ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 652 หนทางบนสันเขาที่แสนคดเคี้ยว + บทที่ 653 ในที่สุดก็มาถึง
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 652 หนทางบนสันเขาที่แสนคดเคี้ยว + บทที่ 653 ในที่สุดก็มาถึง
บทที่ 652 หนทางบนสันเขาที่แสนคดเคี้ยว
“เหมยเหมยจะไปตามหาน้ำที่ไหน ?”
จ้าวเสวียเอร่อไม่ได้เร่งรีบหรือชักช้าที่ปั่นไป สีหน้าท่าทางดูสงบและผ่อนคลาย ราวกับไม่มีความร้อนใจแต่อย่างใด
“ไปภูเขาซีซานค่ะ ฉันหาข้อมูลมาแล้ว ที่นั่นมีน้ำที่ดี สมัยก่อนฮ่องเต้มักจะให้คนไปเก็บน้ำจากภูเขาแห่งนั้นด้วย !” ถือว่าเหมยเหมยได้เตรียมตัวมาก่อน
จ้าวเสวียเอร่อยิ้มร่า แต่กลับไม่ได้บอกน้องสาว ว่าความจริงน้ำในภูเขาซีซานถูกผู้คนนับถือเป็นพระเจ้าไปแล้ว ไม่มีนักวิจัยด้านคุณภาพน้ำเข้าไปศึกษามานานแล้ว นอกจากพวกแร่ธาตุและจุลินทรีย์ที่มีมากนั้น ความจริงไม่ได้แตกต่างไปจากน้ำประปาเลย อีกทั้งยังมีความกระด้างกว่ามาก
แต่น้องสาวเขาเป็นเด็กกตัญญู เขาไม่ควรทำลายความตั้งใจของเธอ !
ยอมให้น้องสาวได้แสดงความกตัญญู !
ภูเขาซีซานไม่ได้เป็นภูเขาลูกใหญ่อะไร ควรจะพูดว่าภูเขาในเมืองหลวงไม่มีภูเขาสูงแต่อย่างใด มากสุดเป็นเพียงเนินเขา และภูเขาซีซานถือเป็นเนินเขาที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ในตอนนี้ถูกสร้างให้เป็นสวนสาธารณะเขตภูเขาซีซาน ทุกๆวันในช่วงเช้าตรู่มักจะมีคุณลุงคุณป้ามาที่นี่เพื่อออกกำลังกาย และยังมีบางคนที่พกขวดพลาสติกมาตักน้ำ
มีบางคนที่เหมือนกับเหมยเหมย ต่างคิดว่าน้ำแร่จากธรรมชาติเป็นดั่งยาอายุวัฒนะ และเข้ามากักเก็บน้ำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกพายุกระหน่ำก็ไม่เคยหยุด
“เหมยเหมย พวกเราไปตักน้ำกันเถอะ !”
จ้าวเสวียเอร่อถือขวดน้ำพลาสติกเตรียมตัวที่จะไปยังบ่อน้ำแร่เพื่อตักน้ำ ที่นี่มีบ่อน้ำแร่สำหรับตักน้ำโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนที่มาตักน้ำ
เหมยเหมยกลับดึงรั้งจ้าวเสวียเอร่อไว้ ส่ายหัวและพูดขึ้น “พี่สาม น้ำตรงนั้นไม่ดี เราเข้าไปหาด้านในกันเถอะ”
ในเมื่อต้องแสดงละครแล้ว จะต้องแสดงให้ครบครัน จะเอาน้ำธรรมดาๆมาหลอกคนให้ตายใจได้อย่างไร เมื่อครู่ฉิวฉิวบอกเธอไว้แล้ว น้ำในบ่อที่คนต่อคิวยาวไปถึงครึ่งสระ ไม่ได้เป็นน้ำที่ดีอะไรเลย อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์อะไรด้วย
จ้าวเสวียเอร่อเกิดอาการตกตะลึงอย่างเห็นได้ยาก มองน้องสาวด้วยความสงสัย พลางพูดเตือน “เหมยเหมย ภูเขาซีซานมีแหล่งน้ำเพียงเท่านี้ !”
