ลูกพลับสีหม่น (Mpreg) - ตอนที่ 43 กลัวไม่รักมากกว่า
สามเดือนต่อมา…
หลังจากพักฟื้นร่างกายจนเดินเหินและทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างปกติแล้ว ลูกพลับก็ขอให้แทนไทพามายังวัดป่าที่เคยบวชอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาอยากจะมากราบหลวงตาผู้ซึ่งเคยทักเอาไว้ว่าลูกพีชจะหายเป็นปกติในเร็ววันและมันก็เกิดขึ้นจริง แถมเจ้าตัวน้อยยังเป็นเด็กที่ร่าเริงอีกด้วย เจอเข้ากับตัวอย่างนี้แล้วใครจะไม่เชื่อกันเล่า
แทนไทจึงเป็นสารถีขับรถพาลูกกับเมียมาอย่างไม่รีรอ เพราะเขาเองก็อยากจะกลับมากราบท่านเช่นกัน เดินทางชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึงที่หมาย วันนี้ลูกพีชอารมณ์ดีผิดปกติจนคนเป็นพ่อกับแม่สบายใจ มีสีหน้ายิ้มแย้มมาตลอดทาง
“ที่นี่เหรอครับ”
ลูกพลับเอ่ยถามพลางส่องสายตามองไปโดยรอบ เมื่อมาถึงวัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางป่าธรรมชาติ ดูสงบร่มรื่นและลึกลับน่าค้นหา
“ใช่ ที่นี่ล่ะ”
แทนไทตอบขณะบังคับพวงมาลัยเพื่อหาที่จอดรถ เมื่อได้ที่แล้วก็ดับเครื่องยนต์แล้วหันมาส่งยิ้มให้ เขาลงไปก่อนแล้วเปิดประตูรถให้ คว้าตัวลูกน้อยมาอุ้มไว้เพื่อให้ลูกพลับลงมาได้สะดวก จากนั้นส่งเจ้าตัวน้อยให้ผู้เป็นแม่อุ้มอีกครั้ง เพื่อที่ตัวเองจะได้ไปเอาตะกร้าของหลังรถ มีทั้งของจำเป็นสำหรับลูกน้อยและของฝากสำหรับหลวงตาด้วย
“ป่ะไปกันเถอะ หลวงตาน่าจะอยู่ในโบสถ์”
“ครับ”
แทนไทเดินถือของนำทางโดยมีลูกพลับอุ้มลูกเดินอยู่ข้างกัน ขณะเดินผ่านต้นไม้สูงตามรายทางก็รู้สึกได้ถึงความวังเวง ทว่าเสียงหัวเราะของลูกน้อยกลับทำให้ลูกพลับขนลุกซู่ขึ้นไปอีก ลูกพีชยิ้มและหัวเราะชอบใจราวกับมีใครกำลังหยอกล้อเล่นด้วยเสียอย่างนั้น
มาถึงโบสถ์หลังเก่าที่อยู่ท่ามกลางป่าไผ่แล้วแทนไทก็นำเข้าไปข้างใน พบว่าตอนนี้หลวงตากำลังนั่งสมาธิเจริญภาวนาในอาการเงียบสงบ แม้จะยังหันหลังให้แต่กลับรู้ว่าใครที่กำลังเดินเข้ามา
“มาถึงแล้วหรือโยมแทนไท”
“นมัสการครับหลวงตา ผมพาลูกกับเมียมากราบหลวงตาครับ”
ได้ยินอย่างนั้นหลวงตาก็เปิดเปลือกตาขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถหันมาเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ แทนไทเป็นฝ่ายอุ้มลูกเอาไว้เพื่อให้ลูกพลับกราบหลวงตาได้อย่างถนัด เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็นั่งพับเพียบเพื่อสนทนากับหลวงตาต่อไป
“เป็นยังไงบ้างล่ะโยม แข็งแรงขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ดีขึ้นแล้วครับหลวงตา โดยเฉพาะตาหนูแข็งแรงกว่าผมเสียอีก” ลูกพลับว่าพลางก้มมองหน้าลูกชายที่อยู่ในอ้อมอก
“ไอ้หนูคนนี้มันดวงแข็ง ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก โตขึ้นจะเป็นเด็กฉลาดและมีความพิเศษกว่าคนอื่น”
“ได้ยินพี่แทนพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมขออนุญาตถามหลวงตาว่าพิเศษกว่าคนอื่นหมายความว่ายังไงครับ”
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่คิดว่าเลี้ยงกันไปเรื่อย ๆ โยมทั้งสองคงจะรู้ด้วยตัวเองนั่นล่ะ ไม่ต้องห่วง มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย”
