วิวาห์ร้อน แต่งผิดรักจริง - ตอนที่39 มีเงินเยอะอย่างนี้
ตอนที่39 มีเงินเยอะอย่างนี้
ป้าอ้อยรู้ว่าเหตุการณ์แบบนั้นสำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นเรื่องยาก แล้วจะคิดอะไรมากมาย ก็เพราะเรื่องมันเป็นมาแบบนี้ เขาถึงต้องช่วยสองพี่น้องตระกูลศรีทองนี้อย่างสุดความสามารถ
วรพลเดิมทีก็มีจิตใจเมตตา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของกนิษฐา ก็ยิ่งทำให้น่าสงสารแล้ว ตอนนี้ขอเพียงให้เขาหวังที่อยากจะรักษาชีวิตของตัวเอง แค่นนั้นก็พอแล้ว อีกอย่างคุณชายรองกับคุณชายใหญ่แห่งตระศรีทองนี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ความเกลียดชังที่อยู่ในใจของเขาไม่สามารถเอาเวลามาลดทอนมันได้ มิหนำซ้ำนับวันยิ่งเพิ่มขึ้น
และวรพลยังกังวลอีกว่าพี่น้องในตระกูลศรีทองนี้จะฆ่าฟันกันเอง ลักษณะนิสัยจริงๆ ของธัชชัย ยอมฆ่าผิดหนึ่งพันครั้ง แต่ไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายวรพลหนีโทษฐานทางกฎหมายไม่ได้
ภายในใจของป้าอ้อยรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ แต่ภายนอกกลับไม่กล้าแสดงมนออกมา มองดูวรพลที่นอนอยู่บนเตียงไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดก็เปิดปากพูดออกมา “คุณชายใหญ่ คุณไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของพวกเขาไปนะคะ คุณเองก็ต้องรักษาตัวให้ดี เอาจิตใจสักครึ่งหนึ่งที่ห่วงคุณชายรองมาไว้กับตัวเองก็ดีนะคะ คุณต้องมีชีวิตที่ดีต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้นหากคุณเกิดเป็นอะไรไป พวกเราและคุณชายรองต่างก็ต้องมีชีวิตที่เจ็บปวดนะคะ”
ป้าอ้อยรู้ว่าวรพลชีวิตนี้ที่ถูกแขวนเอาไว้อย่างตายทั้งเป็น ก็เพื่อธัชชัย ถ้าหากเป็นคำพูดรหัสลับของธัชชัย เขาอาจจะฟังยอมฟังได้ “ยิ่งไปกว่านั้น ป้าอ้อยยิ่งมาพูดประโยคหนึ่งว่า แค่กนิษฐาคนเดียว มันคุ้มค่าค่าที่จะคุณจะทิ้งทุกคนไปเหรอ?”
“แต่ว่าป้าอ้อย ป้าไม่เคยไม่เคยเหรอว่าถ้าหากว่าสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันจะมีแต่เพิ่มความเจ็บปวดให้จิตใจของธัชชัยน่ะ?” ให้เขากลับไปหวนคิดถึงฝันร้ายที่น่ากลัวในครั้งนั้น อีกอย่างฉันก็รู้สึกทรมานเหลือเกิน สภาพร่างกายของฉันในตอนนี้ฉันรู้ตัวเองดี นี่มันเหมือนกับตายทั้งเป็น ฉันทรมานจริงๆ ไม่แน่ว่าฉันตายไปแล้ว มันอาจจะเป็นผลที่ดีที่สุด สามารถช่วยให้ทุกคนหลุดพ้นไปจากความทรมานนี้ได้
การกระทำของเขาไม่ใช่สิ่งที่คาดคะเนได้ยาก ถ้าหากว่าป้าอ้อยถูกลวกจนต้องกลายเป็นสภาพอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่อยากเป็นภาระให้กับคนในบ้านแน่นอน เป็นเพราะว่าห่วงความรู้สึก จึงอาลัยอาวรณ์คนในบ้านจนทำให้ตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ ป้าอ้อยรับรู้ถึงความรู้สึกหัวใจดวงนั้นของวรพลดี ไม่มีใจปรารถนาที่จะอยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
