ลูกพลับสีหม่น (Mpreg) - ตอนที่ 40 ปรับความเข้าใจ
แทนไทยิ้มพลางยื่นมือไปประสานอย่างแนบแน่น เป็นการปิดฉากสงครามหัวใจระหว่างทั้งสองหนุ่มอย่างเป็นทางการ บัดนี้จะเหลือเพียงความเป็นเพื่อนที่มีน้ำใจต่อกันเท่านั้น
ไททันและปิ่นวดีซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มองหน้าแล้วยิ้มอย่างดีใจ หลังจากนั้นนับดาวที่เพิ่งจะออกเวรมาก็เดินเข้ามาถึงพอดี เธอเห็นแทนไทและเจตน์ยืนจับมือก็เกิดความฉงน เดินไปยืนข้างแฟนหนุ่มแล้วมองหน้าเชิงตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไททันกระซิบบอกว่าทั้งสองสงบศึกกันอย่างเป็นทางการแล้ว นั่นทำให้นับดาวก็มีรอยยิ้มแห่งความยินดีด้วยอีกคน
ทั้งหมดรออยู่หน้าห้องผ่าตัดชั่วโมงกว่า ๆ ก็มีรถเข็นพาเด็กทารกออกมาจากห้องผ่าตัด คนที่ยืนรอต่างก็กรูเข้าไปหาด้วยความดีอกดีใจ
“ลูกผมคลอดแล้วใช่ไหมครับคุณพยาบาล” แทนไทเป็นผู้ถามขึ้นก่อนใคร
“ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้เด็กกำลังมีปัญหาน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์จำเป็นต้องเข้าตู้อบค่ะ”
“โธ่ลูกพ่อ แล้วอย่างนี้ลูกผมจะเป็นอะไรมากไหมครับ”
“ดิฉันยังตอบไม่ได้ค่ะ ต้องดูอาการไปเรื่อย ๆ ดิฉันต้องไปแล้วนะคะ”
พยาบาลสาวเข็นรถเดินมุ่งหน้าไปยังห้องอภิบาลเด็กแรกเกิด ทุกคนมองตามหลังไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เพราะต่างก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกพลับก่อนจะคลอด พอหันมาอีกทีเจ้าหน้าที่ก็เข็นรถออกมาอีกคันหนึ่ง คนที่นอนหมดสติอยู่บนนั้นก็คือลูกพลับนั่นเอง
“ลูกพลับ! ทำไมเอ็งออกมาในสภาพนี้ล่ะลูก”
“คนไข้หมดสติเนื่องจากอาการอ่อนเพลียค่ะ คุณหมอให้ย้ายไปที่ห้องพักฟื้น ให้น้ำเกลือสักพักจากนั้นค่อยอนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้ค่ะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ”
พยาบาลกล่าวแล้วก็เดินเข็นเสาน้ำเกลือตามไปพร้อมกับรถเข็น เมื่อรู้อย่างนั้นทุกคนก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง
“โล่งใจขึ้นมาหน่อย ห่วงแต่หลานฉันน่ะสิ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง” ปิ่นวดีกล่าว
“หลานเราต้องไม่เป็นไรค่ะแม่”
“แม่ก็ขอภาวนาให้เป็นอย่างนั้น”
“ในระหว่างนี้ผมขอไปเยี่ยมลูกก่อนนะครับ เอาไว้เมื่อถึงเวลาเยี่ยมแล้วจะไปหาลูกพลับอีกที”
“งั้นเราก็ไปด้วยกันเลยดีไหม จะได้ไปเยี่ยมลูกพลับพร้อมกัน”
“ก็ได้ครับ”
ในเมื่อทุกคนพร้อมใจกันแล้วก็เดินตามไปเยี่ยมเด็กทารก ที่เพิ่งออกมาจากห้องคลอดด้วยความไม่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ เมื่อถึงห้องอภิบาลเด็กทารกแรกเกิดแล้วก็ทำได้เพียงยืนมองดูผ่านกระจกใส เด็กทารกเพศชายที่ตัวเล็กกว่าปกติทำให้คนที่ยืนดูต่างก็รู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลานตัวน้อย โดยเฉพาะแทนไทที่ยืนมองน้ำตาไหล ทั้งดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกชายใกล้ ๆ แต่ก็กังวลใจไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาได้แต่ภาวนาขอให้บุญกุศลที่เคยทำมา ช่วยหนุนนำให้ลูกชายหายจากอาการเจ็บป่วยให้เร็วที่สุด แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่มีวันทอดทิ้ง และทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้เป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลกให้ได้