“ได้ยินอย่างนี้พวกเราก็สบายใจแล้วครับหลวงตา”
“ขอหลวงตาอุ้มหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ”
แทนไทรับลูกชายมาเพื่อส่งให้อยู่ในอ้อมกอดของหลวงตา ดูท่าทางแล้วเจ้าหนูลูกพีชคงจะชอบใจมาก หัวเราะอารมณ์ดีผิดแปลกจากตอนที่อยู่ในอ้อมอกของคนเป็นแม่ เห็นอย่างนั้นทั้งแทนไทและลูกพลับก็มองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม มันเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกชาย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองยิ่งเลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงตาผู้นี้ยิ่งขึ้น
ทั้งสองนั่งสนทนากับหลวงตาได้สักพักก็ขอตัวเดินทางกลับ เพื่อไปจัดการเรื่องบ้านให้เรียบร้อย เพราะในวันพรุ่งนี้ก็จะย้ายกลับเข้าไปอยู่ในบ้านภิรมย์การันอีกครั้ง เพื่อทำให้ครอบครัวใหญ่กว่าเดิม ลูกพลับนึกถึงอนาคตของลูกชายมาเป็นอันดับแรก เขาอยากให้ลูกพีชเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักจากทุกคน และสนิทกับญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
*-*-*-*-*-*-*-*
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไททันและนับดาวได้พิสูจน์ให้ผู้ใหญ่เห็นแล้วว่าทั้งคู่เหมาะสมกันที่สุด จากที่เคยคิดจะหาคู่ครองที่มีฐานะคู่ควรให้กับลูกชายคนโต ตอนนี้ศรัยฉัตรได้เลิกล้มความคิดแล้ว เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมามันเป็นบทเรียนให้เธอต้องยอมรับความจริง ว่าความรักมันอยู่เหนือกว่าสิ่งใด ทุกคนล้วนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน มีฐานะทางบ้านที่แตกต่างกัน รูปร่างหน้าตาและความคิดก็แตกต่างกัน ทว่าความรักและความเข้าใจคือสิ่งที่จะทำให้คู่รักทุกคู่ไร้ซึ่งความแตกต่างกัน อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจและมีความสุข และเธอก็อยากให้ลูกชายมีความสุขเช่นเดียวกัน
หลังจากทุกอย่างพร้อมแล้วทีปกรและศรัยฉัตรจึงบอกให้ลูกชายคนโตไปขอหมั้นนับดาวเอาไว้ก่อน วันนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวันมงคลของตระกูลภิรมย์การัน ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้า งานหมั้นเล็ก ๆ เกิดขึ้นในช่วงเช้า บรรยากาศอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ นอกจากนั้นหนูลูกพีชยังเป็นขวัญใจของบรรดาผู้ที่เข้ามาเป็นสักขีพยานอีกด้วย
“ในที่สุดก็มาถึงวันนี้สักทีนะพี่ดาว ความรักย่อมเอาชนะทุกอย่าง ดีใจด้วยนะครับ”
ลูกพลับหันไปเอ่ยกับพี่สาวพร้อมกับรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย ขณะทั้งสองนั่งอยู่ริมสระบัวข้างศาลาภายในสวนข้างบ้าน ทิวทัศน์ตรงหน้าเป็นบ้านพักหลังเล็ก ๆ ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนโตในฐานะลูกหลานแม่บ้าน
ทั้งสองต่างก็ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ทั้งทุกข์และสุข มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะคลอเคล้าในระหว่างทาง เมื่อมองย้อนกลับไปก็ทำให้เห็นว่าตอนนี้มาไกลมากแค่ไหนแล้ว แถมยังเป็นทางเดินของชีวิตที่งดงามอีกด้วย