กลับเป็นแบบนี้ เธอเพิ่งจะเพิ่มความเจ็บปวดใจให้กับคุณชายใหญ่ เขามักจะเป็นเช่นนี้ตลอด คิดมากแทนคนอื่น ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ช่วงชิงสิ่งของใดๆ จากคนอื่น เขาเป็นเด็กดีมากคนหนึ่ง…. แต่ว่าบางทีฟ้าก็ไม่มีตาจริงๆ คนดีๆ กลับไม่เจอการตอบแทนที่ดี
เธอก็อดฉายแววตาที่ฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้ โผเข้าไปที่เตียงของวรพลทันที “คุณชายใหญ่ คุณอย่ายอมแพ้นะ คุณเป็นแบบนี้ทีไร ทำให้ป้าอ้อยรู้สึกกลัวไม่ได้ พวกเราต่างก็หวังอยากให้คุณมีชีวิตอยู่ที่ดีต่อไป จริงสิ ไม่มีใครที่มีความหวังอย่างพวกเรา คุณสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าหากว่าได้ ฉันยอมที่จะรับความเจ็บปวดทั้งหมดของคุณ… ถึงแม้ว่าป้าต้องตาย ป้าก็ยอม…”
ป้าอ้อยน้ำตาไหลพรากจนทำให้มองอะไรก็ไม่ชัด พ่อบ้านภูษิตที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก็สะอื้นร้องไห้ไม่มีเสียง
สถานการณ์นี้เหมือนทำให้เลือกว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่ จะดีหรือไม่ดี เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ก็ไม่ยุ่งด้วยก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาหวังอยากให้คุณชายใหญ่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ต้องรู้ว่า ถ้าหากคนตายไปแล้ว อะไรก็ไม่มีแล้ว เหลือเอาไว้เพียงป้ายศิลาที่สลักชื่อผู้ตายเท่านั้น
สิ่งที่เขาต้องการก็คือไปได้และต้องยิ้มได้ ตอนที่เขาเป็นเด็กก็เริ่มจูงมือของเขารอยยิ้มและเสียงตะโกนเรียกชื่อคุณปู่พ่อบ้านที่อ่อนโยนของวรพล ไม่ใช่ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงนี้ วรพลเพียงแค่ขยับตัวนิดหน่อยความเจ็บปวดก็ฉายขึ้นมาในแววตาแล้ว
โอ้ สวรรค์ ได้โปรดนำชีวิตของเด็กที่แข็งแรงและอ่อนโยนคืนเขาไปเถอะ!และยังมีเจ้าเด็กธัชชัยอีกคน ตั้งแต่วันแรกที่คุณปู่พอเขาเข้ามา โชคชะตาก็ไม่มีความยุติธรรมกับเขาเลย เด็กอายุไม่กี่ขวบก็ต้องมารับตำแหน่งลูกนอกสมรสที่ถูกคนไม่น้อยชี้หน้าประณาม และยังทำให้เขาหมดสิทธิ์ที่จะมีโอกาสได้รับมรดกของตระกูลศรีทองอีกพ่อบ้านภูษิตรู้ว่าธัชชัยไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย เขาแค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระให้กับวรพลเพียงเท่านั้น ถ้าหากวรพลไม่อยู่แล้ว ในความคิดของเขาก็คงมีแต่ความเกลียดชังแล้ว พอถึงเวลานั้น ตระกูลศรีทองก็จะฆ่าฟันกันเอง เลือดคงไหลนองเป็นสายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานทายาทของตระกลศรีทองคนไหนก็ต้องตายอยู่ภายใต้น้ำมือธัชชัย มันคือความสามารถของเขานอกจากวรพลที่เป็นลูกต่างมารดาแล้ว ธัชชัยก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อตระกูลศรีทองคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งก้าวเท้ายังรู้สึกรังเกียจ พูดประโยคไม่น่าฟัง ธัชชัยสามารถดำรงชีวิตอยู่ในตระกูลศรีทองได้ ทั้งหมดที่เติบโตมาได้ก็เป็นเพราะว่าความรักและการปกป้องจากวรพล