ทุกคนเดินออกมาจากห้องอภิบาลเด็กทารกแรกเกิดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกันโดยเฉพาะคนเป็นพ่ออย่างแทนไท ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความเป็นกังวลใจมากแค่ไหน เมื่อรู้ว่าลูกไม่สบายคนที่เป็นทุกข์ใจที่สุดคงไม่พ้นพ่อกับแม่ ทุกคนต่างก็ให้กำลังใจแทนไท เพราะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเจ้าตัวคงอยากจะมาดูแลลูกกับเมียแต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง
หลังจากเข้ามาเยี่ยมลูกพลับกันแล้ว ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันกลับบ้านไปก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้แทนไทได้อยู่ดูแลลูกพลับเพียงลำพัง เผื่อว่าทั้งสองจะได้เปิดใจคุยกัน ได้ถามสารทุกข์สุกดิบหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันเสียนาน
แทนไทได้แต่นั่งเฝ้าดูอยู่ข้างเตียงไม่ยอมลุกไปไหน มือหนาจับมือเรียวไว้หลวม ๆ เพื่อส่งผ่านกำลังใจให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ และจะคอยดูแลปกป้องไม่ไปไหนอีกแล้ว เจ้าตัวเล่าเรื่องราวที่ประสบพบเจอมาในระหว่างบวชให้ฟังเพื่อฆ่าเวลารอให้อีกฝ่ายฟื้น แม้ว่าลูกพลับยังไม่ฟื้นแต่ขอแค่ได้เล่ามันก็มีความสุขมากแล้ว
“อือ…”
เสียงที่เปล่งออกมาจากปากคนป่วย ทำให้คนที่กำลังจะผล็อยหลับสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าลูกพลับกำลังขยับเปลือกตาและร่างกาย ก็ยิ้มด้วยความดีใจเป็นที่สุด
“ลูกพลับ”
“ใครอ่ะ”
“กูไง แทนไทเองครับ”
ได้ยินชื่อนั้นก็ต้องเบิกตาขึ้นทันที หันไปมองยังต้นเสียงก็เห็นใครบางคนที่คุ้นหน้านั่งยิ้มอยู่ข้างเตียง แถมยังพบว่าตอนนี้เขาจับมือเอาไว้อีกต่างหาก รอยยิ้มนั้นทำให้หยาดน้ำตาของคนป่วยหยดแหมะลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แม้ว่าศีรษะจะโล้นเพราะเพิ่งผ่านการบวชพระมา แต่กลับไม่ทำให้ความหล่อเขาลดลงเลยสักนิด ยิ่งห่างยิ่งทำให้รู้ว่าเขาหลงรักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจ รักตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ทั้งหัวใจได้มอบให้ผู้ชายคนนี้ไปหมดแล้ว
“คุณแทนไท” ลูกพลับเอ่ยด้วยโทนเสียงอันแผ่วเบาเพราะยังคงรู้สึกอ่อนเพลีย แทนไทโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะได้ฟังให้ถนัดหู และไม่ทำให้คนป่วยต้องเปล่งเสียงมากจนเกินไป ยิ่งใกล้ยิ่งได้เห็นว่านัยน์ตาคู่หวานมีความคิดถึงเปล่งประกายออกมาให้รู้ เขาสัมผัสได้และคิดว่าลูกพลับเองก็คงเห็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาเขาเช่นเดียวกัน