“ขอบใจจ้า พี่เองก็ไม่นึกว่ามันจะมีวันนี้ ตอนนั้นคุณฉัตรไม่ชอบใจเลย พี่จึงอยากจะออกไปจากที่นี่เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ไม่ใช่เพราะอยากพิสูจน์ตัวเองเพื่อความรักเพียงอย่างเดียวหรอก ที่ทำเพราะอยากจะให้แกกับแม่มีความสุขด้วยล่ะ อยากให้มีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง”
“ผมรู้ว่าพี่สาวผมเก่งมากแค่ไหน ตอนนี้พวกเราไม่ต้องดิ้นรนเหมือนเดิมแล้วนะ ผมจะกลับไปตั้งใจเรียนให้จบแล้วหางานทำ ไม่ให้ใครมาดูถูกเราสองพี่น้องว่าเป็นหนูตกถังข้าวสาร”
“ดีมากน้องชายพี่ ต่อไปนี้หวังว่าครอบครัวเราจะมีแต่ความสุขตลอดไปนะ”
“ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นครับ”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคนทั้งสอง บ่งบอกว่าความสุขที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตมันท่วมท้นจนไม่อาจประเมินค่าได้
ค่ำวันเดียวกันนั้นลูกพลับได้ให้นมลูกชายแล้วนำไปนอนในอู่เปลจนหลับเป็นที่เรียบร้อย ความน่ารักน่าชังของลูกพีชทำให้คนเป็นแม่ยิ้มไม่หุบ สามารถนั่งจ้องมองใบหน้าอันจิ้มลิ้มนี้ได้ตลอดทั้งวันเลยทีเดียว จู่ ๆ ก็นึกถึงคำพูดของหลวงตาที่เคยบอกว่าลูกพีชจะเป็นเด็กที่มีความพิเศษกว่าเด็กคนอื่น เขาพอจะเริ่มรู้อะไรบ้างแล้ว หลังจากสังเกตพฤติกรรมของลูกชายมาสักระยะ
เวลาที่ปล่อยลูกพีชให้นอนเล่นอยู่บนเบาะนอน เจ้าตัวน้อยมักจะยิ้มและหัวเราะราวกับกำลังมีใครบางคนมาหยอกล้อเล่นด้วย บางทีก็ตาฝาดเห็นของเล่นลอยอยู่บนอากาศ เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งจนรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว
“คิดอะไรอยู่น่ะ”
“เฮ้ย! พี่แทนผมตกใจหมดเลย”
เมื่ออีกฝ่ายมานั่งซ้อนหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ยกมือขึ้นทาบอก จนรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าปกติ
“ตกใจอะไรขนาดนั้น”
“ก็ผมกำลังนึกถึงเรื่องประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกพีชไงครับ พี่สังเกตเห็นบ้างไหมว่าลูกเราเหมือนกำลังเล่นกับใครอยู่บ่อย ๆ” พูดจบก็ขนลุกชันไปทั้งตัว
“ก็เคยเห็นบ้างนะ แต่ไม่ได้แปลกใจอะไร”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“จำที่หลวงตาพูดไม่ได้เหรอ ตาหนูเรามีความพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ๆ และนี่ล่ะคือความพิเศษ สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น” แทนไทพูดหน้าตาย ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจเหมือนอย่างลูกพลับเลย
“พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ มันน่ากลัวอยู่นะ”
“กลัวทำไม ในเมื่อเราไม่เห็นเหมือนอย่างที่ลูกเห็น”
“นั่นล่ะที่น่ากลัว ถ้าลูกเห็นนั่นหมายความว่า…แถวนี้ต้องมีผีแน่ ๆ”
“กลัวเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ใครจะไม่กลัวผี”
“แต่กูไม่กลัวนะ สิ่งที่กูกลัวมีเพียงอย่างเดียวก็คือ…กลัวมึงไม่รักมากกว่า” ว่าแล้วก็ซุกใบหน้าลงมาไซ้ที่ซอกคอขาว โดยที่เจ้าตัวสวมใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว กลิ่นแป้งฝุ่นที่ถูกละเลงตามเนื้อตัวหอมโชยมาเตะจมูกคนที่อยู่ในอ้อมกอดจนรู้สึกฟิน ๆ พิกล