และที่เขาถึงมีวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะคุณความความดีของวรพลดังนั้นจะละเลยชีวิตของวรพลได้อย่างไร หลังจากที่วรพลตายไปความดุร้ายของธัชชัยทั้งหมดก็จะระเบิดทะลักทลายออกมาแล้ว แม้แต่วัจสาที่เข้ามาในชีวิตได้เพียงระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้ ถึงเวลานั้นวัจสาก็จะเป็นเพียงหมากลุกตัวหนึ่งที่ธัชชัยเอาไว้ใช้ระบายอารมณ์ก็เท่านั้นวัจสายาไม่ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปดูแลวรพลในห้องรักษาตัวของเขา ด้านหนึ่งก็เพื่ออยากจะรู้ว่าอาการป่วยของเขาไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น อีกด้านหนึ่งก็เพื่ออยากจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของเธอให้กับวรพลจริงๆ ไม่อยากเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรอยู่ในบ้านของตระกูลศรีทองเธอกำลังพูดอย่างเลี่ยงๆ ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ อยากจะรู้ว่าสภาพร่างกายของวรพลเป็นอย่างไร และทันนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์เข้าเธอมองดูสายที่โทรเข้ามา ที่แท้ก็เป็นปยุตนี่เอง เป็นไปได้ยากจริงๆ ที่เขาจะโทรมา เหมือนกับว่าหลังจากที่วัจสาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็โทรหาวัจสาน้อยลง ด้านหนึ่งก็กลัวว่าวราลีจะด่า อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่าคำพูดของวัจสานับวันยิ่งเปลี่ยนเป็นพูดน้อยลง ทุกครั้งที่โทรมาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับน้าคนนี้ดี“สวัสดีค่ะ คุณน้า มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”ปยุตที่อยู่ในสายนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “จริงสิ วัจสาเอ๋ย น้าแค่อยากโทรหาหนูเท่านั้น จะต้องมีธุระด้วยหรือ? ก็เป็นห่วงหนูว่าอยู่ในบ้สนตระกูลศรีทองแล้วเป็นยังไงบ้าง กินข้าวตรงเวลาหรือเปล่า? วรพลเขาดีกับหนูหรือไม่?”วัจสาไม่อยากพูดคุยหรือทักทายกับเขาสักนิด เพียงแค่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ชอบคุณคุณน้าที่เป็นห่วง หนูอยู่ทางนี้ก็ดีมากทุกอย่าง ไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ หากไม่มีธุระอะไรแล้วหนูขอตัวไปทำธุระของหนูก่อนนะคะ เวลานี้วรพลต้องกินข้าวกินยาแล้วค่ะ” พูดเสร็จก็เตรียมที่วางสายโทรศัพท์ทางนั้นก็เหมือนจะถูกอีกคนแย่งเอาไป น้ำเสียงหวานๆ ของผู้หญิงดังออกมาจากในสาย “วัจสา ทำไมหนูถึงต้องวางสายเร็วขนาดนี้ด้วยล่ะ น้าของหนูคนนี้เขาเป็นห่วงหนูจริงๆ นะ ก็เลยลืมพูดเรื่องธุระไปเลย”“อ๋อ ธุระอะไรเหรอคะ?”