“คุณมาได้ยังไงครับ คุณบวชอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“พอรู้ข่าวเรื่องลูกจากไอ้ไททันกูก็รีบสึกออกมาหามึงทันทีเลย กูคิดถึงมึงมากนะ กูรักษาสัญญามาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าจะไม่ให้มึงเห็นหน้ากูทำได้แล้ว แต่จากนี้ไปกูขอยกเลิกสัญญานั้น เพราะกูจะไม่ยอมให้มึงกับลูกต้องอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว”
“ลูกงั้นเหรอ จริงสิ ลูกของเราอยู่ที่ไหน ผมเห็นหน้าลูกแค่แปบเดียวแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ลูกเราอยู่ที่ไหนครับ” เมื่อนึกขึ้นได้ลูกพลับก็กวาดสายตามองไปรอบห้องทันที จริง ๆ แล้วเมื่อฟื้นขึ้นมาลูกควรจะอยู่ข้างเขามิใช่หรือ แต่ทำไมจึงไม่เห็นนั่นทำให้รู้สึกใจคอไม่ดี
“เอ่อ…ตอนนี้ลูกของเราอยู่ในห้องอภิบาล พยาบาลเห็นว่ามึงกำลังหลับอยู่เลยเอาไปช่วยดูแล ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก มึงนอนพักผ่อนเถอะจะได้มีแรงอุ้มลูกยังไงล่ะ”
“คุณพูดจริง ๆ นะไม่ได้โกหกผมใช่ไหม”
“จะโกหกไปทำไมกัน ลูกเราน่ารักน่าชังมาก กูไปดูลูกก่อนหน้านี้มาแล้ว”
“อย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย หากลูกเป็นอะไรไปผมคงไม่ยอมยกโทษให้ตัวเองแน่นอน” ลูกพลับมีสีหน้าคลายความกังวลลงบ้าง ฉายรอยยิ้มบาง ๆ ให้แทนไทเป็นการตอบแทน
“อย่าโทษตัวเองเลยนะ หากจะมีอะไรเกิดขึ้นมันคงเป็นเพราะโชคชะตา หลังจากบวชก็ทำให้กูได้รู้ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่จงใช้ทุกลมหายใจให้คุ้มค่าที่สุด ทุกลมหายใจของกูก็คือมึงกับลูกรู้ไหม นับจากนี้ต่อให้มึงจะไล่กูไปไหนกูจะไม่ยอมไปเด็ดขาด กูจะอยู่กับมึงกับลูกตลอดไปไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
“ผมรู้ว่าคุณหน้าด้าน ถึงไล่ก็คงไม่ไปแล้วล่ะ ยอมสึกมาขนาดนี้แล้วผมคงไม่ใจร้ายถึงขนาดนั้นหรอก” คนพูดยิ้มทั้งน้ำตา ความสุขที่ขาดหายไปในช่วงเวลานั้นมันได้หวนกลับคืนมาแล้ว กลับมาพร้อมกับแทนไทคนใหม่ที่มีความอ่อนโยนและเข้าใจโลกมากขึ้น
“ขอบใจนะที่ยอมยกโทษให้กูแล้ว กูดีใจที่สุดในโลกเลย” คนพูดยกมือเรียวขึ้นมาแนบชิดพวงแก้มด้วยความดีใจเป็นที่สุด ทั้งสองต่างก็ยิ้มทั้งน้ำตาไม่ต่างกันเลย
“ผมมีอะไรให้คุณช่วยหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ จะให้กูไปทำอะไรกูยอมทั้งนั้น”
“คุณช่วยไปทำหน้าที่พ่อของลูก ไปแจ้งเกิดให้ลูกของเราได้ไหม”
“ได้สิ มันเป็นหน้าที่ของกูอยู่แล้ว ในที่สุดกูก็ได้ทำหน้าที่พ่อจริง ๆ มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว”
กล่าวจบก็โผเข้ากอดคนที่นอนป่วยบนเตียงอย่างหลวม ๆ พยายามไม่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว ทั้งคู่หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจเหลือเกิน ช่วงเวลาที่ผ่านมาต่างคนต่างก็ถอยกลับไปคนละก้าวเพื่อไตร่ตรองเรื่องราวต่าง ๆ ปรับความคิดของตัวเองจนทำให้รู้ว่าความสุขก็คือการได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าเป็นครอบครัว และเมื่อมีโอกาสแล้วเขาทั้งคู่จะไม่มีวันให้คำว่าครอบครัวต้องหายไปจากชีวิตอีกเป็นอันขาด