“พี่สาม ต้องมีอีกแน่ พี่ไปกับฉันหน่อยสิ ?”
เหมยเหมยฉุดดึงจ้าวเสวียเอร่ออย่างออดอ้อน เธอไม่สามารถบอกให้เขาเข้าใจได้ ฉิวฉิวบอกกับเธอว่าภูเขาด้านหลังสุดมีแหล่งน้ำที่ดีอยู่ คุณภาพของน้ำดีกว่าด้านนอกเป็นร้อยเท่า หากดื่มบ่อยๆจะเป็นดั่งยาอายุวัฒนะ เพียงแต่…
หนทางบนภูเขานั้นขรุขระเป็นทางลูกรัง !
“เหมยเหมย พวกเรากลับกันดีไหม ? พี่เลี้ยงเป็ดย่างน้องเอง หรือน้องอยากกินอะไรก็เลือกได้เลย !”
เพื่อทำให้น้องสาวเขาเปลี่ยนความคิดแล้วกลับบ้าน จ้าวเสวียเอร่อพูดดีก็แล้วพูดร้ายก็แล้ว กระทั่งยังแสดงความใจกว้างที่หาได้ยากเพื่อจะเลี้ยงข้าวเธอ
ช่วยไม่ได้ เขาหกล้มมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เสื้อผ้าถูกกิ่งไม่เกี่ยวจนขาดวิ่น เนื้อผ้าที่ฉีกขาดรับลมที่ลอดผ่าน บนใบหน้าเป็นรอยเลือดจากการถูกขีดข่วน ทรงผมที่ถูกจัดทรงกลับกระเซอะกระเซิงราวกับรังนก แถมยังมีเศษหญ้าและขี้โคลน ท่าทีสง่าผ่าเผยที่เคยมีกลับหายไปพร้อมกับสายลม หลงเหลือเพียงความอึดอัดใจเท่านั้น
หันกลับมามองเหมยเหมย เป็นเพราะตัวเล็กและดูคล่องตัว ไม่เป็นอะไรสักอย่าง ร่างกายสะอาดสะอ้านไร้บาดแผล เมื่อเทียบกับจ้าวเสวียเอร่อเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
“ฉันไม่กินอะไรทั้งนั้น พี่สามต้องออกกำลังกายแล้วล่ะ แรงกำลังของพี่อ่อนแอมาก พ่อของหนูแข็งแรงกว่าเยอะ !”
เหมยเหมยพูดขึ้นอย่างดูถูก ถ้ารู้ว่าจ้าวเสวียเอร่อไร้ประโยชน์ขนาดนี้ ให้พี่สี่พี่ห้ามาไม่ดีกว่าอีกรึ !
จ้าวเสวียเอร่อมีท่าทีราวกับจะร้องไห้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าน้องสาวตนจะปีนเขาสูงขนาดนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมมา ให้ตายเถอะพระเจ้า สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตคือการออกกำลังกาย !
“เหมยเหมย ที่นี่มีแต่ต้นไม้ จะเอาแหล่งน้ำแร่มาจากไหน กลับบ้านกันเถอะ หากเราหาทางออกไม่เจอจะทำยังไง !”
มองเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็เห็นเพียงแค่ต้นไม้ จ้าวเสวียเอร่อจึงเกิดความกังวล ดูท่าเหมือนจะออกนอกเขตเมืองหลวงไปแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรกับน้องสาวขึ้นมา คุณปู่คุณย่าคงจะหักกระดูกเขาให้ละเอียดเป็นพันท่อน !
“ใกล้ถึงแล้ว พี่สามอดทนอีกนิดนะคะ ฉันรับรู้ได้ถึงบ่อน้ำแร่บนเขาที่กำลังร้องเรียกหาเราอยู่ !”