ท่าทางนิ่งเฉยของวัจสาไม่ได้รีบวางสายใส่พูดเขา วราลีจึงพูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “อย่าง…อย่างนี้นะ หนูกลับบ้านมากินข้าวที่บ้านสักมื้อสิ”วัจสามองดูนาฬิกาข้อมือ ก็เหมือนว่าจะยังไม่สายเกินไป เวลานี้เป็นเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว “”ถ้าอย่างนั้นจะไปตอนเย็นนะคะ“ไอ๋หยา อย่าเลย นี่ไม่ใช่กำลังจะเตรียมกินข้าวเที่ยงเหรอ? หนูรีบมากินที่นี่เถอะ พวกเรามีเรื่องสำคัญที่อยากจะปรึกษาหนูน่ะ”วัจสาคิดครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องมาปรึกษากับตัวเอง ตอนที่อยู่ในตระกูลเดิมขุนทด ตัวเธอเองก็อยู่อย่างกับคนรับใช้ แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยถามความคิดเห็นจากเธอเลยปยุตก็เพียงรับผิดชอบเรื่องค่าเทอมในช่วงประถมและมัธยมต้นของเธอเท่านั้น พอถึงมัธยมปลาย วัจสาก็เริ่มใช้ชีวิตโดยทำงานพาสทาม และอาศัยเงินทุนการศึกษา คิดมาตลอดว่าเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของตระกูลขุนทดอีกแล้ว เงินบริจาคเพื่อการกุศลพวกนั้นก็เป็นของน้าปยุตที่ออกเอง“ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูจะกลับไปค่ะ” วัจสาพูดปฏิเสธไปอีก ก็ดูเหมือนว่าจะเนรคุณไปหน่อย ถึงอย่างไรก็อาศัยอยู่ตระกูลขุนทดมานานหลายปีคนขับรถของตระกูลศรีปกติก็ขับเร็วและยังปลอดภัยด้วย เพิ่มความเร็วรถสักหน่อย ก่อนเที่ยงก็ไปถึงตระกูลขุนทดแล้วตอนที่วัจสาลงจากรถมองแปบเดียวก็เห็นบ้านตระกูลขนทดนับวันยิ่งกลายเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคยวราลีก็ยืนอยู่ตรงประตูนานแล้ว ก็ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหน พอเห็นวัจสาก็รีบจูงเธอเข้าไป“มาได้ทันเวลาพอดี อาหารที่ทำในวันนี้ทั้งหมดล้วนเป็นของโปรดหนูทั้งนั้นเลยนะ น้าเข้าครัวทำเองกับมือเลยนะ ถ้าไม่อร่อยก็อย่าได้ทอดทิ้งเชียว”หากพูดตามความเป็นจริง วราลีไม่รู้เลยว่าเธอชอบกินอะไร หับข้าวพวกนี้ก็ยิ่งไม่ใช่เธอเป็นคนทำแน่นอน เธอเป็นคนที่อยู่บ้านไม่เคยซักผ้าถูบ้านทำกับข้าวเลย แน่นอนว่ากับข้าวพวกนั้นเป็นคนอื่นทำแน่นอนวัจสาได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไรนั่งลงไปนั่งข้างโต๊ะอาหาร ในเมื่อเธอต้องมาพบเจอกับคนที่ไร้มนุษยธรรมอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากขอบคุณตระกูลศรีทองที่ให้ความช่วยเหรอ อีกอย่างให้ธัชชัยมาที่นี่สักรอบแล้วค่อยขอบคุณเถอะ เมื่อก่อนก็มีท่าทางที่เย็นชาใจดำอำมหิตพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น วราลีที่อยู่ตรงนี้ในตอนนี้ กลับทำให้วัจสาได้รับความโปรดปรานอย่างที่ไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจทว่าเธอค่อยข้างจะชินกับภาพลักษณ์แบบนั้นในเมื่อก่อนซะมากกว่า น้ำเสียงอ่อนหวานและอบอุ่นในตอนนี้ ทำให้วัจสาขนลุกขนชันแล้ววราลีนั่งอยู่ฝั่งทางขวาของวัจสา มองดูสีหน้าชองเธอที่ไม่อาจคาดเดาได้ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองนี้โตขึ้นจนไม่ทันสังเกตแล้ว เขาเดาความคิดของเธอไม่ออกเลยทว่าวราลีก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อว่า “หนูวัจสา ที่น้าเรียกหนูมาในวันนี้น่ะ ก็คืออยากให้หนูช่วยอะไรพวกเราหน่อย