“แต่ว่าคุณก็ยังไม่รู้ไม่ใช่หรอว่าทำไมวัจสาถึงได้ไปแต่งงานกับคนอื่นไวขนาดนั้น? เรื่องนี้คุณเองก็คงไม่อยากรู้ใช่มั้ย?” แวววัยถามอย่างช้าๆปรมะหลับตาลง ไม่พูดใดๆออกมา ลูกกระเดือกระหว่างคอเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เหมือนกับรอคำตอบของแวววัยอยู่. อย่างที่แวววัยพูด แน่หล่ะว่าเขาอยากรู้สิ่งที่เขาอึดอัดและไม่มั่นใจที่สุดก็คือสิ่งนี้คนที่อยากจะแต่งงานกับเธอจริงๆก็คือตัวเขาเองแต่เธอกลับปฏิเสธเขาแล้วหันไปแต่งงานกับคนอื่น!“นั่นก็เพราะว่าคนที่วัจสาแต่งงานด้วยนั้นโดนไฟเผาไหม้ทั้งตัว ไม่เหลือแม้กระทั่งหน้าเดิมนั่นก็คือ วรพล! 3สาวพี่น้องตระกูลเดิมขุนทดไม่ยอมแต่งด้วย แต่เพื่อรักษาหน้าตัวเองและบริษัทปยุตจึงบังคับให้วัจสาไปแต่งงานด้วย!”เดิมทีแวววัยก็ยืดหยัดแทนวัจสาได้ไม่ดีพอ ตอนนี้มีโอกาสที่จะระบายออกมา สามารถล้างมลทินให้วัจสาได้ก็ยิ่งพูดออกมาอีก แต่ว่าเธอไม่ทันคิดว่าประโยคที่เธอพูดออกมานี้จะมากระตุ้นให้ปรมะยิ่งเข้ามาพัวพันกับเพื่อนของเธอมากขึ้นไปอีก“คุณพูดว่าวัจสาไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานใช่มั้ย? แถมยังแต่งงานกับคนพิการที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้อีก?” ปรมะมีสีหน้าตกใจ“เอ่อ……”แวววัยรู้สึกแหม่งๆ เพราะปฏิกิริยาของปรมะมีความตื่นเต้นเล็กน้อย….ดังนั้นเธอจะรีบพูดเพิ่มขึ้นมา; “พี่ปรมะ ตอนนี้คุณก็อย่าไปวุ่นวายกับวัจสาอีก. แม้ว่าวรพลจะเป็นคนพิการแต่ว่าเขายังมีน้องชายอีกคนที่หยิ่งมากๆ คุณไปอีกครั้งก็มีแต่ทำให้ตัวเองอับอาย แถมอาจจะทำให้วัจสาโดนหางเลขกับเรื่องนี้ไปด้วย”แวววัยไปรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำทั้งหมดนี้เป็นการราดน้ำมันในกองไฟแน่นอนว่าน้ำเสียงของปรมะสูงขึ้นมาทัน “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันก็ควรที่จะช่วยวัจสาออกมาให้พ้นจากความเดือดร้อนนั้น! เมื่อรู้ว่าเธอทนทุกข์ทรมานจะให้ฉันทำเป็นคนตาบอดไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ยังไง?”เมื่อเขาพูดจบก็ทิ้งแวววัยไว้ และเดินออกไปแต่ไม่ได้เดินตามรอยเท้าของวัจสาไปแวววัยรู้สึกตื่นตระหนก เธอรู้สึกว่าเหมือนตัวเองพูดอะไรไม่ดีไป…..ตอนนี้พอลองคิดๆดูแล้ว เป็นไปได้ว่าปรมะอาจจะยิ่งเข้าไปพัวพันกับวัจสามากขึ้นเพราะคำพูดของเธอ แต่ก่อนเขาเป็นคนที่ดื้อดึงและไม่ยอมเปิดรับใครเลย มุ่งไปที่วัจสาเพียงคนเดียวไม่สนใจผู้หญิงอื่นรักเพียงแค่วัจสาคนเดียวมาโดยตลอดในสายตาของปรมะถ้าหากวัจสามีความสุขนั่นก็สามารถเติมเต็มชีวิตเขาได้อยู่ห่างๆคอยอวยพรให้เธอเสมอ. แต่ว่าตอนนี้เขารู้ว่าวัจสาไม่เต็มใจที่จะทำ จะพูดอะไรก็พูดไปเขาจะต้องพาเธอหนีออกมาจากบ้านตระกูลศรีทองนั่นให้ได้!”ผลสรุปเพียงอย่างเดียวก็คือ เขาจะไปไฟว้กับธัชชัย!แวววัยเริ่มเครียดเธอลืมนิสัยและอารมณ์ของปรมะข้อนี้ได้ยังไง?! เพราะตัวเธอเองแท้ๆที่พาความเดือดร้อนให้วัจสา!มองตามแผ่นหลังของเจ้าโง่ปรมะที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แวววัยถอนหายใจเงียบๆก่อนที่จะเดินไปข้างหน้า ไล่ไปตามทางที่วัจสาเดินไปใครจะไปรู้ว่าวัจสาซ่อนตัวอยู่ที่มุมบันไดแถวนั้น เมื่อแวววัยเดินมาถึงเธอก็กระโดดออกมาทันทีแวววัยที่มีเรื่องกลุ้มใจอยู่แล้วเมื่อตกใจก็ยิ่งกลัวความผิดเข้าไปอีก “น่ากลัวยิ่งกว่าผีอีกรู้มั้ยเนี่ย?!” แวววัยว่าวัจสา และเธอก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขเรื่องของปรมะยังไงวัจสาลูบหลังเธอ เมื่อเห็นว่าเธอตกใจไม่หายก็รีบเปลี่ยนหัวข้อ “เอ้อใช่ ปัดปรมะออกไปได้ยัง?” โอ้ย พูดขึ้นมาทำไม…..แวววัยกลัวไม่กล้าสบตา “ไป ไปแล้ว….”“พูดอะไรกับเขาบ้าง?” วัจสาถามกลับ“โอ้ย ก็พูดเรื่องจริงนั่นแหละ แล้วเขาก็ไป” แวววัยกลัวจนแทบจะไม่ไหวแล้ว คิดเพียงแค่อยากให้หัวข้อนี้จบๆไปเสียทีแต่ว่าวัจสาที่คบกับเธอมาตั้งหลายปีจะดูไม่ออกหรอว่าแวววัยไม่ปกติ? เธอรีบถามว่า: “แกคงไม่ได้พูดไปแล้วใช่มั้ยว่าคนที่ฉันแต่งงานด้วยคือวรพลคนที่ถูกไฟคลอกจนเสียโฉม?”“แต่ว่าถ้าฉันไม่พูดเขาก็จะไปสืบหาเองอยู่ดี ไม่แน่อาจจะไปถามที่บ้านตระกูลเดิมขุนทดเลยก็ได้ ถึงตอนนั้นถ้าคนพวกนั้นเป็นฝ่ายบอกมันอาจจะยิ่งแย่กว่านี้ก็ได้”วัจสาเงียบลงที่แวววัยพูดก็มีเหตุผล. ด้วยนิสัยของปรมะแล้วเขาต้องไปไล่ถามแน่นอน“เฮ้อ ตอนนี้ฉันก็กังวลว่าเขาจะไปหาธัชชัยที่ตระกูลศรีทองอีก ถ้าหากเขาไปครั้งนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปพูดช่วยเขายังไงแล้ว นิสัยของธัชชัยคนนี้ทั้งดุร้ายและแปรปรวนแวววัยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ อยู่ๆก็พูดขึ้นมา: “วัจสา แกไม่คิดว่าแบบนี้มันน่าตื่นเต้นหรอ? ผู้ชาย2คนทะเลาะกันเพราะแกเลยนะ!“ตื่นเต้น?” วัจสาแหวออกมาเสียงดัง “แกไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้น ฉันรู้เลยว่าธัชชัยต้องการที่จะทำร้ายปรมะให้บาดเจ็บ”“โอ้ ดูจากนี่แล้ว ฉันก็ยังรู้สึกว่าธัชชัยชอบแก วัจสา เป็นแกก็ดี มีผู้ชายมากมายมาชอบแก” น้ำเสียงของแวววัยเจือไปด้วยความปวดใจแวววัยเป็นคนที่แข็งแกร่ง เหมือนกับต้นหญ้าต้นน้อย และก็มีความอดทน. แต่ว่าในเรื่องหน้าตาของตนเองเธอมีความรู้สึกอยู่ลึกๆว่าเธอหน้าตาไม่ดี ดังนั้นในด้านความรักก็มักจะรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าแต่ว่าเธอก็ยังหวังว่าจะมีเจ้าชายสักคน ที่พอจะสามารถมองข้ามความไม่สมบูรณ์แบบของเธอได้ ให้อภัยที่เธอไม่สวย คอยปกป้องเธอไม่หนีไปไหน ครองคู่กันไปตลอดชีวิต.“ดีกับผีอะไรหล่ะ! โอ้ยฉันหล่ะอยากจะร้องไห้จริงๆ. เธออย่าลืมสิว่าคนที่ฉันแต่งงานด้วยตอนนี้คือวรพล ไม่ควรที่จะเข้าไปเกี่ยวพันอะไรกับธัชชัยและปรมะ. แถมธัชชัยก็เทียบพี่ชายเขาไม่ติด เขาไม่ได้ดูแลฉันที่เป็นพี่สะใภ้แทนพี่ชายเลยแม้แต่นิด อย่าพูดถึงความชอบไม่ชอบเลย มันก็เป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมดนั่นแหละ”ปฏิกิริยาของวัจสารุนแรงอะไรขนาดนั้น คือกำลังพูดโน้มน้าวแวววัย แล้วก็เป็นการพูดบอกตัวเอง. ผู้ชายคนนั้นเดิมทีก็เป็นคนที่เอาแต่ใจอยู่แล้วที่เขาปกป้องเธอก็เพราะแค่ตัวเธอเองเป็นพี่สะใภ้ของเขาแค่นั้นเอง. ไม่ใช่ว่าเขาพูดถึงแต่เรื่องลูกสะใภ้ของตระกูลศรีทองตลอดทั้งวันใช่มั้ย?ไม่ใช่เพราะชอบเธอแน่ๆ เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกสักนิด! ต้องเป็นอย่างงี้แน่ๆ!ตอนกลางวัน ณ โรงอาหารมหาลัยในความวุ่นวายนั้น วัจสาที่มีความสวยราวกับภาพวาดน้ำมันกำลังจดโน๊ต อยู่ส่วนแวววัยเพื่อเป็นการไถ่โทษเธอจึงไปต่อแถวซื้อข้าวให้วัจสาวัจสาที่เพิ่งจะเขียนประโยค2-3คำสุดท้ายเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเตรียมโทรหาที่บ้านตระกูลศรีทอง“ฮัลโหลป้าอ้อยทานข้าวรึยังคะ?”“อ้าว คุณผู้หญิงหรอคะ ฉันกินแล้วค่ะคุณหล่ะ? ทำไมที่นั่นมันโหวกเหวกขนาดนี้เนี่ย? เสียงของป้าอ้อยถามกลับมา“ฉันอยู่ที่โรงอาหารนะคะป้า ช่วงนี้วรพลเป็นยังไงบ้าง? กินข้าวตรงเวลามั้ย? สุขภาพเป็นยังไงบ้าง? วัจสาถามพร้อมเล่นปากกาที่อยู่ในมือไปพลางๆ “ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยค่ะ คุณผู้หญิงคะ อาหารในโรงอาหารนั้นมันไม่อร่อยหรอกค่ะ ไม่งั้นตอนกลางวันก็กลับมาพร้อมกับภูผามากินที่นี่มั้ย?” สิ่งที่ป้าอ้อยอยากจะพูดจริงๆก็คือ กินอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางสารอาหารได้ยังไง คุณผู้หญิงกำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวตั้งครรภ์อยู่นะ