…………………………………………………
บทที่ 653 ในที่สุดก็มาถึง
ในแววตาของเหมยเหมยเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อครู่ฉิวฉิวบอกใบ้ให้กับเธอ นั่นหมายความว่าใกล้ถึงแหล่งน้ำดีๆแล้ว
จ้าวเสวียเอร่อกรอกตาไปมาอย่างจนใจ เห็นท่าทีตื่นเต้นดีใจของเหมยเหมย เขาจำต้องกัดฟันปีนขึ้นไปต่อ ในตอนนี้น้องสาวของตนหมกมุ่นจนสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว เขาจะทำอะไรได้ ?
ทำได้แค่ตามไปติดๆ หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น น่าเสียดายที่ความถนัดของเขาไม่ใช่เรื่องการใช้พละกำลัง !
“เฮ้ย งู !”
เหมยเหมยที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ตะโกนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ จ้าวเสวียเอร่อเองก็ตกใจไม่น้อย รีบวิ่งไปด้านหน้าเพื่อปกป้องน้องสาวตน แต่บนถนนกลับมีงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั่วแผ่นหลัง ซึ่งมันกำลังแผ่แม่เบี้ยจ้องมองพวกเขาอยู่ อีกทั้ง…
หัวของงูเป็นรูปสามเหลี่ยม !
จ้าวเสวียเอร่อแข้งขาอ่อนแรงไปหมด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นและไหลโซมลงมา เพราะเจ้าแม่ท่านตาบอดหรือไงกัน ไม่อยากได้อะไรกลับได้อันนั้น ส่งกระต่ายขาวตัวเล็กๆมาทักทายพวกเขาไม่ได้หรือไง ?
“เหมยเหมยไม่ต้องกลัวนะ หนัง…หนัง…สือบอกไว้ ถ้าเราไม่ขยับ งูมันก็จะไม่ขยับ พวกเราแค่ยืนอยู่เฉยๆห้ามขยับ งูก็จะไม่จู่โจมอะไรพวกเรา ไม่…ไม่เป็นไรนะ !”
จ้าวเสวียเอร่อพยายามที่จะทำให้ลิ้นนิ่ง แต่คำพูดที่พ่นออกมากลับติดๆขัดๆ ต่างไปจากแต่ก่อนที่เคยพูดจาฉะฉาน
ในหนังสือพูดไว้ถือว่ามีเหตุผล เป็นจริงดั่งที่ว่าถ้าคนไม่ขยับงูก็จะไม่ขยับ ทั้งสองพี่น้องและงูเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง แม้แต่หนังตายังไม่ขยับ
ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้างูยักษ์ก็ไม่ยอมขยับ รูปทรงบนหัวของมันก็ไม่เปลี่ยนไปเลย มันอาจจะกำลังคิดว่าเจ้าสองคนนี้คิดจะทำอะไร !
“พี่สาม เราจะมัวเสียเวลาแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันยังต้องไปตามหาแหล่งน้ำ !” เหมยเหมยพูดเสียงเบา
จ้าวเสวียเอร่อทำหน้ายู่ราวกับผิวมะระ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าจะเสียเวลาแบบนี้ไม่ได้ แข้งขาเขาอ่อนไปหมด หากไม่เป็นเพราะกลัวเสียหน้าต่อหน้าน้องสาวตน เขาคงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นนานแล้ว
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่างูไม่รู้จักเงิน !
ไม่เช่นนั้นเขาจะควักเอาเงินปึกหนึ่งออกมาฟาดงูที่สมควรตายตัวนี้ให้ตายซะ !
“พวกเรารออีกสักพักนะ ไม่แน่ว่าอีกครู่เดียวงูอาจจะยอมออกไปก็ได้ !” จ้าวเสวียเอร่อปลอบใจน้องสาว และปลอบใจตัวเขาเองด้วย
เพียงแต่…
ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง หัวของงูยังคงรักษามุมเงยอยู่ที่สามสิบองศาดังเดิม และมองพวกเหมยเหมยอย่างแปลกใจ
คุณชายฉิวที่อยู่ในกระเป๋า กัดกินช็อกโกแลตก้อนใหญ่ไปเรียบร้อย มองเหยียดจ้าวเสวียเอร่อแค่แวบเดียว ช่างเป็นดั่งไก่อ่อน แม้แต่ครึ่งหนึ่งของนิ้วมือเจ้านายชายคนเก่าของมัน เขายังเทียบไม่ได้เลย !
ตอนนั้นเจ้านายของมันใช้เพียงแค่นิ้วมือเล็กๆนิ้วเดียว ก็สามารถสยบงูยักษ์ที่ดูดุร้ายกว่าตัวนี้เป็นร้อยเท่าได้ คุณชายฉิวที่ดูละครฉากนี้จนเกิดความอึดอัด มันจึงลุกขึ้นยืดเอวอย่างขี้เกียจ ถีบขาหลังไปมา จากนั้นกระโดดออกมายืนอยู่ตรงหน้างูตัวนั้น
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวแยกเขี้ยวยิงฟันซี่เล็กๆของมัน ส่งเสียงร้องที่บาดไปถึงแก้วหู นั่นกลับทำให้งูยักษ์หดถอยหลังไป
เหมยเหมยเป็นห่วงว่าฉิวฉิวจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้นึกถึงความกลัวแต่อย่างใด จึงรีบคว้าเอาก้อนหินที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วขว้างไปทางงูยักษ์ นั่นทำให้จ้าวเสวียเอร่อตกใจเป็นอย่างมาก นึกด่ายัยลูกหมี จากนั้นจึงจำใจคว้าก้อนหินที่มีบนพื้นขึ้นมาแล้ววิ่งไปอยู่ด้านหน้าน้องสาว ขาและน่องเอาแต่สั่นไม่หยุด
เพียงแต่ว่า…
ยังไม่ทันที่ก้อนหินในมือของเหมยเหมยจะได้โดนตัว งูยักษ์ก็ถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง เลื้อยซิกแซ็กไปมา ไม่นานก็หายลับเข้าไปในโพรงหญ้า
ฉิวฉิวสะบัดหางใหญ่ๆของมันด้วยความพึงพอใจ จากนั้นกระโดดกลับเข้าไปในอ้อมอกของเหมยเหมยอีกครั้ง มันเริ่มกัดแทะเมล็ดสนที่อยู่ในกระเป๋าของมัน ในเวลานี้เหมยเหมยเองก็เพิ่งนึกได้ ครั้งแรกที่เธอเจอกับฉิวฉิว มันก็กล้าที่จะต่อสู้กับงูจมูกแหลม[1]แล้ว !
“ฉิวฉิวแกเก่งมาก !”
เหมยเหมยก้มจูบฉิวฉิวอย่างตื่นเต้นดีใจ จากนั้นจึงเดินหน้าต่อไป จ้าวเสวียเอร่อที่ตามอยู่ด้านหลังเกิดอาการสับสนมึนงง กระรอกเก่งกาจได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
เดินมาได้ราวๆหนึ่งชั่วโมง ยิ่งเดินไปหนทางยิ่งชันมากขึ้น จ้าวเสวียเอร่อหกล้มจนไม่มีแม้แต่อารมณ์ พวกเขาปีนขึ้นไปยังยอดเขาอีกลูก บนหน้าผามีต้นชาโบราณแข็งแรงทอดยาวออกมา ไม่รู้ว่ามันเติบโตมานานเท่าไหร่กัน !
………………………………………………………….
[1] เป็นงูพิษดุร้ายมีเขี้ยวยาวเป็นบานพับ พิษของมันทำลายล้างระบบเลือดจนเกิดอาการบวมอย่างรุนแรง ลำตัวมีความยาว 1-1.5เมตร และมีหน้าตาใกล้เคียงกับงูกะปะ มีถิ่นกระจายอยู่ทาตอนใต้ของประเทศจีน ไต้หวันและทางตอนเหนือของเวียดนาม