ครั้งนี้มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ถ้าหากว่าไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ บริษัทชีวาเลียร์จะต้องล้มละลายแน่น ตระกูลนี้ก็อบจนหนทางแล้ว” เขาคิดที่จะฝากความหวังของชีวิตไว้ที่หลานสาวคนนี้วัจสาแอบคิดกับตัวเอง ก็คงอยากจะให้เธอไปขอร้องอะไรบางอย่างกับตระกูลศรีทองสินะ น่าเสียดาย เธอเป็นเพียงคนภายนอกคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านตระกูลศรีทองเท่านั้น“คุณน้าคะ ท่านพูดเรื่องอะไรกัน หนูคงไม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างแน่นอนค่ะ”“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ บริษัทชีวาเลียร์ของพวกเราได้เข้าร่วมการประมูลถนนกว่างหยวนจนถึงถนนถงฮว่าเดิมทีอัตราที่พวกเราจะประมูลได้มันก็มีอยู่ แต่ว่าเงินลงทุนดันไม่พอน่ะสิ ก็เลยอยากจะให้หนูเชิญคุณชายรองมาเป็นแขกของบ้านนี้ ให้เขาได้แนะนำน้าสักหน่อย”ที่แท้นี่ก็เป็นเป้าหมายของพวกเขา ที่แท้ก็อยากจะใช้ประโยชน์จากเธอ“ธัชชัยจะมาความสามารถอะไรมาให้คำแนะนำพวกท่านเหรอ? แล้วการที่เชิญเขามาเป็นแขกเกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นไปได้ในการประมูล? ” วัจสารู้อยู่แก่ใจเพียงแต่จงใจถามเท่านั้น เธอรู้ว่าวราลีคิดอยากจะให้ธัชชัยสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกเขา“คุณชายรองมาแล้ว น้าก็มีวิธีพูดเกลี้ยกล่อมให้เขาลงทุนจำนวนเงินหนึ่งพันล้านกับบริษัทชีวาเลียร์ พอถึงตอนปันผลกำไรแน่นอนว่าย่อมขาดหนูไม่ได้” วราลีใบหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจในความสำเร็จยิ่ง เหมือนกับว่าเห็นตัวเองได้เงินก้อนใหญ่นั่นมาอย่างไรอย่างนั้นแต่ว่า หนึ่งพันล้าน ธัชชัยจะเข้าร่วมหุ้นด้วยเหรอ? เอาง่ายๆ ก็คือตัวเลขตั้งแต่หนึ่งร้อยล้านขึ้นไปเลยนะ “คุณน้า หนึ่งพันล้านมันไม่เยอะเกินไปหน่อยหรือ? ถึงแม้ว่าจะเป็นธัชชัยก็ไม่สามารถมีเงินมากมายขนาดนั้นได้กระมัง”“ไม่ ไม่ ไม่ หลานสาวที่น่ารักของป้า เงินหนึ่งพันล้านสำหรับธัชชัยแล้ว ไม่นับว่ามากมายอะไร เขาเป็นใคร? เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเมืองเอสเชียวนะ!” วราลีรู้ว่าหลานสาวของตนเองผู้นี้ยังไม่ได้ผ่านโลกอะไรมามากมาย เงินเล็กๆ น้อยนี้ก็สามารถทำให้เธอมีท่าทางตกใจได้แล้วไหนเลยจะรู้สิ่งที่อยู่ในใจของวัชสา ธัชชัยเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยวันๆ ไม่ทำอะไรฟังวราลีพูดแบบนี้แล้ว วัจสาตกใจจริงๆ เธอไม่เคยคิดเลยว่าธัชชัยจะมีเงินเยอะมากมายขนาดนี้ สวรรค์รักผู้ชายคนนี้เกินไปหน่อยกระมัง? ไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา ยังให้เขาร่ำรวยถึงขนาดนี้เชียวเหรอ? น่าเสียดาย ที่ไม่มีคนบนโลกนี้เกิดมาได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ นิสัยที่โหดร้ายอำมหิตอย่างนี้ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยจริงๆ