ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 672 สัตว์เลี้ยงแปลกประหลาด + บทที่ 673 อยากเป็นศิษย์ของฉันไหม ?
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 672 สัตว์เลี้ยงแปลกประหลาด + บทที่ 673 อยากเป็นศิษย์ของฉันไหม ?
บทที่ 672 สัตว์เลี้ยงแปลกประหลาด
เหมยเหมยเบิกตากว้างพยายามจ้องมองสัตว์เลี้ยงของเซียวเซ่อให้ชัด แต่เพียงแค่ครู่เดียวเจ้าตัวเล็กก็เปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่ง โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับสีผิวของเซียวเซ่อ หากไม่ตั้งใจมองก็จะแยกไม่ออก
“มันคือกิ้งก่าหรอ ? น่าสนใจ !”
เหมยเหมยมองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าตัวเล็กคือสัตว์อะไร เป็นกิ้งก่าสวยงามตัวหนึ่ง ไม่แปลกเลยที่เซียวเซ่อจะเรียกมันว่าคนสวย
“ใช่ มันคือกิ้งก่า ในบ้านฉันยังมีจิ้งจกอีกหนึ่งตัว แมงมุมหนึ่งตัว และงูหลามหยกอีกหนึ่งตัว พวกมันต่างเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน”
เซียวเซ่อพูดขึ้นเสียงเบา และพยายามสังเกตสีหน้าของเหมยเหมยที่เปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นว่าเหมยเหมหยไม่ได้มีสีหน้าแปลกไปเธอจึงรู้สึกโล่งใจ
ที่แท้ก็เป็นเพื่อนที่มีความนิยมชมชอบตรงกับเธอ แต่ความกล้ามีมากกว่าใครเป็นไหนๆ
เหมยเหมยเองก็สังเกตเห็นท่าทีกระวนกระวาย ดูตึงเครียดของเซียวเซ่อ จึงเกิดรู้สึกสงสารเซียวเซ่อขึ้นมา และแน่นอนว่าเซียวเซ่ออยู่ที่บ้านต้องไม่ได้เป็นดั่งเจ้าหญิงตัวน้อยที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดู เพราะเด็กที่ได้รับการดูแลปกป้องจากพ่อแม่ มักจะไม่ใส่ใจต่อความรู้สึกของคนอื่นมากขนาดนี้
ความจริงแล้วเมื่อครู่ที่เธอได้ฟังเซียวเซ่อแนะนำถึงบรรดาเพื่อนของเธอ เหมยเหมยก็รู้สึกขนหัวลุกไปบ้างเล็กน้อย แต่เธอสามารถควบคุมสีหน้าไว้ได้ อีกอย่างในใจของเธอเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ดี
“เธอสุดยอดไปเลย เธอเลี้ยงคนเดียวหรอ ?” เหมยเหมยชื่นชมสรรเสริญ
เซียวเซ่อยิ้มอย่างดีใจ “ฉันเลี้ยงด้วยตัวเอง คนในบ้านกลัวกันเลยไม่กล้าเลี้ยง” ราวกับฉาฉาสนใจต่อเจ้าคนสวยอย่างเซียวเซ่อ จึงได้เลื้อยข้ามไปหาเพื่อทำการทักทาย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะตกใจราวกับนกติดกับ มันมุดหนีกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเซียวเซ่อ และไม่กล้าโผล่ออกมาอีก
“คนสวยใจเสาะน่ะ เอาไว้คราวหน้าฉันจะพากษัตริย์มาด้วย กษัตริย์ใจกล้ามาก”
เซียวเซ่อรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เจ้าสัตว์ไม่ค่อยไว้หน้าเธอสักเท่าไหร่ !
เหมยเหมยยกยิ้มมุมปาก และถามขึ้น “ในบ้านเธอมีนางสนมเอกด้วยใช่ไหม ?”
ราวกับเซียวเซ่อได้พบเจอกับเพื่อนรู้ใจก็มิปานเธอ ฉีกยิ้มและพูดขึ้น “ใช่แล้ว ยังมีพระชนนีกับสนมเอก พวกมันใจกล้าทั้งนั้น หรือเธอจะมาเที่ยวเล่นที่บ้านฉันก็ได้นะ ?”
เหมยเหมยตอบออกไปอย่างจนปัญญา “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับเมืองจินแล้ว หรือไม่งั้นรอให้ถึงช่วงตรุษจีนดีไหม ช่วงตรุษจีนฉันจะกลับเมืองหลวง”
แววตาเซียวเซ่อเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง ถอดถอนหายใจเบาๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะเจอเพื่อนที่พูดคุยกันได้ถูกคอแบบนี้ เพิ่งได้เจอกันก็จะต้องแยกกันเสียแล้ว
จ้าวเสวียเอร่อที่คุยกับดาวมหาลัยจนหลงลืมน้องสาวไป ในที่สุดก็นึกถึงน้องสาวได้เสียที เขาหันกลับมาเพื่อจะแนะนำเพื่อนให้เหมยเหมยรู้จัก แต่กลับเห็นว่าน้องสาวตนได้เพื่อนใหม่ไปแล้ว น่าชื่นชมอย่างสุดซึ้ง !
“พระเจ้า นึกไม่ถึงว่าเซ่อเซ่อจะยอมพูดคุยกับคนอื่น มหัศจรรย์ยิ่งนัก” ดาวมหาลัยคนสวยตกใจอย่างสุดขีด
จ้าวเสวียเอร่อกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น พิธีการมอบรางวัลก็ได้เริ่มขึ้น พิธีกรคือหร่วนหวาไฉ่ ก่อนหน้ามีผู้นำจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นกล่าวปราศรัยและผ่านพ้นเสียงปรบมือจำนวนนับไม่ถ้วน จนในที่สุดก็มาถึงพิธีการมอบรางวัลเสียที
“ผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้คือเซียวเซ่อ ผลงานการแข่งขันของเธอคือการค้นหาดอกเหมยกลางหิมะ”
หร่วนหวาไฉ่ประกาศชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล เหมยเหมยสะดุ้งตกใจ มองเพื่อนใหม่คนข้างๆด้วยความตกตะลึง ปัดโธ่ สายตาเธอนี่ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เจอคนมีชื่อเสียงยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้จักเขาซะงั้น !
เซียวเซ่อส่งยิ้มให้กับเธอ ลุกขึ้นและมุ่งหน้าขึ้นไปบนเวที ใบหน้าท่าทีที่ดูเท่ เมื่อเธอรับถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรจากมือผู้อำนวยการจูมาได้ก็ลงจากเวทีทันที เธอวางถ้วยรางวัลลงกับที่นั่งอย่างไม่แยแส แต่เลือกหันกลับมาหยอกล้อกับฉาฉาเหมือนเดิม ไม่ได้ให้ความสนใจกับรางวัลชนะเลิศแต่อย่างใด
“รางวัลรองชนะเลิศในครั้งนี้คือจ้าวเหมย และรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองคือ…”
เหมยเหมยหันไปขยิบตาส่งให้เซียวเซ่อที่มีท่าทีตกตะลึงไม่ต่างไปจากเธอ ในใจอารมณ์ดีไม่น้อย ยังไงก็ไม่ควรจะทำให้เธอตกตะลึงอยู่คนเดียวสิ !
คนที่มอบรางวัลให้กับเหมยเหมยเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมสูง หน้าตาสะอาดสะอ้าน แลดูมีความสุภาพเรียบร้อย เมื่อครู่หร่วนหวาไฉ่เรียกเขาว่าเจิ้งซื่อหลิน
………………………………………………………
บทที่ 673 อยากเป็นศิษย์ของฉันไหม ?
เจิ้งซื่อหลินยื่นถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรให้กับเหมยเหมย ส่งยิ้มและมองเธอ แต่ในดวงตากลับแฝงด้วยความหมายลึกๆบางอย่าง
หร่วนหวาไฉ่ที่เป็นศิษย์น้องเล่าเรื่องเหตุการณ์วันนั้นให้เขาฟังหมดแล้ว ทั้งยังให้เขาดูผลงานการแข่งขันของยัยเด็กนั่น ที่เป็นภาพวาดกระรอก แม้ศิลปะการวาดจะออกแนวอ่อนหัดไปบ้าง แต่สิ่งที่หาได้ยากกลับเป็นปฏิภาณไหวพริบและความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเธอ ถือเป็นจุดเด่นมากที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ได้รับรางวัลรองชนะก็ถือว่าเหมาะสมดีแล้ว
เขาและศิษย์มีความรู้สึกเหมือนกัน ราวกับว่าคำพูดของเด็กคนนี้ได้ทำให้นึกถึงคนคนนั้นขึ้นมา แม้จะดูแตกต่างแต่ก็มีความคล้ายคลึงอยู่มาก แต่หากมองอย่างละเอียดกลับไม่มีความเหมือนเลย
“การวาดของเธอเป็นเอกลักษณ์มาก เคยไหว้เป็นศิษย์ของอาจารย์คนไหนไหม ?” เจิ้งซื่อหลินยกยิ้มและถามด้วยท่าทีอัธยาศัยดีมีไมตรี
เหมยเหมยเก็บซ่อนความโกรธเกลียดเคียดแค้นเอาไว้ และพูดขึ้นอย่างแน่นิ่ง “แน่นอนสิคะ ครูผู้ให้ทางสว่างแก่ฉันคือครูเห้อ”
สีหน้าท่าทีของเจิ้งซือหลินแสดงออกอย่างสงสัย ในสมองขบคิดประมวลผลบุคคลที่เขารู้จักแล้วอยู่ในวงการอาชีพเดียวกัน มีอาจารย์คนไหนมีแซ่เห้อ แต่พอเขาค่อยๆตัดคนที่รู้จักทั้งหมดออกไป ไม่มีอาจารย์ที่มีแซ่เห้อเลยจริงๆ
ซึ่งเขาก็ไม่กล้าดูแคลน เข้าใจว่าอาจเป็นอาจารย์ทางภาคใต้ ซึ่งเป็นไปได้ที่เขาจะไม่รู้จัก เขายิ้มให้พร้อมกับถาม “อาจารย์ของเธอชื่ออะไรล่ะ ?”
“เห้อเหวินจิ้ง”
เจิ้งซื่อหลินขมวดคิ้วในทันที ชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกผู้หญิง แต่นอกจากการให้กำเนิดบุตรที่ผู้ชายทำไม่ได้แล้วนั้น อาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานละเอียดหรืองานเบาๆทั่วไป ผู้หญิงก็ทำได้ไม่ดีเท่าผู้ชาย !
ในวงการวาดภาพก็เหมือนกัน ผู้หญิงที่สามารถวาดภาพจนมีชื่อเสียงได้ มีเพียงแค่ไม่กี่คน น้อยจนสามารถนับได้ !
เจิ้งซื่อหลินรู้ตัวว่าไม่ควรโอ้อวดว่ามีความรู้แค่หางอึ่งต่อหน้าเด็กคนนี้ จึงหันหน้าไปถามหร่วนหวาไฉ่ผู้เป็นศิษย์น้อง “หัวหน้าเลขาหร่วนเคยได้ยินชื่อเห้อเหวินจิ้งไหม ? เธออยู่แขนงไหน ?”
หร่วนหวาไฉ่ส่ายหน้าไปมา ด้วยใบหน้างงงวย
วงการวาดภาพมีผู้หญิงที่ชื่อเห้อเหวินจิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เหมยเหมยเรียกน้ำย่อยได้พอหอมปากหอมคอ ถึงจะพูดออกไป “เห้อเหวินจิ้งเป็นครูที่สอนฉันตอนอยู่ที่ห้องเรียนเยาวชน เธอยังสอนฉันเต้นด้วย เธอเก่งมากเลยค่ะ !”
ขณะนี้เห้อเหวินจิ้งได้นั่งอยู่ในแถวคนดู เพราะแม่ของเธอเป็นเพื่อนร่วมงานกับผู้อำนวยการจู และโอหยางเซี่ยงหมิง พวกเขาต่างอยู่ในแผนกเดียวกัน เป็นธรรมดาที่ค่ำคืนนี้จะต้องเข้าร่วม เห้อเหวินจิ้งรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมยเหมยได้รับรางวัล เธอดีใจจนเนื้อเต้นและมาเพื่อให้กำลังใจเหมยเหมยโดยเฉพาะ
แม่ของเธอที่ได้ฟังเจ้าเด็กแสบที่ปั่นหัวเจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ด้วยท่าทีจริงจังอยู่บนเวที จึงหลุดขำออกมา หันไปพูดกับลูกสาวที่ตื่นเต้นเป็นไหนๆ “ลูกศิษย์ตัวเล็กของเธอนี่ใจกล้าดีแท้ เมื่อวันก่อนก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในสนามแข่งขัน คืนนี้ยังเริ่มป่วนอีก แม่จะบอกอะไรให้นะ บอกให้ลูกศิษย์ตัวน้อยของลูกเพลาๆลงหน่อย เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ไม่ใช่คนที่เราจะจัดการได้ง่ายๆ”
เห้อเหวินจิ้งทำปากบูดบึ้ง พูดขึ้นอย่างโอ้อวด “เหมยเหมยเป็นถึงเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าว เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ พวกเขาคงต้องใจกล้าให้มากกว่านี้แล้วล่ะ !”
“แต่นั่นก็ยังต้องระวังอยู่ดี หากทำเรื่องไม่ดีลับหลังเราก็หาทางป้องกันได้ยาก !” แม่เห่อพูดกำชับ
เจิ้งซื่อหลินที่ยืนอยู่บนเวที หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเหมยเหมย เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มดั่งเดิม กำแพงเมืองชุดนี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์น้องของเขาหลายสิบเท่า
“เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจนัก ครูประจำห้องเรียนเยาวชนไม่นับว่าอาจารย์ แม่สาวน้อยอยากจะไหว้เป็นศิษย์ของฉันไหม ?”
เจิ้งซื่อหลินไม่ใช่คนใจร้อน เขามักคิดก่อนทำเสมอ เหมยเหมยเป็นหลานสาวของตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลสูงส่งในแวดวงสังคม หากว่าเขาสามารถเข้ากับตระกูลจ้าวได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับชายชราอย่างเหอเจิ้งตานอีกต่อไป !
อีกทั้งการวาดของเหมยเหมยยังมีความผิดปกติเล็กน้อย หากอยู่ใกล้ตัวเขาจะได้วางใจหน่อย !
เหมยเหมยแอบหัวเราะเยาะ คนสารเลววาดฝันซะสวยหรู อยากจะรับเธอไว้เป็นศิษย์ ?
เขาเหมาะสมรึ ?
………………………………………………………………